องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 421 อย่าคิดหลอกพ่อ
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบายใจ นอนลงไปแล้วตัดสินใจบอกแม่ทัพฉี
“ท่านพ่อ”
ฉีเฟยอวิ๋นดึงผ้าห่มมาคลุม แม่ทัพฉีนั่งลง “เจ้านอนเถอะ พ่อจะเฝ้าเจ้า ท้องเจ้าใหญ่เพียงนี้ พ่อกลัว”
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องอยากบอกท่านนานแล้ว แต่ก็ไม่กล้า เพราะไม่อยากสูญเสียความรักความเอ็นดูจากท่าน
แต่ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
น้ำตาคลอเบ้าฉีเฟยอวิ๋น เธออยากร้องไห้
แม่ทัพฉีกล่าวกับเธอว่า “ดึกมากแล้ว ไม่ต้องคุย นอนเถอะ”
“ท่านพ่อ ข้าพูดดีกว่า หาไม่แล้ว ข้าจะรู้สึกผิดเอา”
พ่อลูกเงียบกริบชั่วครู่ แม่ทัพฉีอยากออกไป ทว่าฉีเฟยอวิ๋นคว้ามือแม่ทัพฉีไว้ “ท่านพ่อ ข้าเป็นเด็กกำพร้า ไร้บิดามารดาแต่เด็ก ข้าไม่เคยสัมผัสความรักจากผู้เป็นบิดาเลย ข้าเลยเห็นท่านเหมือนบิดาบังเกิดเกล้ามาตลอด” ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มสะอื้นไห้
แม่ทัพฉีก็น้ำตาอาบหน้า ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดน้ำมูก เล่าที่มาที่ไปของเธอ แม่ทัพฉีมองเธอราวกับฝันไป เขาจับแก้มฉีเฟยอวิ๋น “เจ้ายืมร่างคืนวิญญาณ?”
“ท่านพ่อพูดอย่างนี้ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ก็ไม่เชิง อันที่จริงข้ามาจากอีกโลกหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่าลูกสาวท่านไปเกิดใหม่หรือไปที่โลกของข้า สรุปก็คือร่างกายเป็นของบุตรสาวท่าน แต่วิญญาณเป็นของข้า
ข้าโชคร้าย เสียชีวิตตอนทำการทดลอง ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว
ที่ไม่เคยบอก เพราะข้าไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรและข้าก็เห็นแก่ตัว อยากให้ท่านรักและปกป้องข้าตลอดไป เป็นพ่อของข้า
แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ
ถึงแม้ท่านจะโกรธเกลียดข้า ไม่ชอบข้า ข้าก็ต้องบอก”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจบก็พลิกกายไปนอน หลังคลุมผ้าห่มเสร็จก็รู้สึกทั้งสับสนระคนเสียใจ
เธอคิดว่าแม่ทัพฉีจะไม่รักเธออีกแล้ว การสูญเสียไออุ่นพ่อจากแม่ทัพฉี มันเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งกว่าสูญเสียชีวิตหลายเท่า
แม่ทัพฉีนั่งสักพักก็ออกไป หลังออกไปก็ไม่กลับเข้ามาอีก
ฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับทั้งคืน เธอรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่ง เธอนอนหลับก็เป็นเวลาเช้าแล้ว ซึ่งเธอฝันเห็นแม่ทัพฉีควบม้าจากไป ทิ้งเธอให้อยู่ในทะเลทรายคนเดียว
ฉีเฟยอวิ๋นกระวนกระวายใจจึงสะดุ้งตื่นมาด้วยน้ำตา
เธอลืมตาขึ้นไม่เห็นแม่ทัพฉี ความเศร้าโศกผุดขึ้นกลางใจ ก่อนจะก่อเกิดเป็นความเสียใจที่บอกความจริงกับแม่ทัพฉี รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจถึงขีดสุด
เธอไม่รู้ว่าเกิดการอาการตั้งท้องหรือไม่ หรือว่าเธอคุ้นชินกับการมีหนานกงเย่คอยให้ไหล่พักพิง แต่ยามนี้ไม่มีกะทันหัน เธอจึงอดรู้สึกเป็นทุกข์ไม่ได้
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังเสียใจ ด้านนอกประตูก็มีเสียงแม่ทัพฉีแว่วเข้ามา “พวกเข้าสองคนตื่นแล้วเหรอ?”
“ท่านแม่ทัพ”
“ท่านแม่ทัพ”
หงเถากับลี่ว์หลิ่วรีบคำนับแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีเดินยิ้มคิกคักพร้อมกับยกน้ำแกงตับหมู อาหารสองจานและหมั่นโถวจำนวนหนึ่งเข้ามา
ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้น้ำตาท่วมหน้า พลางมองแม่ทัพฉีที่เดินเข้ามาตรงประตู
แม่ทัพฉีเห็นฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้เเหมือนคนเจ้าน้ำตาก็รีบวางอาหารลงอย่างร้อนรน
“เป็นอะไรไป?”
แม่ทัพฉีตื่นตระหนก ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้เสียงดัง “ท่านพ่อ ข้าคิดว่าท่านไม่เอาข้าแล้ว”
แม่ทัพฉีชะงัก รีบไปสวมกอดฉีเฟยอวิ๋น “เจ้าเด็กนี่ พ่อจะไม่เอาเจ้าได้ยังไง?”
ฉีเฟยอวิ๋นร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดแม่ทัพฉี แม่ทัพฉีก็ร้องตาม สองพ่อลูกต่างพากันร้องห่มร้องไห้ หงเถาลี่ว์หลิ่วเข้ามาเห็นก็ตกใจรีบถอยออกไป
ทั้งสองคิดว่าแม่ทัพฉีร้องไห้ก่อน พระชายาจึงร้องตาม
หงเถาอดรู้สึกสงสารไม่ได้ “เจ้าว่าทำไมท่านแม่ทัพถึงชอบร้องไห้จังเลย เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ร้องไห้เบาๆไม่ได้ ต้องร้องไห้ดังลั่นอย่างนี้ ร้องไห้จนข้าก็อยากร้องตามแล้ว”
ลี่ว์หลิ่วปาดน้ำตา “มีอะไรน่าร้องไห้หนะหรือ พระชายาท้องแก่แล้ว แต่ก็ต้องบุกป่าฝ่าดง ท่านเลยเป็นห่วงไง”
เสียงหารือเซ็งแซ่ด้านนอกฉีเฟยอวิ๋นหลุดจากภวังค์ซาบซึ้ง เธอเช็ดน้ำตาแล้วมองแม่ทัพฉี “ท่านพ่อไม่โกรธหรือ?”
“อวิ๋นอวิ๋น เมื่อคืนเจ้าแต่งพวกนั้นมาหลอกข้าหรือเปล่า?” แม่ทัพฉีทำหน้าบ่งบอกว่าเป็นไปไม่ได้?
ฉีเฟยอวิ๋นอึ้ง “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าข้าหลอกท่านหรือ?”
“อวิ๋นอวิ๋น เจ้าชอบหลอกข้าตลอดเลย ทำไมเจ้าจะไม่ใช่บุตรสาวของข้ากันเล่า พ่อไปสอบถามมาแล้ว มีเรื่องยืมร่างคืนวิญญาณจริงๆ แต่ตั้งท้องไม่ได้ ร่างกายยิ่งไม่มีความอุ่นสักนิด และเจ้ามีทั้งสองอย่าง เจ้าดูสิ”
แม่ทัพฉีเดินไปเอาตะเกียงมา ใช้ร่างกายครึ่งหนึ่งบดบังฉีเฟยอวิ๋น ส่วนอีกครึ่งที่เหลือบังแสงไฟจากตะเกียง แล้ววางตะเกียงด้านข้าง ร่างเงาทั้งสองพ่อลูกจึงปรากฏขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้ามองแม่ทัพฉีที่ทำหน้าขึงขังจริงจัง “ท่านพ่อทำอะไร”
“อันนี้คืออะไร?” แม่ทัพฉีชี้เงาทั้งสองร่างที่พื้นแล้วถามขึ้นมา
ฉีเฟยอวิ๋นมองตาม “เงาเจ้าค่ะ”
“อย่างนี้ก็ถูกแล้ว เจ้ายังคิดจะหลอกพ่ออีก คนมีเงา ศพไม่มี” แม่ทัพฉีพูดอย่างมีเหตุผล ฉีเฟยอวิ๋นทำหน้าซื่อ สุดท้ายหันมามองท่านพ่อของเธอครึ่งค่อนวันกล่าวจะตอบสนองทัน
“ท่านพ่อ ท่านว่าข้าหลอกท่านหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เพราะอะไร หัวใจรู้สึกมีก้อนหินมหึมาทับถม ทันใดนั้นเธอรู้สึกอยากหัวเราะ ทว่าเธอก็จ้องมองแม่ทัพฉีอย่างกังวลใจ ท่านพ่อเธอนั้นชาญฉลาดมาก
“เหอะ อย่าคิดว่าพ่อจะหลงกล” แม่ทัพฉีทำหน้าเข้ม
“ท่านพ่อ ไยท่านจึงคิดว่าข้าหลอกท่าน หลังจากข้าแต่งงานแล้ว ข้าก็เปลี่ยนไปมากเลยนะ”
“พ่อยังไม่รู้ว่าเจ้าเปลี่ยนไม่เปลี่ยนอีกหรือ เจ้าอยากไปช่วยพญาอีกาก็เลยแต่งเรื่องมาหลอกพ่อ ก็แค่อยากไปช่วยพญาอีกาเอง?”
“หา?” สมองฉีเฟยอวิ๋นตามไม่ทัน
แม่ทัพฉีปล่อยลูกสาวออก แล้วยกอาหารให้ฉีเฟยอวิ๋น ก่อนจะกำชับว่า “เจ้าอย่าคิดว่ามีโลหิตแก้พิษนับร้อยแล้วจะหลอกข้าได้ ข้ายังจำตอนไป๋ซู่ซู่ตายได้ดี
หลังจากที่เจ้าแต่งงานกับอ๋องเจ้าเล่ห์นั่น เจ้าก็ยิ่งฉลาดและซุกซนมากขึ้น
แต่พ่อลูกว่าเป็นเพราะเจ้าเติบใหญ่รู้ความแล้ว ครั้งนี้เจ้าอยากหลอกพ่อเพื่อไปช่วยพญาอีกา แม้แต่กับใบไม้ใบหญ้ายังมีหัวใจเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพญาอีกา พ่อเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี เจ้าร้อนใจจะช่วยพญาอีกากลับมา แต่ใครอยากไปก็ไป หัวเด็ดตีนขาดยังไงพ่อก็ไม่ให้เจ้าไป”
แม่ทัพฉีฉายพลังนุภาพอย่างเต็มเปี่ยม ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกมีอารมณ์สับสนซับซ้อนอย่างไม่อาจพรรณนา ผ่านไปเนิ่นนานจึงจะลุกไปล้างหน้าล้างตา
แม่ทัพฉีมองมา “ทำไม เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก?”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนกาย “ท่านพ่อล้างมือหรือยัง?”
แม่ทัพฉีถลึงตาใส่ “ล้างตั้งนานแล้ว หมั่นโถวพวกนี้ก็พ่อเอามา”
“เช่นนั้นก็กินข้าวเถอะ ยังมีแกงตับหมูอีก?” เสียใจมาทั้งคืน เวลานี้ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอารมณ์ดีเหลือแสน มองแม่ทัพฉีด้วยรอยยิ้มบานสะพรั่ง ยิ้มจนทำให้แม่ทัพฉีรู้สึกขนลุกซู่
“เจ้าอย่าคิดหลอกพ่อ แล้วไปที่ค่ายศัตรูเด็ดขาด ถึงตอนนี้เจ้าไม่ได้ตั้งท้องแก่ ข้าก็ไม่อนุญาต” แม่ทัพฉียกน้ำแกงตับหมูให้ พลางแกล้งตักเตือนฉีเฟยอวิ๋นอย่างเข้มงวด
ฉีเฟยอวิ๋นเหมือนคนโง่เขลาเบาปัญญา กินข้าวอย่างดีอกดีใจ เธอกินหมั่วโถวสลับกับดื่มน้ำซุปตับหมู
เมื่อกินอิ่มแปล้แล้วจึงถามขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ที่นี่มีตับหมูได้อย่างไร?”
เธอรู้ว่าแม่ทัพฉีทะนุถนอมตน คงเห็นเธอเลือดไหลเลยเที่ยวหาตับหมูมาบำรุงเธอ ทว่าไม่ได้ฆ่าหมูในค่ายทหาร แล้วมีตับหมูได้ยังไง?