Sign in Buddha’s palm 181 หดหูใจ

 

ผู้ดูแลศาลบรรพชนเสียชีวิตลงในค่ำคืนนั้นด้วยโรคชรา

 

แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็รับรู้ได้ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา

 

อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูฉินได้เห็นผู้อื่นตายต่อหน้าต่อตาตนเอง

 

แต่ทุกครั้งที่เห็น ซูฉินไม่เคยรู้สึกทําใจให้ปกติได้สักที

 

“ขีดจํากัดอายุขัย…”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พระราชวังสูงตระหง่าน ความรู้สึกภายในล่องลอยไปอย่างลึกล้ำ

 

“ไม่รู้ว่าต้องเป็นผู้ฝึกยุทธระดับไหนกันถึงก้าวข้ามขีดจํากัดเรื่องอายุขัยไปได้?”

 

ความคิดของซูฉินผกผันไปมา ใช้เวลาอยู่ภายในใจตนอย่างเงียบๆ

 

“ยังไงข้าก็ยังต้องแข็งแกร่งขึ้นไปอีก หากไม่แข็งแกร่ง ข้านั้นก็แค่อายุยืนกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้น”

 

ซูฉินกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ค่อยๆ หลับตา ควบแน่นพลังฟ้าดิน พยายามเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แม้ว่าอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เจ็ด ไม่จําเป็นจะต้องควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็ก

 

แต่หากตอนที่เป็นอรหันต์ในระดับนภาชั้นที่เก้าแล้วต้องการข้ามไปขอบเขตยอดอรหันต์ ก็จําจะต้องเปลี่ยนอาณาเขตขนาดเล็กให้กลายเป็นอาณาเขตขั้นสุดยอด

 

ในช่วงนี้ซูฉินใช้แรงกายแรงใจของตนมุ่งเน้นไปที่การสร้างอาณาเขตขนาดเล็กก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากที่ควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กขึ้นมาได้แล้ว ย่อมเป็นการเปลี่ยนแปลงความสามารถในการต่อสู้ให้สูงขึ้น และอีกประการคือเป็นการปูทางไปสู่อนาคต

 

จอมยุทธในขอบเขตตํานานยุทธคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด พวกเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะก้าวเข้าไปอยู่บนจุดสูงสุดและกลายเป็นเซียนเทพปฐพีได้

 

แต่ซูฉินคิดต่างออกไป

 

สําหรับซูฉินการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพีนั้นก็เป็นเพียงเรื่องของระยะเวลาเท่านั้น

 

ในเวลาต่อมา ซูฉินกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอีกครั้ง

 

และหลังจากที่ซูฉินแสดงความแข็งแกร่งของตนออกไป สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้

 

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือซูฉินต้องคอยชี้แนะการบ่มเพาะให้ตระกูลซูเป็นครั้งคราว

 

คาดไม่ถึงว่าในบรรดาครอบครัวตระกูลซูคนที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุดไม่ใช่สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ที่ยังหนุ่มยังแน่นเลือดเนื้อในร่างกายเต็มเปี่ยม แต่เป็นซูชื่อหมินซึ่งปราณชีวิตและเลือดเนื้อเริ่มถดถอยลงไปแล้ว

 

“ท่านพ่อใช้ชีวิตมาแล้วก็เกือบทั้งชีวิต ทั้งในด้านอารมณ์และประสบการณ์ล้วนพรั่งพร้อม ดังนั้นท่านพ่อจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว…”

 

ซูฉินแอบสังเกตและลอบคิดภายในใจ

 

สําหรับสองพี่น้องซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ พวกเขายังคงคิดฝันเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แม้ว่าจะมีทรัพยากรสําหรับฝึกยุทธที่ซูฉินจัดหาให้ แต่เป็นเรื่องปกติเพราะการบ่มเพาะจําเป็นจะต้องอุทิศทั้งกายใจ ทุ่มเทไปกับมัน

 

แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นซูชื่อหมิน ซูเฉิงฮ่าว หรือซูเฉิงยู่ พวกเขาสามารถก้าวหน้าได้มากขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะการฝึกฝนที่ซูฉินจัดเตรียมเอาไว้ พร้อมกับฝึกฝนอยู่ในพื้นที่ค่ายกลฟ้าดินบริเวณตําหนักขุนฝั่งขวา

 

นอกจากตระกูลซูแล้ว ซูฉินก็ยังชี้แนะให้กับหลีหว่านเป็นครั้งคราว

 

“ลุงสาม”

 

หลีหว่านยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าดวงเล็กของนางเต็มไปด้วยความข็งขัง

 

“การฝึกฝนวิชาดาบของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ซูฉินมองที่หลีหว่านพร้อมทั้งกล่าวคําเบาๆ

 

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่หลีหว่านกล่าวว่าต้องการจะฝึกฝนวิชาดาบ ซูฉินก็ได้แบ่งเศษเสี้ยวความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีดาบของตน สร้างเป็นร่องรอยรูปดาบประทับลงบนชิ้นไม้

 

ไม่ใช่ว่าซูฉินไม่ต้องการจะส่งต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีดาบให้กับหลีหว่าน

 

แต่เป็นอีกฝ่ายที่รับไม่ได้

 

แต่เดิมวิถีดาบนั้นเป็นวิถีแห่งการฆ่าฟัน ถึงแม้ความเข้าใจในศาสตร์วิชาดาบจะถูกชําระจนบริสุทธิ์โดยซูฉินแล้ว และเจตนาฆ่าก็ลบเลือนหายไปแล้ว แต่หลีหว่านเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธที่อยู่ขอบเขตสามระดับล่าง แม้จะมีพรสวรรค์ที่ดี แต่จะทนทานต่อความเข้าใจในวิถีดาบของขอบเขตอรหันต์ได้เช่นไร?

 

“ลุงสาม”

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะเรียนรู้อะไรมานิดหน่อยแล้ว”

 

หลีหว่านพูดอย่างระมัดระวัง

 

“โอ้?”

 

“ลองตวัดดาบให้ข้าดูเสียหน่อย”

 

ซูฉินมองไปที่หลีหว่านพร้อมกล่าวคํา

 

“เจ้าค่ะ”

 

หลีหว่านพยักหน้า หยิบดาบไม้ออกมาแล้วฟาดฟันดาบออกไป ตามความรู้สึกส่วนลึกในใจ

 

ชวิ้ง!!

 

เห็นเป็นประกายดาบวิบไปวับมา สลายหายไปในอากาศ

 

“ไม่เลว”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งนี้

 

แม้ว่าประกายดาบของหลีหว่านจะยังไม่คุ้มค่าแก่การกล่าวถึง แต่หลีหว่านก็เป็นเพียงเด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น

 

ประกายดาบนั้นหากเทียบกับทั่วทั้งยุทธภพ ก็เพียงพอที่จะทําให้นักดาบกว่าเก้าส่วนต้องอับอายแล้ว

 

“จากความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับวิถีแห่งดาบภายในยี่สิบปีก็คงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้”

 

ซูฉินออกความเห็น

 

เมื่อก่อน พรสวรรค์ในเชิงยุทธของหลีหว่านก็ไม่ได้มีปัญหาอันใด แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกสามสิบปีถึงจะก้าวถึงระดับชั้นที่หนึ่งได้

 

แต่ยามนี้มันเร็วกว่ากําหนดถึงสิบปี

 

“ลุงสาม”

 

“ข้าสามารถเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้จริงหรือ?”

 

หลีหว่านเต็มไปด้วยใจปรารถนา

 

ในมุมของหลีหว่าน ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ห่างไกลจากนางมากเกินไป และเหล่ากงกงที่แสนดุร้ายในวังหลวงก็อยู่ในระดับนี้กันทั้งนั้น

 

“ถ้าเจ้าต้องการจะปกป้องอาณาจักรถัง เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่เพียงพอ” ซูฉินกล่าวโดยทิ้งความหมายบางอย่างเอาไว้

 

“อะไรนะ?”

