ภาคที่ 4 ตอนที่ 69 มีคนมาจากแดนไกล

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ส่วนนอกเมือง เสียงโห่ร้องก็ดังเช่นกัน เพียงแต่เสียงโห่ร้องนี้ขึงขังสู้วังหลวงด้านนั้นไม่ได้ เอะอะทั้งยังอื้ออึ้งสอดแทรกด้วยเสียงร้องประหลาดเสียงผิวปาก 

 

 

นักเรียนและบัณฑิตยืนอยู่ตรงหน้านายทหารทั้งหลายแถวหน้าสุดแล้ว 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

คนหนึ่งในนั้นชี้นายทหารที่ยืนม้านิ่งอยู่ตะโกนเสียงดังด่าทอให้ลงจากม้า 

 

 

คำพูดยังไม่ทันออกจากปาก นายทหารคนนั้นก็มองมาอย่างเรียบเฉย 

 

 

ไม่เหมือนกับนายทหารที่ถอยหลังเหล่านั้น สายตาของเขาไม่มีความหวาดกลัววิตกแม้แต่น้อยนิด 

 

 

คล้ายกับตุ๊กตาไม้ที่ไร้ความรู้สึก 

 

 

แววตาที่เฉยชาต่อความเป็นความตายเช่นนี้ มีเพียงผู้ที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนถึงมีได้ 

 

 

ไม่โกรธแค้นไม่ยกคันศร แต่ก็ทำให้นักเรียนคนนี้ตัวสั่นสะท้าน ชะงักมือ 

 

 

จ้าวฮั่นชิงก็มองผู้คนที่พุ่งมาถึงตรงหน้าอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อยเช่นกัน ตรงกันข้ามกลับเบื่ออยู่บ้าง 

 

 

คนผิดอะไร ความดีความชอบอะไรนั่นนางล้วนไม่รู้สึกอะไรด้วย ยิ่งไม่โกรธแค้นโศกเศร้าหวาดหวั่น นางเพียงฟังคำสั่งเท่านั้น 

 

 

ไม่มีคำสั่งให้นางจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้ก็รอ 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายในกระบวนทัพสีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาโศกเศร้าอยู่บ้าง ฉับพลันเสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้น ที่แท้เฉิงกั๋วกงกระตุ้นม้า 

 

 

“ข้าไปพบพวกเขาเองแล้วกัน” เขาเอ่ย 

 

 

พบเวลานี้ อย่างไรก็คล้ายถูกบังคับจนปัญญาอยู่บ้าง 

 

 

ทว่าก็ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจถูกขวางไว้ที่นี่ กระทั่งเมืองหลวงก็ไม่ได้เข้าจริงๆ ถ้าเช่นนั้นชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกง หน้าตาของกองทหารแดนเหนือคงหมดสิ้นแล้ว 

 

 

จากนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะกลายเป็นเรื่องตลกของอาณาจักรต้าโจว 

 

 

สิบปีกรำศึกถึงได้ชื่อเสียง วันเดียวมลายสลายสิ้น นี่ทำให้คนโศกเศร้าเจ็บปวดจนปัญญา 

 

 

ที่จริงต่อให้เข้าเมืองหลวงแล้ว มีการขัดขวางสองครั้งนี่ ความภาคภูมิใจยินดีในรางวัลนี่ก็ไม่เหลือแล้ว 

 

 

พวกเขาแหวกออกเปิดทางพลางควบม้าติดตาม แต่เวลานี้เองเฉิงกั๋วกงพลันรั้งอาชาไว้ 

 

 

“พวกเจ้าฟัง” เขาเอ่ยพลางเงี่ยหู 

 

 

ฟัง? ฟังอะไร? 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายตะลึงนิดหนึ่ง เงี่ยหูฟังด้วยโดยไม่ทันรู้ตัว 

 

 

ไกลออกไปคล้ายมีเสียงย่ำเท้าดังมาเลือนราง พูดให้ชัดไม่ใช่ฟังแต่รู้สึก 

 

 

รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนที่ส่งมาจากพื้นดิน 

 

 

พื้นดินสั่นสะเทือนจริงๆ แม้แผ่วเบายิ่งแต่ยังคงสรุปได้ว่ามีคนมากมายกำลังมุ่งมาทางนี้ 

 

 

แรงสั่นสะเทือนนี้ไม่ใช่กีบเท้าม้าเหยียบย่ำ แต่เป็นเท้าคนย่ำลงพื้นทำให้เกิดขึ้นมา 

 

 

อาศัยเท้าคนย่ำเหยียบจนเกิดแรงสะเทือนเช่นนี้ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องจำนวนหมื่นถึงทำได้ 

 

 

คนนับหมื่นกำลังเดินมาทางนี้? 

 

 

ชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกรึ? 

 

 

นี่มาสายไปหน่อยหรือไม่ นอกจากนี้ยังรวมตัวหนาแน่นเกินไปแล้ว? 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายอดไม่ได้หันศีรษะมองไป นายทหารในกระบวนทัพก็รู้สึกได้ล้วนมองไปด้านหลังตาม 

 

 

คนหนึ่ง สองคน คนทั้งหมดหันศีรษะไปพร้อมกัน ชาวบ้านรอบด้านที่เอะอะอยู่ก็อดไม่ได้หยุดลงด้วย 

 

 

“ทำอะไร?” 

 

 

“มองอะไรน่ะ?” 

 

 

พวกเขาถกเถียงพลางมองไปด้านหลังตามด้วย 

 

 

เฉินชีที่ยืนอยู่บนหลังคารถม้าร่างกายโงนเงนไม่มั่นคงทรุดลงนั่ง 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด ตำหนิคนรถ “ทำรถม้าให้นิ่ง อย่าส่ายสิ” 

 

 

คนรถยันรถม้าอย่างกระสับกระส่าย 

 

 

“นายท่านชี เป็นพื้นดินกำลังสั่นขอรับ” เขาเอ่ย 

 

 

พื้นดินอะไร….เฉินชีกำลังจะเอ่ยถาม ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ยังยืนอยู่บนหลังคารถก็พลันยื่นแขนกระทุ้งเขา 

 

 

เพราะเฉินชีนั่งลงมาแล้ว ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่รู้ แขนนี้จึงกระทุ้งโดนศีรษะของเขาเต็มๆ 

 

 

“โอ้ยโอ้ย หัวหัวหัว” เฉินชีร้องพลางป้องกันศีรษะไว้ 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่หยุดแล้วก็ไม่ได้มองเขา 

 

 

“ดูเร็ว ดูเร็ว ด้านนั้นคนมากมายมาแน่ะ” เขาเอ่ย 

 

 

คนมากมาย? จะมากได้เท่าไรกัน? คนในเมืองหลวงล้วนอยู่ที่นี่แล้ว 

 

 

เฉินชีนั่งอยู่บนหลังคารถ บิดศีรษะมองไป ฉับพลันก็อดไม่ได้เบิกตาโต 

 

 

มารดา ในใจเขาตะโกน คนมากมายจริงๆ 

 

 

มากมายถี่ยิบประหนึ่งเส้นเส้นหนึ่งแห่มาจากขอบฟ้า 

 

 

ปีนี้เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วไปชมคลื่นมาแล้ว ตื่นตะลึงกับภาพคลื่นซัดสาดของแม่น้ำเฉียนถังอย่างยิ่ง 

 

 

เวลานี้นาทีนี้มองเห็นคนที่ปรากฏขึ้นในสายตา เขาก็ประหนึ่งมองเห็นคลื่นของแม่น้ำเฉียนถังอีกหน 

 

 

ทำไมมีคนมากมายเช่นนี้ได้? 

 

 

นี่เป็นใครกัน? 

 

 

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่สูงมองเห็นไกล สีหน้าตะลึง 

 

 

“เหมือนจะเป็น…ผู้อพยพ” เขาเอ่ย 

 

 

ผู้อพยพ? 

 

 

เฉินชีหรี่ตาลง ฝูงชนในสายตายิ่งใกล้เข้ามาทุกที มองเห็นชัดว่าที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น 

 

 

พวกเขาเสื้อผ้าขาดวิ่น พวกเขาหน้าตามอมแมม พวกเขาดวงหน้าเหน็ดเหนื่อย 

 

 

ผู้หญิงอุ้มเด็ก ผู้เฒ่าถือไม้เท้า ผู้ชายประคองผู้หญิง แต่ละคนต่างประคองกัน ก้าวเดินโซซัดโซเซ 

 

 

คล้ายเดินข้ามเขาข้ามน้ำมา ระหกระเหินพันลี้ย่ำเท้าเดินทางมา 

 

 

ดุจดั่งฟ้าแลบพันลี้ฟ้าฟาดหมื่นลี้ม้วนตลบ ปิดเมฆบังตะวัน 

 

 

……………………………………….  

 

 

เสียงเอะอะค่อยๆ เงียบลง 

 

 

ชาวบ้านที่ส่งเสียงประสานกันอยู่ยกมือปิดปาก ตะลึงอยู่บ้างมองฝูงชนที่แห่มา 

 

 

มือของบัณฑิตและนักเรียนชี้นายทหารตรงหน้าอยู่ แต่เขากับทหารกลับไม่ได้มองกันและกัน กลับมองไปยังฝูงชนที่แห่มา 

 

 

ฝูงชนยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที เห็นชัดว่าคนเหล่านี้ตัวตนแตกต่างกันไป แต่ล้วนเป็นประชาชนธรรมดายิ่งจริงๆ 

 

 

ไม่ใช่ปัญญาชนแล้วก็ไม่ใช่ทหาร 

 

 

เป็นชาวบ้านที่มาดูเรื่องสนุกสินะ 

 

 

เรื่องเฉิงกั๋วกงแห่ขบวนสรรเสริญความชอบได้ฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าประกาศสู่สาธารณะนานแล้ว คนจากสถานที่มากมายล้วนเดินทางมาชม คนมีเงินจับจองที่พักในเมืองหลวงไว้ล่วงหน้า นั่งรถม้าเกี้ยวเร่งเดินทางมานานแล้ว คนมากมายที่จ้างรถม้าไม่ได้ก็เดินเท้ามา 

