บทที่ 317.1 ศึกใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 317.1 ศึกใหญ่เพิ่งจะเริ่มต้น ProjectZyphon

เมื่อได้พบกับพ่อครัวเฒ่าที่ปิดบังชื่อแซ่คนนั้นแล้ว รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนและอาจารย์ของเขาที่ลักษณะคล้ายลิงผอมแห้ง รวมไปถึงฝ่านกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินก็จากมาพร้อมกัน ก่อนหน้านี้พอได้พบกับพ่อครัวเฒ่าซึ่งอยู่ในสิบอันดับแรกเข้าจริงๆ ผู้เฒ่าร่างผอมเตี้ยกลับไม่กล้าแม้แต่จะผายลม เวลานี้กลับเริ่มบ่นพึมพำ บอกว่าเสียแรงที่พ่อครัวเฒ่ามีวรยุทธ์เลิศล้ำ แต่สภาพจิตใจกลับไม่ได้เรื่อง ถึงกับทำลายวรยุทธ์ของตัวเองเพียงแค่เพื่อชีวิตที่สงบสุข

เว่ยเหยี่ยนระอาใจกับอีกฝ่ายยิ่งนัก เขาทั้งไม่คล้อยตามและไม่โต้เถียง ปล่อยให้อาจารย์บ่นไป ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ส่ายศีรษะโคลงเคลง บอกให้รัชทายาทดูไว้เป็นตัวอย่าง อย่าได้เลียนแบบนิสัยไม่แสวงหาความก้าวหน้าของพ่อครัวเฒ่าเด็ดขาด หาไม่แล้วต่อให้วรยุทธ์จะสูงส่งแค่ไหน ชั่วชีวิตก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์เท่านั้น

พูดติดลมซะนานกว่าผู้เฒ่าที่เหมือนลิงผอมแห้งจะสังเกตเห็นว่ากุมารทองกุมารีหยกคู่นี้เงียบงัน ไม่มีใครพูดเออออกับเขา จึงจากไปอย่างขุ่นเคือง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า ‘ไม่อยู่ขัดจังหวะการกระหนุงกระหนิงกันของพวกเจ้าสองคนแล้ว’

เว่ยเหยี่ยนและฝานกว่านเอ่อร์หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นคนทั้งสองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าทางทิศใต้แทบจะเวลาเดียวกัน รัชทายาทเอ่ยประโยคหนึ่งว่าตามข้ามาแล้วพุ่งทะยานนำไปยังหลังคาแก้วมรกต ฝานกว่านเอ่อร์ตามไปติดๆ นั่นก็คืออาคารที่สูงที่สุดในตำหนักองค์รัชทายาท คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน พอจะมองเห็นกระบี่แหวกฟ้าดินของลู่ฝ่างได้เลือนๆ พอดี พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่ตระการตา ชวนให้คนทอดถอนใจชื่นชมไม่หยุด

เว่ยเหยี่ยนใจสั่นสะท้าน เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่ของยอดเขาเหนี่ยวคั่น กระบี่นี้เกรงว่าคงไม่ด้อยว่าสุยโย่วเปียนในประวัติศาสตร์เลย ไม่รู้ว่าใครที่ทำให้ลู่ฝ่างรับมืออย่างจริงจังเช่นนี้ได้ หรือว่าเจอกับมารเฒ่าติงเข้าให้แล้ว?”

ฝานกว่านเอ่อร์ส่ายหน้า “เหมือนจะไม่ใช่”

เว่ยเหยี่ยนกล่าวขออภัย “เทพธิดาฝาน เดิมทีควรจะไปชมศึกใกล้ๆ เป็นเพื่อนเจ้า แต่ด้วยสถานะของข้า ไม่อาจทำให้ข้ากระทำตามอำเภอใจตัวเองได้”

ฝานกว่านเอ่อร์พยักหน้ารับ “พระวรกายขององค์รัชทายาทล้ำค่าดุจทองคำ วันหน้ายังต้องสืบทอดบัลลังก์ของสกุลเว่ย…”

ไม่รอให้ฝานกว่านเอ่อร์เอ่ยจบ ผู้เฒ่าร่างคล้ายลิงก็พลิ้วกายมาจากทิศไกล เอ่ยกำชับเว่ยเหยี่ยนว่า “อย่าได้ไปรนหี่ตายเชียว ในเมื่อลู่ฝ่างออกกระบี่แล้วก็คงไม่มีสักกี่คนที่สามารถทำให้เขาหยุดมือได้ การตีกันของเทพเซียนเช่นนี้ เดิมทีก็ห้ามไม่ให้คนนอกแอบมองอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับที่มารเฒ่าติงยังชื่นชอบสังหารพวกคนที่คอยชมศึกตามใจชอบอีกด้วย”

เว่ยเหยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ “อาจารย์ เมื่อครู่นี้ท่านยังบอกว่าพ่อครัวเฒ่าขี้ขลาดดั่งหนู ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการฝึกยุทธ์ที่ต้องรุดหน้าอย่างห้าวหาญอยู่เลยไม่ใช่หรือ”

ผู้เฒ่าพูดฉุนๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมอนั่นอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ส่วนเจ้าอายุสักเท่าไหร่กันเชียว? พ่อครัวเฒ่าอายุปูนนั้น อะไรที่ควรจะเสพสุขก็ได้เสพสุขมาพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถติดตัว ก็ควรจะหาคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจมาสู้กันอย่างอึกทึกครึกโครม จะดีจะชั่วก็ให้เป็นเหมือนสุยโย่วเปียนที่แม้การบินทะยานจะล้มเหลว แต่ก็ยังสร้างชื่อเสียงอันดีงามทิ้งไว้ในยุทธภพนานนับร้อยปี! เจ้าเว่ยเหยี่ยนยังเด็กนัก ฝีมือยังไม่ยอดเยี่ยมมากพอ คิดจะรนหาที่ตาย นับว่าเร็วไป”

เว่ยเหยี่ยนสนิทกับผู้เฒ่ามาก อีกฝ่ายเป็นทั้งอาจารย์ที่เข้มงวด แล้วก็ยิ่งเหมือนผู้อาวุโสในบ้านที่ปากร้ายใจดี ปกติเวลาอยู่ด้วยกันก็มักจะพูดคุยกันเหมือนสหาย จึงเอ่ยหยอกเย้าว่า “ใช่ๆๆ อาจารย์ท่านพูดถูกทุกอย่าง เหตุผลทั้งหมดใต้หล้านี้ล้วนขึ้นอยู่กับท่าน”

ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะกล่าวอย่างตกตะลึงว่า “ไม่ถูกสิ เหตุใดทางฝั่งนั้นฟ้าร้องเสียงดังแต่ฝนกลับตกนิดเดียว (เปรียบเปรยว่าคำพูดคำจา ท่าทางภายนอกเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง แต่แท้จริงแล้วความสามารถกลับน้อยนิด) ไม่เหมือนลักษณะการลงมือของเซียนกระบี่ลู่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นเลย”

ผู้เฒ่าอยากรู้เกินกว่าจะอดทนไว้ได้ “ในใจคันยิบๆ นัก ข้าต้องไปแอบดูสักหน่อย”

ร่างของผู้เฒ่ากระโดดไปตามยอดแหลมบนหลังคาไม่กี่ครั้ง พริบตาเดียวก็ห่างไปไกลเป็นร้อยจั้ง สุดท้ายกลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ หนึ่งจุด

รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนนั่งอยู่บนสันหลังคา ส่วนฝานกว่านเอ่อร์กลับไม่ได้นั่ง ยังคงทอดสายตามองไปยังทิศไกล เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมถอนสายตากลับคืน

เว่ยเหยี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เทพธิดาฝาน ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ถงเซียนซืออยู่ในเมืองหลวงแล้วหรือยัง?”

ฝานกว่านเอ่อร์เผยสีหน้าเหนื่อยล้าและเลื่อนลอย ส่ายหน้ากล่าวว่า “พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ข้าไม่เคยพบอาจารย์มาก่อน”

เว่ยเหยี่ยนไม่กล้าเชื่อจริงๆ

ชาติกำเนิดและภูมิหลังของฝานกว่านเอ่อร์เหมือนมีเมฆหมอกบดบังมาโดยตลอด ต่อให้เป็นเว่ยเหยี่ยนที่นางและหอจิ้งซินคอยให้ความช่วยเหลือก็ยังรู้สึกเหมือนเดินอยู่กลางเมฆหมอกเช่นกัน รู้เพียงว่าฝานกว่านเอ่อร์คือบุคคลที่มีความสามารถของหอจิ้งซินรุ่นนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง แต่เรื่องความยิ่งใหญ่ของหอจิ้งซินเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่ในราชสำนักของแคว้นหนันเยวี่ยนเท่านั้นที่มีหมากของหอจิ้งซินอยู่ สี่แคว้นใต้หล้า ทั่วทั้งบนและล่างราชสำนักต่างก็มีเงาร่างของสตรีจากหอจิ้งซินผลุบๆ โผล่ๆ ให้เห็น

ไม่พูดถึงทุ่งราบกว้างนอกด่านอันเป็นพื้นที่รกร้างกันดาร แคว้นหนันเยวี่ยนถือเป็นถิ่นฐานของราชครูจ้งชิว ส่วนแคว้นซงไล่ก็มีเทพเซียนอย่างอวี๋เจินอี้นั่งบัญชาการณ์ เป่ยจิ้นเป็นของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น แล้วก็มีส่วนของถงชิงชิง แต่ถงชิงชิงแทบจะไม่เคยเผยโฉม ราวกับว่าอยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์เสียยิ่งกว่าลู่ฝ่างซะอีก เรื่องราวในยุทธภพที่เกี่ยวกับถงชิงชิง หนึ่งตะกร้าก็บรรจุไม่หมด บ้างก็บอกว่านางเป็นคนรู้ใจของติงอิงสมัยยังหนุ่ม เนื่องจากรักแปรเปลี่ยนเป็นแค้นจึงแยกทางกันเดิน บางคนก็พูดเหมือนมีหลักมีฐานว่า อันที่จริงถงชิงชิงคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่ง เคยเป็นองค์หญิงของเป่ยจิ้น แล้วก็มีคนบอกว่าเดิมทีถงชิงชิงคือบุรุษที่งดงามดุจนางฟ้า เมื่อฝึกวิชาของตระกูลเซียนจึงเปลี่ยนมาเป็นหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิง แต่กลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม รูปโฉมจึงไม่แก่ชรา

เมื่อเทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋เจินอี้ออกจากด่านครั้งนี้ได้ปรากฎตัวด้วยภาพลักษณ์ของเด็กน้อยอย่างเหนือการคาดการณ์ จึงมีคนเริ่มคาดเดาว่าถงชิงชิงอาจจะกลับคืนไปเป็นคนชรา หรือกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง บนโลกนี้ไม่มีสาวงามเลอโฉมอีกแล้ว

สำหรับเรื่องพวกนี้ เว่ยเหยี่ยนล้วนไม่เชื่อ

ฝานกว่านเอ่อร์หันหน้ามาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเป็นหญิงสาวตระกูลยากจนในแคว้นซงไล่ แต่ศิษย์พี่หญิงในสำนักท่านหนึ่งที่ท่องเที่ยวอยู่ในยุทธภพถูกใจฐานกระดูกของข้า นางจึงรับข้าเป็นศิษย์แทนอาจารย์ แล้วพาข้าไปอยู่ที่หอจิ้งซิน ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุหกขวบ ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น กราบรูปวาดของอาจารย์ที่แขวนอยู่ในหอสามครั้งก็ถือว่าทำพิธีกราบอาจารย์เสร็จสิ้นแล้ว ในหอเก็บตำราลับมากมายที่เจ๋อเซียนทิ้งไว้ เวทวานรขาวแบกกระบี่ของข้าก็คือหนึ่งในนั้น มันไม่ถือว่าเป็นวิชายุทธ์ของหอจิ้งซิน”

ฝานกว่านเอ่อร์ยิ้มจืดเจื่อน “ในยุทธภพนี้ คาดว่าข้าคงเป็นคนที่อยากพบ ‘ถงชิงชิง’ มากที่สุดแล้วกระมัง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ฝานกว่านเอ่อร์ก็หัวเราะ พนมมือสองข้างก้มหัวต่ำเอ่ยขออภัย “เรียกชื่อของอาจารย์โดยตรง ขอท่านโปรดอย่าถือสา อย่าถือสา”

เว่ยเหยี่ยนหัวเราะขำกับท่าทางเด็กๆ ที่หาได้ยากของเทพธิดาฝาน แล้วก็ให้ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์คืนนั้นบนสะพานที่นางเอามือตีหัวสิงโตหินบนราวสะพานเล่น

เมื่อเทียบกับเทพธิดาฝานแห่งหอจิ้งซินแล้ว เว่ยเหยี่ยนชอบฝานกว่านเอ่อร์ที่เป็นแบบนี้มากกว่า

และเวลานี้เองตรงขั้นบันไดด้านล่างก็มีเงาของสายลับตำหนักองค์รัชทายาทปรากฏตัวขึ้นมา เว่ยเหยี่ยนพลิ้วกายลงไป ครู่หนึ่งก็กลับมาบนหลังคาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเครียดขรึม “หอจิ้งหย่างก่อเรื่องอีกแล้ว รายชื่อที่เพิ่งออกใหม่ล่าสุดถูกนำไปเผยแพร่ข้างนอก เวลานี้เกรงว่าคนทั้งเมืองหลวงคงรู้แล้วว่าสิบคนใต้หล้าใหม่ล่าสุดมีใครบ้าง”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเหยี่ยนก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาไล่อ่านรายชื่อทั้งสิบคนนั้นออกมา “ไท่ซ่างเจ้าลัทธิมารติงอิง เจ้าประมุขพรรคหูซานอวี๋เจินอี้ โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ เฉินผิงอัน จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน คนลับมีดหลิวจง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน ภิกษุอวิ๋นหนีวัดจินกัง ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งเป่ยจิ้น จอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย”

สามคนสุดท้าย บวกกับเฉินผิงอันผู้นั้น รวมเป็นสี่คนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในรายชื่อ ล้วนเป็นคนหน้าใหม่ทั้งหมด

ฝานกว่านเอ่อร์ถามอย่างตะลึง “อาจารย์ของข้าล่ะ ลู่ฝ่างล่ะ?”

เว่ยเหยี่ยนไร้คำพูดให้ตอบโต้

เขาจะไปหาคำตอบมาจากที่ไหนเล่า

……

หลังจากที่ลุกขึ้นยืนจากซากปรักหักพังแล้ว จ้งชิวก็สะบัดชุดสีเขียวสลัดฝุ่นผงทั้งหมดที่อยู่บนร่างทิ้ง

เวลาเดียวกันนั้นหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารที่นั่ง ‘รับลม’ อยู่ใต้กำแพงก็รู้สึกเพียงว่ามีสายลมเย็นฉ่ำพัดผ่านใบหน้าไป จากนั้นเส้นสายตาก็พลันมืดสลัว พอจ้องมองไปชัดๆ โจวซื่อถึงได้ถอนหายใจโล่งอก ส่วนยาเอ๋อร์กลับอารมณ์ซับซ้อน ทั้งกลัวว่าตัวเองจะถูกแขกไม่ได้รับเชิญท่านนี้หมายตา ถูกล่อลวงจิตใจจนกลายไปเป็นหนึ่งในกลุ่มหญิงงามของตำหนักคลื่นวสันต์ ขณะเดียวกันก็วางใจลงได้ อย่างน้อยตอนนี้ตนก็รักษาชีวิตเอาไว้ได้แล้ว

หลังจากที่โจวเฝยปรากฏตัว เหล่าสาวงามของตำหนักคลื่นวสันต์ที่ต่างก็มีฝีมือและศักยภาพอยู่ในระดับขั้นที่สองของยุทธภพก็พากันพลิ้วกายลงตรงจุดที่ห่างไปไม่ไกล ประดุจนางฟ้าโปรยดอกไม้

โจวเฝยมองบุตรชายที่สภาพอเนจอนาถแล้วส่ายหน้า “มีความสามารถเพียงเท่านี้ ต่อให้พาเจ้ากลับไปบ้าน แต่เจ้าจะเอาอะไรไปสู้กับเจียงเป่ยไห่ได้ เจ้าน่ะ จงอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายไปอีกหกสิบปีเถอะ ไม่อย่างนั้นออกไปก็มีแต่ต้องตาย ถ้าไม่ถูกเจียงเป่ยไห่เล่นงานจนตายก็ถูกข้าที่โมโหเจ้าตีจนตาย อีกหกสิบปีให้หลังหากเลื่อนสู่สามอันดับแรกของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ได้แล้ว ข้าจะมาพาเจ้าไป หากแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังทำไม่ได้ เจ้าก็จงแก่ตายอยู่ที่นี่ไปเถอะ”

โจวซื่อมีสีหน้าตื่นตะลึง แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังมากนัก จึงทำเพียงรับฟังเงียบๆ

โจวเฝยชำเลืองมองยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาแล้วเอ่ยเหน็บแนม “เจ้าคงกำลังคิดว่าไม่ได้ออกไปก็ไม่เลว อย่างน้อยก็ได้ใช้ชีวิตเคียงคู่อยู่กับสตรีผู้เป็นที่รักสินะ?”

โจวซื่อที่ถูกคนมองความคิดออกอย่างทะลุปรุโปร่งหน้าแดงเล็กน้อย

โจวเฝยยื่นมือคว้าจับกลางอากาศ ยาเอ๋อร์พลันถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกระชากตัวไป จากนั้นโจวเฝยก็สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ข้างกายมีชุดกระโปรงสีเขียวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา มันสวมลงไปบนร่างของยาเอ๋อร์ด้วยตัวเอง หลังจากที่ชุดกระโปรงประหลาดสวมลงมาบนร่างก็มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าบาดแผลบนร่างของยาเอ๋อร์ประสานตัวหายดีอย่างรวดเร็ว เลือดสดไหลกลับเข้าไปในร่าง ลมปราณทั่วร่างที่แต่เดิมเป็นเหมือนน้ำบ่าทะลักทำนบก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลอย่างมั่นคง

โจวเฝยค้อมตัวลงพูดกับโจวซื่อ “เจ้าอยู่ต่อ แต่สตรีที่เจ้ารักกลับต้องจากไป ข้าจะรอเจ้าหกสิบปี หากเจ้าทำตามสัญญาได้สำเร็จก็มีคุณสมบัติที่จะติดตามข้าไปยังสำนักกุยหยกใบถงทวีป และวันนั้นเจ้าก็ไปสู่ขอสตรีผู้นี้ได้เลย แต่หากเจ้าล้มเหลว ครั้งหน้าที่พบกันในตำหนักคลื่นวสันต์ เจ้าก็ได้จะเห็นนางสวมชุดแต่งงานกับตาตัวเอง จากนั้นก็ต้องเรียกนางว่ามารดา”

โจวซื่อรีบร้อนลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ตกลง!”

โจวเฝยยิ้มกว้าง ลูบศีรษะโจวซื่อเบาๆ “บุตรชายคนดี”

สตรีที่ถูกตัดสินชะตาชีวิตเพียงแค่ชั่วเวลาดีดนิ้วมือรู้สึกเหมือนร่างจมหายเข้าไปในอุโมงค์น้ำแข็ง

เฝิงชิงป๋ายยืนอยู่ห่างไปไกลมาก เขาไม่กล้ามาแหยมกับโจวเฝยผู้นี้เลยสักนิด

ทุกครั้งที่โจวเฝยพูดจบหนึ่งประโยค เฝิงชิงป๋ายก็จะขยับเท้าออกห่างไปเรื่อยๆ อย่างเงียบเชียบ

การ ‘ล่องเรือผ่านขุนเขานับหมื่น’ ของเจ๋อเซียน ยิ่งผู้ฝึกตนมีแผนการยิ่งใหญ่เท่าไหร่ สิ่งที่ต้องละทิ้งก็ยิ่งมีมาก และสติปัญญาก็ยิ่งเปิดออกช้าเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นลู่ฝ่าง เพราะว่าตอนอยู่ใบถงทวีปเขาเป็นเซียนดินก่อกำเนิดแล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ดังนั้นการมาเยือนที่แห่งนี้ย่อมมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจิตมาร เคาะด่านหัวใจ

ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ลู่ฝ่างก็ยังต้องเดินทีละก้าวจากเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ประสา กราบอาจารย์ผู้เป็นยอดฝีมือระดับสองเล่าเรียนวิชา บรรลุเวทกระบี่ได้ด้วยตัวเอง จนท้ายที่สุดถึงแม้จะอยู่ภายใต้การพันธนาการจากกฎเกณฑ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว  ถูกกักตัวอยู่ในกรงขังขนาดใหญ่ยักษ์ที่ปราณวิญญาณเบาบาง เขาก็ยังสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่แห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ได้ นี่ก็คือความแข็งแกร่งของลู่ฝ่าง

เฝิงชิงป๋ายรู้ดีว่าตัวเองสู้ไม่ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด สถานะเจ๋อเซียนของเขาได้มาโดยบังเอิญ แม้ว่าจิตวิญญาณจะไม่ครบถ้วน ทิ้งกายหยาบไว้ที่ใบถงทวีปเช่นเดียวกับลู่ฝ่าง แต่ความทรงจำส่วนใหญ่ก็ยังหลงเหลืออยู่ ได้แต่อาศัยเนื้อหนังมังสาของคนอื่นในพื้นที่มงคลดอกบัวใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ลู่ฝ่างพุ่งตรงไปที่ความตั้งใจเดิม แสวงหามรรคา พิสูจน์มรรคา ส่วนเฝิงชิงป๋ายนั้นถอยมาเลือกในอันดับรองลงมา นั่นคือใช้เวทคาถาแสวงหามรรคา

ส่วนโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ที่ไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงในใบถงทวีปคือใคร มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นเจ๋อเซียนประเภทเดียวกับเฝิงชิงป๋าย อีกทั้งยังน่าจะฉกฉวยโอกาสได้มากกว่าเขา เห็นได้ชัดว่ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อมหามรรคา แต่มาเพื่อท่องเที่ยวผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น ทว่ามาใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว? มาอยู่ครั้งหนึ่งก็นานเกือบห้าสิบปี ถ้าอย่างนั้นโจวเฝยเป็นใครกันแน่ถึงได้มีกำลังวังชาและทรัพย์สินเงินทองมากมายถึงเพียงนี้?

สำนักใบถง สำนักกุยหยก ภูเขาไท่ผิง สำนักฝูจี?

เฝิงชิงป๋ายทอดถอนใจอยู่ในใจไม่หยุด บวกกับคนหนุ่มชุดขาวที่โผล่มากะทันหันผู้นั้น ตนช่างดวงซวยอย่างถึงที่สุด

ในอดีตโชควาสนาของพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ช่วงชิงมายากถึงเพียงนี้

ติงอิง โจวเฝย อวี๋เจินอี้ จ้งชิว ลู่ฝ่าง บวกับคนหนุ่มผู้นั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่หากเอาไปวางไว้ในทุกๆ ช่วงเวลาหกสิบปีก็ล้วนมีหวังว่าจะได้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในใต้หล้า โดยเฉพาะคนสามคนที่ยังไม่เผยตัวตนอย่างติง โจว อวี๋ ต่อให้เผชิญหน้ากับเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนในยุคสมัยที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด หลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งลัทธิมาร สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่หญิง จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ พวกเขาก็ล้วนสามารถงัดข้อด้วยได้!

โจวเฝยที่กำลัง ‘คุยเล่น’ อยู่กับบุตรชาย เฉินผิงอันที่ยังคงคุมเชิงกับจ้งชิว บวกกับเขาเฝิงชิงป๋าย

บนถนนเส้นนี้มีเจ๋อเซียนยืนอยู่สามคน

แต่ทันใดนั้นก็มีคนสองคนเดินเคียงไหล่กันมากั้นขวางทางถอยหนีของเฝิงชิงป๋าย

—–