ซูเซียงหรูรีบเดินเข้ามาค้อมกาย ซูหลีประคองเขา พลางกล่าวว่า “ไม่มีคนนอก ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องมากพิธี!”
สายตาของซูเซียงหรูตื่นตะลึง เขาเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ล่วงเลยมาห้าปี ยามนี้นางมิใช่บุตรีแห่งสกุลซูอีกต่อไปแล้ว เป็นถึงฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง หลายครั้งที่พบกัน นางนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดเสมอ วันนี้กลับยังเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ ได้อีก! ชั่วขณะหนึ่ง ความตื้นตันล้นหลามในใจ กลีบปากขยับไปมาหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดกลับไม่อาจเรียกขานคำว่า ‘ซูซู’ ออกมาได้
นางประคองเขาไปนั่งลงด้านหนึ่ง ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “พักนี้ลำบากท่านพ่อแล้ว ได้ยินว่าเรื่องของขวัญบรรณาการสืบได้ความแล้ว?”
ซูเซียงหรูหันไปมองตงฟางเจ๋อ
สายตาของตงฟางเจ๋อลึกล้ำ เพ่งมองมาที่ซูหลี พอเข้ามา นางก็ถามถึงเรื่องงานทันที ทำเหมือนมองไม่เห็นเขา ราวกับว่านอกจากเรื่องงาน ก็ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้หลายวันที่ผ่านมา มีข่าวลือเรื่องแต่งตั้งสนมแพร่สะพัดไปทั่ว นางก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หัวใจพลันเจ็บแปลบ เขาหยิบไม้ตะโกข้างมือขึ้นมา แล้วกำมันไว้แน่น ไม่พูดอะไรสักคำ
ซูเซียงหรูรีบกล่าวว่า “ทูตจากแคว้นเฉินยืนยันว่าถูกคนบอกทางผิด จึงได้ส่งของขวัญบรรณาการสองชุดไปยังตำหนักอุดร และคนที่บอกทางผิดก็คืออดีตพ่อบ้านในจวนผู้บัญชาการทหารเหลียง วันนั้นเขาสวมชุดสีดำพอดี หากมองผิวเผิน จะดูคล้ายกับชุดเครื่องแบบขุนนางของแคว้นเฉิงเราอยู่หลายส่วน ทูตจากแคว้นเฉินจึงได้เข้าใจผิดว่าเขาเป็นขุนนางในวังพ่ะย่ะค่ะ”
ซูหลีเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง ในเมื่อเป็นคนของผู้บัญชาการทหารเหลียง เหตุใดจึงต้องบอกทางท่านทูตผิดด้วยเล่า?”
ซูเซียงหรูกล่าวว่า “จากคำสารภาพของคนผู้นี้ เขาไม่ได้ตั้งใจบอกทางผิด เพียงเลอะเลือนไปชั่วขณะ จำทางผิด จึงได้ทำให้ท่านทูตส่งของขวัญบรรณาการผิดพลาด”
“เลอะเลือนชั่วขณะ…” ซูหลีแสยะยิ้ม อดหันไปมองตงฟางเจ๋อที่นั่งเงียบไม่ได้ สายตาพลันสะดุด สิ่งที่เขากำแน่นไว้ในมือ คือไม้ตะโกชิ้นนั้นที่นางมอบให้เหลียงหรูเยวี่ย! นางลนลานชั่วขณะ รีบเบนสายตาหนีไปทางอื่น ราวกับมองไม่เห็นสายตาผิดหวังของเขา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ในจวนผู้บัญชาการทหารเหลียง ก็มีคนสะเพร่าเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?!”