 

 

ตอนนี้คนที่มาเหล่านี้คงเป็นคนในที่ไกลออกไปอีก เวลานี้นาทีนี้จึงเพิ่งเดินทางมาถึงล่ะสิ 

 

 

มาดูเรื่องสนุกก็ดี ไม่ว่าเฉิงกั๋วกงระเบิดโทสะเข่นฆ่าหรือลงม้าถอดเกราะยอมรับผิดล้วนจะถูกทุกคนเห็นและเล่าลือกระจายไป 

 

 

ส่วนชื่อเสียงความมีคุณธรรมของพวกเขาก็จะเลื่องลือทั่วหล้า มีประสบการณ์ต่อต้านเฉิงกั๋วกงขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูงเช่นนี้ ไม่ว่าอนาคตเป็นขุนนางหรือศึกษาต่อ นี่ล้วนเป็นประวัติอันโดดเด่น 

 

 

มาดูกันให้หมดเลย มายิ่งมากยิ่งดี 

 

 

บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายจิตใจยิ่งฮึกเหิม 

 

 

“แต่ นี่คนที่มามากเกินไปหรือไม่?” ฉับพลันนักเรียนคนหนึ่งก็เอ่ยพึมพำขึ้นมา 

 

 

ฝูงชนด้านหน้าสุดมาถึงตรงหน้าแล้ว แต่ไกลออกไปยังคงมากมายถี่ยิบคล้ายมาจากขอบฟ้าไม่มีสิ้นสุด 

 

 

“นี่มีหมื่นคนได้กระมัง” 

 

 

………………………………………. 

 

 

เสียงดนตรีนอกพระราชวังหยุดลงแล้ว ฮ่องเต้ประทับสง่าในอาภรณ์เต็มยศ สีพระพักตร์อ่อนโยนแย้มสรวล ข้างกายพระองค์มีขุนนางคนสำคัญเจ็ดแปดคนที่ถูกเรียกมาอยู่ด้วย 

 

 

ไม่มีเสียงดนตรี เสียงโห่ร่องของชาวบ้านนอกถนนเสด็จพระราชดำเนินยิ่งชัดเจน นี่ทำให้พระทัยของฮ่องเต้ยิ่งเบิกบานนัก 

 

 

สายพระเนตรกวาดผ่านเบื้องล่างประตูวัง ขุนนางนับร้อยลุกขึ้นยืนเรียงแถวตามลำดับแล้ว แต่ท่ามกลางการยืนนิ่งนี้ก็คล้ายจะวุ่นวายอยู่บ้าง คงเป็นเพราะคนมากมายกำลังสนทนาปราศรัยเสียงเบากันอยู่ 

 

 

ภาพนี้ไม่น่ามองอยู่บ้าง 

 

 

แต่ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีจึงไม่ได้ตำหนิ แต่หันหน้าไปถามคำถามที่พระองค์สนพระทัยที่สุด 

 

 

“เฉิงกั๋วกงอยู่ที่ไหนแล้ว?” 

 

 

ทว่าขุนนางใหญ่หลายคนที่เดิมทียิ้มแย้มอยู่ได้ยินคำถามเช่นนี้ สีหน้าก็ประหลาดพิกลอยู่บ้างในทันที คล้ายวิตกอยู่บ้าง ชั่วขณะหนึ่งถึงกับไม่มีใครเอ่ยปากตอบ 

 

 

นี่ต่อหน้าเจ้าแผ่นดินเสียมารยาทอยู่บ้างแล้ว 

 

 

แต่ฮ่องเต้ยังคงไม่บันดาลโทสะ กระทั่งความไม่พอใจสักนิดก็ไม่มี หากมีคนมองให้ละเอียดล่ะก็ยังเห็นได้ว่าในพระเนตรของพระองค์รอยยิ้มเข้มขึ้น 

 

 

“ทำไมหรือ?” พระองค์เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “ทุกอย่างเรียบร้อยดีอยู่ไหม?” 

 

 

ถามเช่นนี้แล้ว อย่างไรก็ไม่อาจยังไม่ตอบได้ ขุนนางใหญ่คนหนึ่งลังเลครู่หนึ่งก็ก้าวออกมา 

 

 

พูดสิ พูดสิ 

 

 

ฮ่องเต้สีพระพักตร์อ่อนโยนมองเขา 

 

 

มีเสียงฝีเท้าดังมาขัดการสนทนาด้านนี้ 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีไม่ทันสนใจการสนทนากับเจ้าแผ่นดินด้านนี้ แล้วก็ไม่ขอรอคำอนุญาต ตรงเข้ามา ก้าวแซงขุนนางใหญ่คนนี้มาถึงข้างกายฮ่องเต้กระซิบชิดริมพระกรรณหลายประโยค 

 

 

ขุนนางใหญ่พลันเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้เปลี่ยนไปทันที คล้ายตื่นตกใจแล้วก็คล้ายพิโรธ