ซูฉุนรีบพยักหน้ารับว่าใช่ เห็นพวกเขาสองคนสนอกสนใจ จึงเลือกเรื่องที่น่าสนใจมาเล่าให้พวกเขาฟัง
ตอนแรกซูหลีแค่ฟังตามมารยาท แต่ซูฉุนเล่าเรื่องได้อย่างน่าประทับใจ น้ำเสียงมีอารมณ์ร่วม ไม่นานนางก็เริ่มฟังอย่างตั้งใจ ผุดยิ้มบางๆ บ้างเป็นครั้งคราว ราวกับสามารถมองเห็นภาพการท่องเที่ยวอันน่าสนใจผ่านเรื่องเล่าของเขา นางถึงขั้นลืมเรื่องราวน่าปวดหัวในหลายวันที่ผ่านมาไปได้ชั่วขณะจริงๆ
ตงฟางเจ๋อพูดแทรกบ้างเป็นครั้งคราว ทำให้ซูฉุนเล่าเรื่องอยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม และคีบผักให้ซูหลีเป็นระยะ กระทั่งนางกินอาหารในจานหมดอย่างไม่รู้ตัว จึงได้สั่งให้คนเก็บสำรับ
สุราร้อนเปลี่ยนเป็นชาหอม ซูหลีจิบเบาๆ หนึ่งคำ กลิ่นหอมไหลลงสู่ลำคอ ความสดชื่นกระจายไปถึงหัวใจ นางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา มีราชกิจบ้านเมืองให้สะสางไม่เว้นแต่ละวัน ข้าไม่ได้มีความสุขและผ่อนคลายเช่นนี้มานานมากแล้ว ต้องขอบคุณพี่ใหญ่มาก!”
ซูฉุนกล่าวด้วยความปวดใจ “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ! พี่ใหญ่เคยคิดว่าเจ้าเป็นสตรีที่บอบบางและอ่อนแอที่สุดในโลกนี้ หากไม่มีผู้ใดปกป้อง เจ้าจะต้องมีชีวิตที่ลำบากแน่ๆ แต่วันนี้ เจ้าได้เติบโตและกลายเป็นสตรีที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ผืนฟ้าแล้ว! พี่ใหญ่ไม่รู้จะทำอะไรเพื่อเจ้าได้บ้าง?”
ตงฟางเจ๋อมองหน้าเขา แล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ “หากเจ้ามีความตั้งใจเช่นนั้นจริง ข้ากลับมีความคิดดีๆ อย่างหนึ่ง”
ซูฉุนตะลึงงันเล็กน้อย “ฝ่าบาทโปรดชี้แนะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองซูหลี แล้วกล่าวเสียงขรึม “นับตั้งแต่สองแคว้นเปิดการค้าอิสระ ข้อบังคับใหม่ยังคงมีอุปสรรคบ้างเป็นบางครั้ง และสาเหตุของเรื่อง ก็คือกรมพิธีการของสองแคว้นไม่สามัคคีกัน ยามเกิดปัญหาก็เคลือบแคลงและโยนความผิดให้กันเอง ทำให้แผนการพัฒนาของสองแคว้นได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง”
ซูหลีกระจ่างแก่ใจ เกรงว่าต่อจากนี้ต่างหากจึงจะเป็นช่วงสำคัญของงานเลี้ยงรวมญาติในครั้งนี้
ตงฟางเจ๋อกล่าวต่อว่า “ข้าใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัดสินใจจะหาคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลักมาดูแลควบคุมกรมพิธีการ…ซูฉุน เจ้าจะยินยอมแบ่งเบาภาระของข้ากับฮ่องเต้หญิงหรือไม่?”
ถึงแม้รู้ดีกว่าการกลับเมืองหลวงในครั้งนี้ ท่านพ่อจะต้องบังคับให้เขาเข้าราชสำนักแน่นอน แต่กลับไม่เคยนึกว่าตงฟางเจ๋อจะเป็นคนเอ่ยปากเอง อีกทั้งยังเป็นถึงตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ นั่นทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก นึกย้อนไปถึงสายสัมพันธ์ของพวกเขาในอดีตที่ไม่ค่อยสมานฉันท์กันนัก เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ซูฉุนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใด…จึงเป็นกระหม่อม?”