ซูเซียงหรูไม่พูดอะไร เพียงหันไปมองตงฟางเจ๋อ
ตงฟางเจ๋อเอ่ยปาก “ในเมื่อสืบได้ความแล้วว่าเป็นเพียงความเข้าใจผิด เช่นนั้นก็ให้มันจบเพียงเท่านี้เถิด คนผู้นี้ถูกโบยจนตายแล้ว ผู้บัญชาการทหารเหลียงปล่อยปละละเลยผู้ใต้บังคับบัญชา ข้าย่อมต้องตำหนิเขา ส่วนอนุภรรยาของเซียวต้าไน่…” เขาจ้องหน้าซูหลี สายตาลึกล้ำแฝงความหมาย ราวกับรู้ทุกอย่างแต่แรกแล้ว
ซูหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ได้ยินเขากล่าวต่อว่า “คนผู้นี้เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์ นางถูกผู้ใดบงการหรือไม่ เจ้า…ใช้ดุลพินิจเอาเองก็แล้วกัน”
พูดถึงขั้นนี้ ก็ไม่ต้องเอ่ยอะไรมากความอีกแล้ว เพื่อความสงบสุขของสองแคว้น เรื่องนี้ไม่ควรปล่อยให้บานปลาย มิเช่นนั้นจะสาวถึงตัวเหลียงสือชูกับฮั่วเสี่ยวหมาน ทำให้ยากจะสะสางเรื่องราวได้
เรื่องของขวัญบรรณาการจึงจบลงอย่างคลุมเครือเช่นนี้เอง ซูหลีไม่ได้รั้งอยู่ต่อ นางออกจากห้องทรงพระอักษรไปพร้อมกับซูเซียงหรู
เมืองหลวงของสองแคว้นถูกสร้างใกล้กัน พระราชวังอยู่ติดกัน ตำหนักบรรทมของสองฮ่องเต้เดิมก็กั้นขวางไว้ด้วยประตูเพียงบานเดียว ขอเพียงเปิดประตูบานนั้น ห้องทรงพระอักษรของสองแคว้นก็อยู่ใกล้กันมากเช่นกัน แต่หากเดินอ้อมตำหนักชิ่งอวิ๋นกลับต้องเดินถึงครึ่งชั่วยาม
ซูเซียงหรูกล่าวว่า “ถึงอย่างไรเหลียงสือชูก็เป็นพี่ชายของเหลียงไทเฮา ยามยังมีชีวิตอยู่เหลียงไทเฮาให้ความสำคัญกับคนผู้นี้มาก ก่อนที่ฝ่าบาทจะถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง เขาก็จงรักภักดีต่อฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทเห็นแก่มิตรภาพเก่า จึงไม่อยากให้เรื่องนี้สาวไปถึงตัวเหลียงสือชู ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
ซูหลีรู้ดีแก่ใจ จึงไม่พูดอะไร
ซูเซียงหรูกล่าวอีกว่า “จบเรื่องแต่เพียงเท่านี้อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป สตรีเสียสตินางนั้นกับฮั่วฮองเฮามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าฮั่วฮองเฮามีส่วนร่วมในแผนการร้าย แต่ก็มิอาจพิสูจน์ได้ว่านางไม่เกี่ยวข้อง วาจาเสียสติหลังดื่มจนเมามายของฮั่วฮองเฮาในงานเลี้ยงคืนนั้นได้สร้างผลกระทบอันร้ายแรง หากยังทำให้เรื่องนี้บานปลายต่อไป กลับจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า”
ผ่านไปหลายปี จู่ๆ ซูเซียงหรูก็แสดงท่าทีของบิดาผู้เปี่ยมเมตตาต่อหน้านาง วาจาประโยคนี้ กลับพูดเพื่อตัวนางอย่างแท้จริง
ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเข้าใจ ท่านพ่อวางใจเถิด ข้าไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้หรอก ยามนี้ความสงบสุขของสองแคว้นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ” นางหันไปมองเขา ใต้แสงโคมไฟในวังหลวง เส้นผมตรงขมับทั้งสองข้างของเขาหงอกขาว นางอดทอดถอนใจไม่ได้ “ไม่เจอกันหลายปี ท่านพ่อชราขึ้นมาก”
ซูเซียงหรูมองนางด้วยสายตาสับสนแวบหนึ่ง “เจ้ายังอุตส่าห์เรียกข้าว่าท่านพ่อ!”
ย้อนนึกไปถึงสามเดือนก่อน ในพิธีอภิเษกสมรสของสองฮ่องเต้ ซูหลีที่เขาเคยคิดว่าตายไปนานแล้ว กลับมาปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางแคว้นเฉิงอีกครั้ง ในฐานะฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นติ้ง นางยืนเคียงบ่ากับตงฟางเจ๋ออยู่บนศิลาตานปี้ ชำเลืองมองเหล่าขุนนางลงมาจากเบื้องบน วินาทีนั้นทุกคนล้วนไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ในฐานะบิดาของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะตื่นตะลึงเพียงใด และสายตาของนางที่มองเขาในยามนั้น ก็ไม่ได้ต่างไปจากสายตาที่มองผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย
ซูหลีแย้มยิ้มเล็กน้อย “ท่านพ่อพูดอย่างนั้นได้เช่นไร ถึงแม้ข้าไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ แต่กลับเติบโตมาในจวนอัครเสนาบดี บุญคุณที่ท่านพ่อเลี้ยงดูมา ซูหลีมิกล้าลืม”
ซูเซียงหรูกล่าว “เจ้าเห็นแก่ความหลังถึงเพียงนี้ พ่อก็ปลื้มใจยิ่งนัก แล้วก็ละอายมากด้วยเช่นกัน หากชิ่นเอ๋อร์ฉลาดและรู้ความได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าคงไม่ต้องปวดหัวอย่างนี้”
“อ้อ? พี่สาวเป็นอะไรงั้นหรือ?”