 

ใบหน้าของหลีหว่านขมขื่นขึ้นมาในทันที

 

“แล้วข้าควรจะแข็งแกร่งถึงขั้นไหนหากต้องการจะปกป้องอาณาจักรถัง?” หลังจากนั้นไม่นานหลีหว่านก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

 

“ตํานานยุทธ”

 

ซูฉินตอบกลับไป

 

ตอนนี้ปราณีฟื้นคืนแล้ว การฝึกฝนก็ง่ายขึ้น สถานการณ์ที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดสามารถครองอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งได้เหมือนในอดีตไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกต่อไป

 

เป็นไปได้ว่าตัวตนอย่างยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจะยังนับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่สามารถจัดการทุกสิ่งได้อยู่หมัดอีกต่อไปแล้ว

 

“อา…”

 

“ตํานานยุทธ…”

 

ใบหน้าของหลีหว่านเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียศูนย์

 

หากเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง นางยังสามารถตั้งตารอได้ แต่ตํานานยุทธนั้น

 

ในเวลานี้หลีหว่านไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่โลกของจอมยุทธอีกต่อไป แม้จะไม่ค่อยรู้เรื่องตํานานยุทธมากนัก แต่ก็รู้ถึงความยากลําบากที่จะไปให้ถึง

 

“ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่นี่ทั้งคน อาจจะไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถทําให้เจ้ากลายเป็นตํานานยุทธได้ แต่อย่างน้อยก็มีความหวังมากกว่าคนอื่นๆ”

 

เมื่อซูฉินเห็นสีหน้าผิดหวังของหลีหว่าน จึงกล่าวคําออกมาจากใจของตน

 

“ลุงสาม สิ่งที่ท่านพูดนั้นเป็นความจริงหรือ?” หลีหว่านกะพริบตากลมโตของนาง

 

ซูฉินยิ้ม ไม่ตอบคํา และหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง “นี่คือสิ่งที่เจ้าจะต้องใช้บ่มเพาะในขั้นต่อไป”

 

“เก้าอิมจินเก็ง?”

 

หลีหว่านหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านตามคําที่เขียนบันทึกเอาไว้

 

“มิผิด”

 

“เมื่อสําเร็จวิชาเก้าอิมจินเก๋งได้ในระดับสูงสุด ก็จะสามารถไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ เพียงพอให้เจ้าฝึกฝนไปอีกเป็นร้อยปี”

 

ซูฉินพยักหน้า

 

หลีหว่านมีหวังที่จะกลายเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในอีกยี่สิบปีข้างหน้า และหากทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ยามเมื่อนางพร้อมจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธก็คงจะเป็นอีกร้อยปีต่อจากนี้

 

นี่คือรวมผลกระทบจากกระแสปราณที่ฟื้นคืนด้วยแล้ว

 

ไม่เช่นนั้น หากไม่มีกระแสปราณฉี หลีหว่านอาจจะไม่สามารถเข้าใจพลังแห่งฟ้าดินได้ในชั่วชีวิตของนาง ไม่ต้องพูดถึงการทะลวงเข้าขอบเขตตํานานยุทธ

 

“เอาล่ะ”

 

“กลับไปก่อนเถอะ”

 

ซูฉินพูดคุยกับหลีหว่านเกี่ยวกับสาระสําคัญในการฝึกคัมภีร์เก้าอิม และให้หลีหว่านกลับไปไตร่ตรองวิชาดูด้วยตนเองอย่างช้าๆ

 

แม้ว่าซูฉินจะคอยชี้แนะแนวทางการฝึกยุทธ แต่ทุกสิ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ฝึกยุทธเองเสียมากกว่า

 

“จะมีสักกี่คนกันนะที่สําเร็จถึงขอบเขตตํานานยุทธได้”

 

หลังจากที่หลีหว่านจากไป ท่าทีของซูฉินก็กลายเป็นสงบนิ่งอีกครั้ง

 

ตอนที่ซูฉินกําลังเตรียมจะกลับไปโถงพระราชวังสูงตระหง่านใต้เมืองฉางอันเพื่อควบแน่นอาณาเขตขนาดเล็กต่อไป

 

“เอ๋?”

 

จู่ๆ ซูฉินก็รู้สึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ในทันใด และหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง