ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 344 ผู้หญิงสองคนจะตีกันแล้ว?
“หมายความว่าไง?เขาถูกตีเหรอ?ฝีมือใคร?เขาเป็นสายเลือดของแสนรักนะ แต่มีคนกล้าตีเขา?ไอ้เหี้ยเอ้ย ตกลงเป็นใครกัน?”
ผู้ชายคนนี้ด่าทอด้วยความเกรี้ยวกราด
ดวงตาเส้นหมี่แดงก่ำ เดิมทีไม่อยากพูด ทว่าสุดท้ายก็เก็บกลั้นไม่อยู่ เผยชื่อออกมาด้วยความโกรธแค้น“แครอท!!เธอทารุณพวกเขา!”
“เธอว่าอะไรนะ? แครอท” มาร์ตินยิ่งเดือดดาลมากขึ้น เขาไม่กล้าเชื่อหูของตัวเองเลยสักนิด
“แม่ง!แสนรักเป็นหมูโง่หรือไง?ปล่อยให้ยัยนั่นรังแกลูกชายของตัวเองได้ยังไง สมองเขามีปัญหาใช่ไหม?ไม่สนใจลูกชายตัวเองเพราะผู้หญิงคนหนึ่ง”
ความโกรธกริ้วเพิ่มระดับขึ้นทุกขณะ มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่คิดจะไปสั่งสอนแสนรัก
ทว่าเวลานี้เส้นหมี่ไม่อารมณ์ไปทำเรื่องแบบนี้ สิ่งเดียวที่อยากทำในตอนนี้คือ อยากพาลูกชายไปให้ไกลที่สุด
เธอก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ เธอก็คิดแต่จะพาพวกเขาหนีให้เร็วที่สุด
เพราะเธอรู้จักประมาณความสามารถของตัวเองว่าไม่อาจสู้ผู้ชายคนนั้นได้
และยังมีหนึ่งสิ่ง ตอนนี้เธอเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ไม่อยากเห็นเรื่องพวกนี้อีก พวกเขาก็แต่งงานของพวกเขาไป เธอก็พาลูกๆของเธอไป แบบนี้ไม่ดีเหรอ?เธอกำลังส่งเสริมพวกเขาอยู่นะ
“มาร์ติน ช่วยฉันอีกสักเรื่องได้ไหม?”
“เรื่องอะไร?”
“ฉันอยากพาลูกๆไป นายช่วยฉันคิดหาวิธีหน่อยได้ไหม? แบบ…ไม่อยากแสนรักรู้” ดวงตาเธอแดงก่ำ เอ่ยคำร้องขอด้วยเสียงสะอื้น
มาร์ตินชะงักงัน
การร้องขอนี้ถือว่าเป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งก่อนเธอก็เคยขอร้องแบบนี้เช่นกัน ทว่าครั้งนั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จ ถูกไอ้นั่นจับได้เสียก่อน
แล้วครั้งนี้ล่ะ?
มาร์ตินตัดสินใจว่า ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้เขาต้องส่งตัวสามแม่ลูกออกไปอย่างปลอดภัยให้ได้
ชินจังกับคิวคิวมองผู้ใหญ่ทั้งสองชนิดที่ไม่กล้าหายใจแรงๆ เมื่อได้ยินการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของหม่ามี๊คือ พาพวกเขาหนีอีกครั้ง
ส่วนคุณอาผู้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็รับปากง่ายเสียไม่มี
เด็กๆทั้งสองพากันตะลึงงัน!
ฉิบหายแล้ว นี่ไม่ใช่ทิศทางที่พวกเขาต้องการ
คิวคิวมองพวกเขาสองคนออกไป เกาหัวน้อยๆแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม“ทีนี่เอายังไงดี?ถ้าหม่ามี๊พาพวกเราหนีอีก ทางแด๊ดดี๊ก็ต้องเป็นวันสิ้นโลกแน่”
ชินจังเห็นด้วยกับความเป็นไปได้นี้
เพราะแด๊ดดี้ในตอนนี้ ไม่ใช่แด๊ดดี๊ในวันวาน ตอนนี้ท่านเกลียดหม่ามี๊เข้ากระดูก ไม่มีเยื่อใยเลยสักนิด
แล้วทำไงดีล่ะ?
เด็กทั้งสองคนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนยุทธศาสตร์การรบ
“คุณอามาร์ตินครับ ผมรู้สึกว่าพวกเรายังหนีไปไม่ได้ครับ”
“เพราะอะไร?”
มาร์ตินที่กำลังค้นหาเฮลิคอปเตอร์ใต้ดินอยู่ เมื่อได้ยินคำนี้ก็เอียงหน้ามองเด็กที่ไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องเขาตั้งแต่
คิวคิวทำหน้ากังวลใจสุดแสน“อาคิดดูสิครับ แด๊ดดี้ผมเป็นใคร?เขามีอำนาจทั่วโลก หากคุณอาพาพวกผมไป แล้วยังแน่ใจได้เหรอครับว่าพ่อจะหาพวกเราไม่เจอ?”
“……”
มาร์ตินจุกกับคำพูดของเด็กห้าขวบ แล้วใบ้กินทันที
ใช่ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว
ไอ้นั่นมันแข็งแกร่งมาก หากรู้ว่าเขาเป็นคนส่งตัวเส้นหมี่กับลูกๆไป แล้วไอ้นั่นจะหาไม่เจอเหรอ?ได้ยินว่าครั้งก่อนผู้หญิงคนนี้หนีไปได้หนึ่งครั้ง จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในวิลล่าคริสของเมืองY แต่ก็หาตัวเจอในที่สุด
สุดท้ายก็เจอจุดจบที่อเนจอนาถสุดขั้ว
มาร์ตินสะดุ้งโหยง
“คุณอาครับ ที่หม่ามี๊ผมตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเห็นผมโดนตีแล้วขาดสติ อาจะเหมือนหม่ามี๊ไม่ได้นะครับ ไม่งั้นจบเห่กันหมดแน่ครับ”
คิวคิวก็เจ้าเล่ห์เพทุบายไม่เบา เห็นคุณอาผู้ซึ่งไม่ไตร่ตรองก่อนทำเห็นด้วยกับตนแล้ว จึงรีบกอดแขนออดอ้อนออเซาะขึ้นมา
ท่าทางคล้ายกับหมาน้อยที่รังแกมาก เห็นแล้วชวนสงสารจับใจ
มาร์ตินจึงใจอ่อนในท้ายที่สุด
——
ใจกลางเมือง ตึกหิรัญชากรุ๊ป
ตอนที่เคมีรายงานเรื่องนี้แก่แสนรัก ซึ่งเป็นไปดังคาด ปฏิกิริยาของเขาไม่ใช่ระเบิดอารมณ์เฉกเช่นเมื่อก่อน
มีความโกรธอยู่ ทว่าก็ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ
“แล้วยังไงต่อ?”
“ผมส่งคนสะกดรอยตามเขาแล้วครับ เขาพาคุณเส้นหมี่ไปที่บ้าน ไม่นานก็พาคุณชายน้อยทั้งสองไปด้วยครับ จากนั้นก็พาไปที่บ้านตระกูลลัดดาวัลย์ครับ”
เคมีรายงานผลการสะกดรอยตามช่วงเช้าอย่างช้าๆให้คุณนายเหนือหัวรับทราบ
สิ้นเสียง อุณหภูมิภายในห้องทำงานลดลงดังคาด!
“บ้านตระกูลลัดดาวัลย์? เขาพาเธอไปที่นั่นทำไม? คิดว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรให้เธออาลัยอาวรณ์แล้วนะนี่”
ผู้ชายที่นั่งอยู่ในห้องทำงาน มองปราดเดียวก็สั่นสะท้านแบบไม่รู้สึกหนาวเหน็บ ทั้งๆที่เป็นวาจาสุภาพ ทว่าเมื่อได้ยินแล้วหนังศีรษะกลับรู้สึกชา
เม็ดเหงื่อไหลพรากตรงหน้าผากเคมีทันที
“อันนี้ไม่ทราบครับ แต่ท่านประธานครับ ท่านว่าที่คุณเส้นหมี่กลับมาครั้งนี้เป็นเพราะลูกๆจริงหรือครับ? เธอไปหาคุณแครอทเพราะคุยเรื่องเกี่ยวกับคุณชายน้อยหรือเปล่าครับ?”
“ผมได้ยินว่าช่วงก่อนคุณชายน้อยคิวคิวไปหาปู่เล็กของเขา ท่านคิดว่ามีความเป็นไปได้ไหมครับว่าพวกเราฟ้องคุณเส้นหมี่?ไม่งั้นคุณเส้นหมี่คงไม่กลับมาโดยบังเอิญแบบนี้ แล้วถ้าฟ้องจริงๆ เวลานี้พวกเขาไปหาคุณแครอท…”
ทันใดนั้นแครอทเริ่มพูดต่อไปไม่ได้
ผู้ชายที่นั่งอยู่ในห้องทำงานสีหน้าย่ำแย่ขึ้นทุกขณะ
“เธอใจกล้าไม่เบาเลย”
สุดท้ายสีหน้าเขาเย็นยะเยือกถึงขีดสุด จากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำนี้ออกมา