ตงฟางเจ๋อจิบชาอย่างแช่มช้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้ามีความรู้เข้าใจพิธีการ แล้วยังมีความสามารถมากพอสำหรับตำแหน่งนี้ ในราชสำนัก ผู้ที่ไร้อคติ และหวังให้สองแคว้นพัฒนาไปด้วยกันอย่างสมานฉันท์ ก็คงมีแต่เจ้า”
ซูฉุนเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยถึงเพียงนี้ ฉุนกลับรู้สึกหวั่นใจ” มีเรื่องหนึ่งที่เขายังคงปิดบังตลอดมา จึงยากจะสงบใจได้
เขาลังเลเล็กน้อย ตงฟางเจ๋อกระจ่างแก่ใจ เงยหน้าขึ้น แล้วจ้องพิจารณาคุณชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา ผู้ที่เคยหลบหน้าเขา และเป็นสหายรักกับตงฟางจั๋วในอดีต จู่ๆ เขาก็หัวเราะเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “เจ้ารู้หรือไม่ ที่ท่านอัครเสนาบดีเรียกตัวเจ้ากลับมาในครั้งนี้ เป็นประสงค์ของผู้ใด?”
ซูฉุนตะลึงงันเล็กน้อย ไม่นานก็ถามด้วยความประหลาดใจ “เป็นรับสั่งของฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตงฟางเจ๋อพยักหน้า กล่าวว่า “ถูกต้อง เจ้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของจวนอัครเสนาบดี ท่านอัครเสนาบดีฝากฝังความหวังไว้กับเจ้า ปีนั้นที่เจ้าลาออกไปท่องยุทธภพ ท่านอัครเสนาบดีโกรธเกรี้ยวจนเกือบตัดขาดความเป็นพ่อลูกกับเจ้า…หลังจากออกจากเมืองหลวง เจ้าก็ส่งจดหมายกลับมาบ้างเป็นครั้งคราว ท่านอัครเสนาบดีกลับไม่เคยเร่งเร้าให้เจ้ากลับบ้าน?”
ซูฉุนมองหน้าเขาอย่างตกตะลึง “นั่น…ก็เป็นเพราะฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สายตาของตงฟางเจ๋อแปรเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ เขาเพียงยิ้ม แต่กลับไม่ตอบคำถาม
ซูหลีพลันถาม “เหตุใดท่านจึงทำเช่นนั้น?”
ตงฟางเจ๋อหันไปมองหน้านาง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถึงเรื่องในอดีต “ซูซูยังจำได้หรือไม่ วันนั้นที่ข้าออกไปส่งเขานอกเมืองพร้อมกับเจ้า เจ้าพูดอะไรกับข้า?”
ซูหลีอดขมวดคิ้วไม่ได้ ปีนั้น…นางเคยพูดอะไรบางอย่างกับเขาจริงๆ แต่เรื่องผ่านไปหลายปีแล้ว ความทรงจำเริ่มเลือนราง นางจึงจำไม่ได้ หรือเขาจดจำมันมาตลอด?
“ใช่แล้ว” ราวกับอ่านใจนางออก ตงฟางเจ๋อหุบยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าบอกว่า ซูฉุนจากไปคราวนี้เกรงว่าจะไม่คิดย้อนกลับคืนราชสำนักอีก ให้ข้ามองเขาเหมือนคนว่างงาน ปล่อยให้เขาทำตามใจ ข้าได้รับปากเจ้า และบอกท่านอัครเสนาบดีว่าถึงแม้ซูฉุนมากล้นด้วยความสามารถ แต่หากอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป โลกทัศน์จะแคบเกินไป ถ้าออกไปท่องยุทธภพสักหลายปี เพิ่มพูนประสบการณ์ วันใดหากโลกทัศน์ของเขาเปิดกว้าง จะต้องกลายเป็นเสาหลักสำคัญของบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน”
ซูหลีเงียบงัน นิ้วมือใต้แขนเสื้อกำแน่น นึกไม่ถึงว่าถ้อยคำเพียงประโยคเดียวของนางในปีนั้น เขากลับจดจำมาจนถึงตอนนี้
ส่วนซูฉุนเองก็เพิ่งมารู้ในวันนี้ ว่าซูหลีได้มอบอิสระให้เขาถึงห้าปี ครั้นนึกถึงเรื่องที่ตนเองหลอกใช้พวกเขาในยามนั้น…ลึกๆ ข้างในก็สับสนวุ่นวาย เต็มไปด้วยความละอายใจอย่างไม่อาจบรรยาย
ตงฟางเจ๋อหันไปมองซูฉุน แล้วกล่าวต่อว่า “เรื่องจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ข้าไม่ได้มองผิด ครั้งนี้ที่เรียกตัวเจ้ากลับมา ไม่ใช่เพียงเพราะเจ้าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการ แต่ที่สำคัญที่สุดคือท่านอัครเสนาบดีได้หมดความอดทนลงแล้ว ถึงแม้ข้าไม่เรียกตัวเจ้ากลับมา อย่างมากก็ไม่เกินหนึ่งเดือน ท่านอัครเสนาบดีจะต้องหาทางบังคับให้เจ้ากลับบ้านแน่นอน”
