บทที่ 56 ขัดขวาง
ชายคนหนึ่งเดินผ่าน‘รู’ที่เคยถูกเรียกว่าประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าเอามือไพล่หลัง เดินเข้ามาราวกับว่ามาเยี่ยมเพื่อนบ้านพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า อย่างไรก็ตามที่ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเล็กน้อย
ท่าทางของเขานั้นดูจริงใจยิ่ง แต่การปรากฏตัวขึ้นของอีกฝ่าย กลับทำให้ทั้งร้านเหล้าต้องเงียบลงอีกครั้ง
“นายท่านฉาง”
“ผู้อาวุโสฉาง”
“ฉางเย่”
คนที่ไร้เดียงสาผู้หนึ่งได้เรียกชื่อของอีกฝ่ายออกมาตรง ๆ และคนข้าง ๆ ก็ปิดปากคนที่ไร้เดียงสาผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
เข็มปีศาจโลหิต ฉางเย่
ฉางเย่ยืนอยู่ตรงหน้าซูเฉินพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ราวกับว่าเขาเป็นเพียงบัณฑิตในชุดคลุมสีฟ้า
เมื่อเห็นฉางเย่เดินเข้ามาซูเฉินก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย
ความแตกต่างของช่องว่างระหว่างด่านก่อเกิดลมปราณกับด่านกลั่นโลหิตเรียกได้ว่าไม่น้อย ผู้ที่อยู่ในด่านกลั่นโลหิตนับว่าอยู่บนสูงสุดในหุบเขามรกตแห่งนี้
เป็นไปได้ไหมว่าอีกฝ่ายเองก็เล็งร้านเหล้าของซูเฉินอยู่?
หรือ … แค่สนใจในตัวดาบ?
หรือ … เพียงแค่พูดขึ้นสบาย ๆ ไม่ได้ใส่ใจ?
ซูเฉินไม่รู้ว่าความเป็นไปได้แบบไหนคือความต้องการที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้หวั่นไหวกับสายตาที่จ้องมาของฉางเย่เลยแม้แต่น้อย
และตอบกลับไปว่า “ไม่ขาย”
ทุกคนในโรงเตี๊ยมอ้าปากค้าง
หน้ากากปีศาจปฏิเสธฉางเย่
ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างง่ายดายและตรงไปตรงมา ไม่แม้แต่จะใช้เวลาพิจารณาคำตอบด้วยซ้ำ
ใบหน้าของฉางเย่แสดงความประหลาดออกมาเล็กน้อย “เจ้าไม่คิดที่จะถามกระทั่งเรื่องราคาเลยหรือ?”
ซูเฉินหยิบมุกสลายวิญญาณออกมาอย่างใจเย็น “ไม่มีทางที่ราคาของเจ้า จะทำให้ข้าพอใจ”
แม้ว่าเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 9 จะหายาก แต่พวกมันก็ไม่ใช่สิ่งล้ำค่าอย่างแน่นอน
หากฉางเย่เสนอราคาดี ๆ ไม่ต้องรอให้ถึงมือซูเฉิน หลางเตาก็คงเต็มใจที่จะขายมันไปแล้วอย่างแน่นอน
ดังนั้นต้นตอของเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับราคา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับราคาที่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตสามารถจ่ายได้แล้ว การบอกไปให้ชัดเจนว่าไม่ขายจะเป็นการดีกว่า
ฉางเย่ยิ้ม “เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร หากข้าต้องการจะซื้อมันมาเล่า?”
“เช่นนั้นก็เราคงจะต้องสู้กัน” ซูเฉินตอบอย่างเย็นชา
ทุกคนตกใจอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย ประกาศสงครามกับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตโต้ง ๆ ? นี่เจ้าพยายามที่จะฆ่าตัวตายหรือไง!?
ฉางเย่ไม่ได้โกรธ แต่กลับจ้องมองไปที่ไปที่ไข่มุกสีดำในมือของซูเฉิน เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นก็สัมผัสได้ถึงร่องรอยของความอันตรายจากมัน “ดูเหมือนว่าเจ้าค่อนข้างจะมั่นใจ ว่าจะรับมือข้าได้?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้น แต่ข้ามีโอกาสสูงที่จะทำร้ายเจ้าจนบาดเจ็บได้ และมีโอกาสเล็กน้อยในการหลบหนีไปได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามข้ามั่นใจ 100 ใน 100 ว่าข้าไม่มีทางก้มหัวให้เจ้า”
ด้วยมุกสลายวิญญาณและนัยน์ตาวิญญาณ ควบคู่ไปกับความเร็วที่ได้รับจากรองเท้าย่ำเมฆีและก้าวย่างหมอกอสรพิษ ซูเฉินมั่นใจมากว่าเขาสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้
หากเสริมด้วยปืนนักล่าเพลิง โอกาสที่เด็กหนุ่มจะประสบความสำเร็จก็จะมีมากยิ่งขึ้น
แต่ปัญหาคือซูเฉินมั่นใจเพียงแค่ว่าเขาจะสามารถโจมตีโดนคู่ต่อสู้ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าผลของการโจมตีครั้งนั้นจะเป็นอย่างไร
สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการโจมตีของเขาถึงตัวฝ่ายตรงข้าม และฝ่ายตรงก็จะสกัดกั้นมันด้วยทักษะต้นกำเนิด หรือเครื่องมือต้นกำเนิดที่มีความสามารถในการป้องกันเหมือนอย่างชุดเกราะพลอยม่วง
มีความเป็นไปได้สูงว่าเมื่อซูเฉินโจมตีฝ่ายตรงข้ามและถูกขัดขวาง หากเขาโจมตีซ้ำด้วยลายสลักเลือด คงทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ยังมีโอกาสอีกเล็กน้อยที่การโจมตีของเขาจะโดนคู่ต่อสู้และถูกขัดขวาง แต่การโจมตีซ้ำด้วยลายสลักเลือด สามารถทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การโจมตีของเขาจะสังหารอีกฝ่ายลงได้
แต่ตราบใดที่มีโอกาสสร้างความเสียหายได้นั่นก็เพียงพอแล้ว
และซูเฉินก็เชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กับตน
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้แข็งแกร่งก็ยังมีศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่ง
ถ้าซูเฉินเคลื่อนไหวและจบลงด้วยการบาดเจ็บ ชัยชนะครั้งนี้ของฉางเย่ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ในทางตรงกันข้ามมันจะทำให้ผู้อื่นได้รับผลกำไรจากการเฝ้าดูการต่อสู้ และพวกเขาก็จะรู้สึกเพียงแค่ว่ามันเป็นเพียงผลลัพธ์เดียวที่สามารถเกิดขึ้นได้
ผู้แข็งแกร่งก็ย่อมมีคู่ต่อสู้ของตัวเองเช่นกัน
หากฉางเย่จำต้องเคลื่อนไหวและจบลงด้วยการได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูที่แท้จริงของเขา
ผู้แข็งแกร่งก็ต่างมีความกระหายเป็นของตัวเองเช่นกัน
แม้กำไรของโรงเตี๊ยมจะไม่น้อย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตฉกฉวยมันมาจากผู้ที่อ่อนแอกว่าตน
นี่เป็นสาเหตุที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณจึงไม่ยอมลดตัวลงมาขุดหาแร่ดารา
ต่างคนต่างฐานะ ก็ย่อมมีความคิดและความต้องการที่แตกต่างกัน
จักรพรรดิไม่จำเป็นต้องเก็บก้อนทองธรรมดาทั่ว ๆ ไป
ซูเฉินไม่จำเป็นต้องทำให้ฉางเย่กลัวเขา เขาเพียงต้องการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์อะไรเลย มีแต่จะเสียศักดิ์ศรีและหน้าตา มิหนำซ้ำอาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูของเขาบุกเข้ามาได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ฉางเย่ก็หัวเราะ “เจ้าช่างเป็นผู้มีความกล้าอย่างแท้จริง หน้ากากปีศาจ เจ้าสนใจที่จะร่วมงานกับข้าหรือไม่?”
ทันทีที่บทสนทนาเปลี่ยนไป ก็กล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะของซูเฉินแล้ว
ซูเฉินยังคงส่ายหัว “ข้าชอบอิสระ ข้าไม่ต้องการเข้าร่วมกับใคร”
“จะไม่พูดถึงเงื่อนไขหน่อยหรือ?” ฉางเย่ถาม “ตัวอย่างเช่น ทักษะวิชาการดูดซับที่มีระดับกลางหรือสูงกว่า”
ทุกคนเริ่มมองด้วยความอิจฉา
ยิ่งทักษะวิชาการดูดซับมีระดับสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งหามาครองได้ยากเท่านั้น ฟังจากน้ำเสียงของฉางเย่ มีความเป็นไปได้มากว่าเขาอาจจะมีทักษะวิชาการดูดซับระดับสูงอยู่
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินก็ยังคงส่ายหัวอย่างไม่ยอมแพ้ สิ่งที่ฉางเย่สามารถให้เขาได้ตระกูลซูย่อมมีในครอบครองอยู่แล้ว ซูเฉินไม่ได้สนใจสมบัติของตระกูลซู แล้วเขาจะสนใจสมบัติของฉางเย่ได้อย่างไร?
ฉางเย่ไม่ได้โกรธ เขาพยักหน้าและพูดว่า “เป็นเช่นนั้น เอาล่ะหน้ากากปีศาจ ข้าจะจดจำคำของเจ้าเอาไว้”
ซูเฉินตอบอย่างเคารพ “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของผู้อาวุโสฉาง หน้ากากปีศาจทราบแล้ว”
ซูเฉินเข้าใจดีแล้วว่าฉางเย่หมายถึงอะไร
ฉางเย่ไม่สนใจดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์
แต่เขาสนใจตัวของซูเฉิน
สิ่งที่ฉางเย่เพิ่งกล่าวมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็เพียงเพื่อทดสอบความกล้าหาญของซูเฉิน เมื่อเห็นว่าซูเฉินมีความกล้าหาญอย่างแท้จริง ฉางเย่จึงต้องการที่จะรับสมัครเขามาเป็นพวกและเอาชนะเขา และการที่ซูเฉินปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลใด ๆ เป็นการบ่งชี้ว่าอีกฝ่ายมีคนอื่นสนับสนุนอยู่แล้ว
สิ่งนี้ทำให้ฉางเย่ล้มเลิกความคิดที่จะจัดการกับซูเฉินไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะจากไปฉางเย่ได้เตือนซูเฉินให้จำคำพูดเกี่ยวกับการอยู่อย่างอิสระจนถึงที่สุด ถ้าเขาไปเข้าร่วมกับผู้อื่น ฉางเย่อาจถูกบังคับให้ต้องลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ
แน่นอนว่า “ผู้อื่น” ย่อมหมายถึงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตคนอื่น ๆ ที่เหลือ
เมื่อเห็นฉางเย่จากไป หัวใจที่เคยบีบรัดของซูเฉินก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง เขายังคงถือมุกสลายวิญญาณไว้ในมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
แรงกดดันจากการเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตนั้นมากเกินไป
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ผ่านการทดสอบนี้มาได้สำเร็จ
ช่วงเวลาที่ฉางเย่ ทุกคนต่างก็หันไปมองซูเฉินด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
นี่คือชายผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่กล้ายืนหยัดเผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ในระดับด่านกลั่นโลหิต บุคคลที่ดุร้ายที่สังหารผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 5 คนในเวลาสั้น ๆ ผู้ทำลายอันดับ 1 ใน 6 ของผู้ “แข็งแกร่ง” ในหุบมรกตนี้ เขาเป็นคนชั่วร้ายที่กล้าใช้ยาพิษและลอบโจมตีทุกวิถีทาง ชายผู้ไร้ความปรานี
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ดื้อรั้น ดุร้ายและโหดเหี้ยมเช่นนี้ จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เข้าไปยั่วยุเขา
——————————————
การทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงด้วยความกระหายเลือด เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทำให้ผู้อื่นเกรงกลัว การต่อสู้ในโรงเตี๊ยมดาราโรย ได้ทำให้แขกผู้โลภทั้งหลายที่อยู่ในร้านพากันล้มเลิกความคิดแย่ ๆ เหล่านั้นไป
ด้วยเหตุนี้กิจการของซูเฉินจึงมั่นคงยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่โรงเตี๊ยมก็ไม่มีใครกล้าสร้างความเดือดร้อนในร้าน
ส่งผลให้เด็กหนุ่มมีเวลาว่างมากขึ้น ทำให้เขาสามารถออกไปล่าสัตว์มาเพิ่มได้
หลังจากหนึ่งเดือนแห่งการล่าสัตว์ผ่านไป ซูเฉินก็เชี่ยวชาญในการใช้ทักษะต้นกำเนิดของเขามากขึ้น ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาได้มาถึงขั้นที่ 2 ของด่านก่อเกิดลมปราณอย่างเป็นทางการ จากดาราเหลือง 17 ดวงได้เพิ่มมาเป็นดาราเหลือง 23 ดวง อัตราการพัฒนานี้เร็วกว่าเดือนก่อนด้วยซ้ำ เป็นเพราะความแข็งแกร่งของซูเฉินเพิ่มขึ้น เขาจึงสามารถฆ่าอสูรร้ายที่พบรอบ ๆ หุบเขามรกตได้มากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะรวมผลประโยชน์เหล่านี้ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว พวกมันก็ยังไม่ดีเท่ากับความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างคาดไม่ถึงของซูเฉิน
ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนซูเฉินได้รับหินพลังต้นกำเนิดมากถึง 12,000 ก้อน และนี่ยังไม่รวมถึงสิ่งที่เขาได้รับจากหลางเตาและอีก 4 คนนั้น
หลางเตากับพี่น้องทั้ง 2 ของเขา ได้มอบแร่ดาราเงินให้ ซูเฉิน 25 จิน, หินพลังต้นกำเนิด 400 ก้อน, เครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 9 และดาบประณีตอีก 2 เล่ม แม้ว่าดาบเหล่านี้จะไม่ใช่เครื่องมือต้นกำเนิด แต่ก็ถือเป็นของระดับสูงมากสำหรับดาบทั่วไป นอกจากนี้ยังมีหญ้าเซียนซึ่งเป็นสมุนไพรที่หายาก มันถูกเก็บไว้อย่างดีในกล่องหยก
ไป๋ฟานและภรรยาของเขาก็ค่อนข้างรวยมาก พวกเขามีแร่ดาราเงินอยู่ 16 จิน หินพลังต้นกำเนิด 800 ก้อน แล้วยังมีมุกทักษะต้นกำเนิด ที่บันทึกทักษะวิชาดาบที่เรียกว่า ‘ดาบอสุนีบาต’
นอกจากมุกทักษะต้นกำเนิดที่เป็นมรดกตระกูลแล้ว มุกทักษะต้นกำเนิดส่วนใหญ่เป็นแบบใช้แล้วทิ้ง มุกนี้ของพวกเขาก็เช่นกัน ซูเฉินไม่รู้ว่าไป๋ฟานกับภรรยาได้รับมุกนี้มาจากไหน และเนื่องจากทั้งคู่เป็นผู้ใช้ดาบมันจึงไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา แต่กับซูเฉินมันมี เขาเรียนรู้มันในทันที
ความแข็งแกร่งของดาบอสุนีบาตนั้นไม่ได้มากมายนัก ความเสียหายที่ทำได้ก็มีขีดจำกัด ทว่ามันมีรูปแบบที่หลากหลายอย่างมาก สามารถใช้ได้ทั้งการต่อสู้ระยะใกล้และระยะไกล ใช้ทั้งกับดาบและมีดสั้น หรือแม้กระทั่งมีดบินที่ใช้ในระยะใกล้และขว้างออกไป
มันไม่ใช้พลังงานมากนักจึงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถเพิ่มพลังขึ้นจากการโจมตีแต่ละครั้ง แม้คุณสมบัตินี้มันจะดูไม่มีประโยชน์มากนัก แต่ถ้าหากสะสมพลังเอาไว้ก่อน ความทรงพลังของมันคงจะสามารถจินตนาการได้ มันเป็นตัวแทนของทักษะต้นกำเนิดในปัจจุบัน
หากไม่รวมดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ กำไรที่ซูเฉินได้มาจากทั้ง 5 นั้น เกือบจะเท่ากับการทำงานอย่างหนักตลอดเดือนของเขา และเป็นเดือนที่เขาผูกขาดตลาดเอาไว้ด้วย ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีคนกล่าวว่า การฆ่าคนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรวยทางลัด ทว่าเงื่อนไขเบื้องต้นนั้นคือต้องฆ่าผู้อื่น ไม่ใช่ถูกฆ่า
อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ผลกำไรสุดท้ายของซูเฉิน หินพลังต้นกำเนิดส่วนใหญ่ของเขาถูกแลกเปลี่ยนกับแร่ดาราเงิน และเพราะเด็กหนุ่มรับซื้อในราคาครึ่งหนึ่งของราคาปกติ ดังนั้นเขาจึงได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อคำนวณด้วยวิธีนี้ก็เท่ากับว่าซูเฉินได้รับหินพลังต้นกำเนิดมาทั้งหมดประมาณ 30,000 ก้อนในเวลาเพียงหนึ่งเดือน
หากไม่รวมกำไรจากการฆ่าผู้อื่น หินพลังต้นกำเนิด 20,000 ก้อนต่อเดือนอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะล่อตาล่อใจของผู้คนนับไม่ถ้วนแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถบังคับเอามาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีวิธีการอื่น