ซูเซียงหรูถอนหายใจ “ปีก่อนหมั้นหมายกับผู้อื่นไว้ ยังไม่ทันได้แต่ง คนผู้นั้นก็ป่วยด้วยโรคร้ายแล้วตายไปเสียก่อน สองปีมานี้ดูตัวหลายหน นางเลือกมากไม่ยอมตกลงปลงใจกับผู้ใดเสียที พักนี้เอาแต่ร้องไห้อยู่ในบ้าน ทำเอาคนอื่นกินไม่ได้นอนไม่หลับกันทีเดียว”
ซูหลียิ้มบางแล้วกล่าวว่า “คงไม่ใช่ว่าพี่สาวยังคิดอยากจะเข้าวังอยู่อีกกระมัง?”
ซูเซียงหรูหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เขาถอนหายใจยาวๆ แล้วกล่าวว่า “เรื่องเข้าวังไม่อาจเอื้อมนานแล้ว หลายปีมานี้พ่อกระจ่างชัดแล้ว ฝ่าบาททรงรักมั่นคงต่อเจ้ายิ่งนัก ไม่เหลือที่ในพระทัยให้หญิงใดอีก”
“คงไม่ใช่กระมัง” ซูหลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หลายวันมานี้มีคนคอยอยู่ข้างกายเขา ข่าวลือเรื่องแต่งตั้งสนมแพร่สะพัดไปทั่ว ไม่ทราบว่าท่านพ่อคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้?”
ซูเซียงหรูกล่าวว่า “มีเจ้าอยู่ พ่อย่อมไม่อยากให้แต่งตั้งสนมอยู่แล้ว แต่เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ต่างร่วมมือกันถวายฎีกาเป็นการใหญ่ พ่อหัวเดียวกระเทียมลีบ ยากจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้จริงๆ แต่ทว่า…”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง สายตาที่มองซูหลีแฝงไว้ด้วยความนัย ซูหลีไม่ได้เอ่ยปากถาม เพียงรอฟังเขาพูดต่ออย่างเงียบงัน
“…หลายปีมานี้ ฝ่าบาททรงวางตัวต่อเหล่าขุนนางด้วยความเคร่งครัดและมีเมตตาไปพร้อมกัน มีเพียงเซ่อเจิ้งอ๋องหลีเฟิ่งเซียนผู้เดียวเท่านั้นที่ฝ่าบาททรงให้เกียรติมากกว่าขุนนางอื่น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เซ่อเจิ้งอ๋องโรคเก่ากำเริบ อาการน่าเป็นห่วง ฝ่าบาททรงเรียกหมอหลวงมารวมตัวกันแล้วเสด็จไปหาด้วยตนเอง ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยมาก เกรงว่าแม้ยามอดีตฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่อาจเทียบได้! หากเซ่อเจิ้งอ๋องยอมออกหน้าพูด สถานการณ์คงจะต่างออกไป”
ซูหลีลอบตกใจ เสด็จพ่อเคยป่วยหนักงั้นหรือ? นางกลับไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย! นางรีบถาม “จริงหรือ? เช่นนั้นเซ่อเจิ้งอ๋องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
ซูเซียงหรูกล่าว “หลินเทียนเจิ้งใช้วิชาแพทย์ชุบชีวิตคน ยามนี้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เป็นไรแล้ว เพียงแต่โรคเก่าของเขายากจะรักษา ไม่รู้จะกำเริบขึ้นมาอีกเมื่อใด”
หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านพ่อที่ช่วยชี้แนะ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ยังไม่กลับบ้านอีกหรือเจ้าคะ?”
แววยินดีพาดผ่านใบหน้าซูเซียงหรู “ปีก่อนเขาส่งจดหมายมา น่าจะใกล้กลับแล้ว” เอ่ยจบก็ชำเลืองมองซูหลีแวบหนึ่ง ก่อนจะถามหยั่งเชิงอย่างแนบเนียน “เรื่องของขวัญบรรณาการคราวนี้เกิดจากกรมพิธีการ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของสองแคว้น ฝ่าบาทจึงมีพระประสงค์จะเลือกผู้ที่หวังให้สองแคว้นพัฒนาไปพร้อมกันอย่างปรองดองมาดูแลกรมพิธีการ”
“อ้อ? เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?” สายตาของซูเซียงหรูเป็นประกาย แววยินดีปรากฏชัดอย่างยากที่จะปกปิด
ซูหลีกล่าวว่า “ย่อมจริง ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในของราชสำนักแคว้นเฉิง มิใช่เรื่องที่ข้าจะทำอะไรได้ ตงฟางเจ๋อให้ความสำคัญกับคนมีความสามารถ มิใช่คนใจแคบ เรื่องในอดีตเขาคงไม่เก็บมาใส่ใจ ขอเพียงพี่ใหญ่ทำเพื่อบ้านเมือง ยังกลัวจะไม่มีโอกาสอีกหรือ?”
ซูเซียงหรูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขณะพูดคุยกัน ทั้งสองก็ได้เดินมาถึงหน้าตำหนักชิ่งอวิ๋นแล้ว ซูเซียงหรูจึงค้อมกายขอตัว ซูหลีมองดูแผ่นหลังอันแก่ชราของเขา รวมถึงสีหน้าดีใจของเขายามกล่าวถึงเรื่องซูฉุน ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
วันรุ่งขึ้น พระราชวังเฉิงส่งข่าวมา บอกว่าตงฟางเจ๋อเรียกตัวเหลียงสือชูเข้าเฝ้ากลางดึก ตำหนิเขาเรื่องที่ปล่อยปละละเลยผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้บ่าวรับใช้ในจวนทำพลาดจนเป็นเหตุให้ทูตส่งของขวัญบรรณาการผิดพลาด เหลียงสือชูอับอาย จึงเอ่ยปากขอลาออกกลับบ้านเกิด ตงฟางเจ๋อเห็นแก่มิตรภาพ และผลงานของเขาในอดีต จึงอนุญาตให้ลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการหทาร แล้วแต่งตั้งให้เป็นสวินหยางโหว รับเงินเดือนขุนนางขั้นหนึ่ง อยู่ใช้ชีวิตบั้นปลายในเมืองหลวงต่อไป
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวว่า “เดิมทีผู้บัญชาการทหารเหลียงต้องการลาออก แต่กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นโหวอย่างเหนือความคาดหมาย ได้รับฐานันดรศักดิ์เป็นขุนนางขั้นสูง แต่สูญเสียอำนาจทางทหารไป ยากจะแยกแยะว่าผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน”
ซูหลีเอ่ยเสียงเรียบ “เหลียงสือชูติดตามเขามาหลายปี จงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก ไม่มีทางที่จะลิดรอนอำนาจทางทหารของเขา แล้วแต่งตั้งเป็นโหวโดยไร้เหตุผลแน่นอน จะต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ”
หวั่นซินขมวดคิ้วกล่าวว่า “ได้ยินว่าวันครบรอบวันสิ้นพระชนม์ของเหลียงไทเฮาใกล้มาถึง เหลียงหรูเยวี่ยฝันเห็นไทเฮา บอกให้นางคัดลอกพระคัมภีร์ แล้วเผาในวันครบรอบที่วัดบรรพบุรุษ ฮ่องเต้แคว้นเฉิงพระราชทานอนุญาต แต่งตั้งให้เหลียงหรูเยวี่ยเป็นท่านหญิง และเดินทางเข้าวังไปคัดลอกพระคัมภีร์ในตำหนักเฟิ่งเตี้ยนทันที เพื่อปลอบขวัญดวงวิญญาณที่ล่วงลับของไทเฮา”
สายตาของซูหลีไหวระริกเล็กน้อย
ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตกใจ “เหลียงหรูเยวี่ยเข้าวังแล้วหรือ?”
หวั่นซินพยักหน้า กล่าวว่า “หม่อมฉันเห็นกับตาตนเอง ฮ่องเต้แคว้นเฉิงส่งขบวนเกี้ยวไปรับนางเข้าวัง ยามนี้นางน่าจะถึงตำหนักเฟิ่งเตี้ยนแล้วเพคะ”
โม่เซียงเบิกตากว้าง ร้องเสียงดัง “อะไรนะ นางเข้าไปในตำหนักเฟิ่งเตี้ยนแล้วอย่างนั้นหรือ? หรือฮ่องเต้แคว้นเฉิงจะแต่งตั้งนางเป็นสนมจริงๆ?!”
————————————–