ซูฉุนถอนหายใจยืดยาว กล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “ฝ่าบาทตรัสถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ เวลาห้าปีถือว่าถึงขีดจำกัดของท่านพ่อแล้ว หากมิใช่ว่ามีฝ่าบาทคอยสนับสนุน เกรงว่าแม้แต่ประสบการณ์ท่องยุทธภพห้าปีที่ผ่านมา ก็ยังเป็นได้แค่เรื่องเพ้อฝัน”
ตงฟางเจ๋อกล่าว “บทประพันธ์ ‘หยาซ่งแห่งแคว้นเฉิง’ ที่เจ้าแก้ไขใหม่ ข้าอ่านดูแล้ว มีความคิดเห็นที่แปลกใหม่ และไม่ซ้ำใครอยู่มากมาย เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ท่องยุทธภพของเจ้าไม่เสียเปล่า หัวใจ และความรู้ของเจ้าได้เปิดกว้าง ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”
ซูฉุนก้มหน้าด้วยความละอายใจ “ฝ่าบาททรงกล่าวชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตงฟางเจ๋อทำหน้าเคร่งเครียด มองหน้าเขาแล้วกล่าวว่า “ข้าชื่นชมเจ้า ไม่อยากให้ความสามารถของเจ้าถูกฝัง! ข้ารู้ว่าปีนั้นเจ้าจากเมืองหลวงไปด้วยเหตุผลใด และใช้รถม้าของซูซูทำการใดมาก่อน! คนที่จากไปแล้วก็เป็นเพียงเศษดิน เรื่องราวในอดีตเป็นดั่งหมอกจาง เรื่องนั้นข้าจะไม่สืบสาวเอาความอีก เพียงแต่ ข้าคาดหวังกับเจ้าไว้มาก อย่าทำให้ข้าผิดหวังก็พอ”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยถึงเพียงนั้น ซูหลีที่ได้ยินกลับตะลึงลาน กล่องเหล่านั้น…เขารู้แล้ว! ปีนั้นที่ตงฟางจั๋วสามารถหนีจากการตรวจตราอันเข้มงวดไปได้ ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
สีหน้าของซูฉุนสะดุด ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความละอาย ยามนั้นเพื่อช่วยชีวิตคน เขาไม่มีทางเลือก เดิมทีนึกว่าทหารรักษาประตูเมืองจะยำเกรงในฐานะของนาง และไม่ตรวจค้นอย่างละเอียด แต่นึกไม่ถึงว่าจะสุ่มเสี่ยงถึงเพียงนั้น! หากมิใช่ตงฟางเจ๋ออยู่ในรถม้าของนางพอดี แล้วยื่นมือช่วยเหลือเขา วันนั้นอย่าว่าแต่ช่วยตงฟางจั๋วหลบหนีออกจาเมืองหลวงเลย แม้แต่เขา ก็ไม่อาจหนีพ้นโทษตายได้ ไม่แน่อาจทำให้สกุลซูเดือดร้อนไปด้วย
ถึงแม้ผ่านไปนานถึงห้าปีแล้ว ยามนี้ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง ซูฉุนก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้
ซูหลีเงยหน้ามองตงฟางเจ๋อ เห็นเพียงเขาก้มหน้าจิบชา ไอร้อนลอยกรุ่น ขับเน้นนัยน์ตาดำขลับให้ยิ่งดูลึกล้ำยากจะคาดเดา หัวใจของนางสั่นไหว เขาเป็นคนที่รักความสมบูรณ์แบบ ไม่เคยยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใดเลยแม้แต่น้อย แต่เพื่อนางเขากลับใจกว้างกับซูฉุนถึงขนาดนี้! เขารู้ว่านางให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก หากไม่ได้ถูกคนวางแผนชั่วร้าย เขาจะยืนเฉยมองดูเสด็จพี่ตายด้วยน้ำมือตนเองได้อย่างไรกัน! สามปีมานี้ เกรงว่าเขาเองก็คงรู้สึกผิดและละอายใจต่อการตายของเสด็จพี่ไม่ได้น้อยไปกว่านางเลย!
หัวใจพลันเจ็บแปลบ เสียงของซูฉุนดังมาจากด้านข้าง “ซูซู ปีนั้นข้า…”
“พี่ใหญ่!” ซูหลีสะท้านไปทั้งใจ รีบตัดบทเขา “ท่านไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนอย่างไร!”
ซูฉุนเป็นคนฉลาด แค่นางเอ่ยปาก เขาก็เข้าใจทันที ลักลอบช่วยเหลือกบฏหลบหนีมีโทษหนักถึงเพียงไหน แม้เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ก็ไม่อาจเอ่ยปากยอมรับเองเด็ดขาด แม้แต่ตงฟางเจ๋อ ก็ยังเลือกสรรคำพูดอย่างอ้อมค้อมที่สุดแล้ว
————————