บทที่ 317 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 317 มือมืดเบื้องหลังที่ยื่นออกมาหน้าม่าน (2)

ตอนบ่าย สวี่ชีอันก็เดินออกมาจากหอเฮ่าชี่ ในสมองมีเสียงของเว่ยเยวียนดังก้อง ‘เฉากั๋วกงและอ๋องสยบแดนเหนือสนิทสนมกันมาก’

เย็นวานนี้ ตอนที่เขาได้รับ ‘จดหมายลับ’ จากหวางซือมู่ เขาก็คิดคนเดียวอยู่ตั้งนาง รู้สึกว่าเรื่องนี้มีความน่าเชื่อถือสูง แต่เขาก็ยังไม่เชื่อง่ายๆ

หลังจากทานอาหารกลางวันของวันนี้เสร็จ เขาจึงไปตรวจสอบกับเว่ยเยวียนและได้รับคำตอบที่แน่ชัดมา

อ๋องสยบแดนเหนือกับข้าไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เรื่องนี้น่าจะเป็นความคิดของเฉากั๋วกงแต่เพียงผู้เดียว แต่ข้ากับเฉากั๋วกงก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันนี่นา แล้วเขาเพ่งเล็งมาที่ข้าทำไมกัน

พลังเทพวชิระ…ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของสวี่ชีอัน

ระหว่างทางกลับไปโถงอี้เตา เขาก็พบกับเจ้าพนักงานคนหนึ่งซึ่งกำลังตามหาเขาอยู่ “ใต้เท้าสวี่ ด้านนอกมีคนมาหาท่านขอรับ”

“ใคร?” สวี่ชีอันสายคาสาดประกายวาบ

“คนจากจวนไหวอ๋องขอรับ” เจ้าพนักงานตอบ

จวนไหวอ๋อง…สวี่ชีอันพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคือง “รู้แล้ว”

เขาหันหลังกลับทันทีแล้วเดินออกจากที่ทำการปกครอง เมื่อมาถึงหน้าประตู เขาก็เห็นรถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน ทหารยามในชุดเกราะถืออาวุธคมกริบสองแถวยืนขนาบข้างรถม้า

เมื่อเห็นสวี่ชีอันออกมาก็มีทหารยามเอ่ยขึ้นทันที “ฆ้องเงินสวี่หรือ?”

สวี่ชีอันพยักหน้า

“ท่านแม่ทัพฉู่รอเจ้าอยู่ในรถ” ทหารกล่าว

…หลังจากไตร่ตรองพักหนึ่ง เขาก็ตามทหารคุ้มกันไปข้างรถม้า และได้ยินเสียงแหบพร่าอันหนักแน่นของชายคนหนึ่งดังมาจากด้านใน”เข้ามาคุยข้างใน”

น้ำเสียงนั้นยืดยาวเปี่ยมอำนาจ ราวกับเป็นคำสั่งมากกว่า

สวี่ชีอันเข้าไปในรถม้า

ในรถม้าอันกว้างขวาง ชายมีหนวดเครานั่งอยู่ข้างใน เขาสวมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อน ใบหน้าเป็นสี่เหลี่ยม ผิวคล้ำ มีดวงตาที่เหมือนพ่นกระแสไฟฟ้าออกมาได้ ท่าทางกดดันทรงอำนาจ

ชายมีหนวดเคราผายมือเชิญและโบกมือให้สวี่ชีอันนั่งลง ก่อนเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ได้ยินว่าญาติผู้น้องของฆ้องเงินสวี่เกี่ยวข้องกับคดีโกงการสอบขุนนางหรือ”

สวี่ชีอันจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพคือ…”

ชายมีเคราตอบสั้นๆ “ฉู่เซียงหลง รองแม่ทัพของท่านอ๋องสยบแดนเหนือ”

รองแม่ทัพของท่านอ๋องสยบแดนเหนือ…สวี่ชีอันพลันหรี่ตาลงทันที “ท่านแม่ทัพมิควรอยู่พิทักษ์ทางเหนือหรอกหรือ กลับมาที่เมืองหลวงได้อย่างไรกัน”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฆ้องเงินอย่างเจ้าควรถาม” ชายมีเคราเอ่ยเสียงเรียบ

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “ข้ามาหาเจ้าเพื่อทำข้อตกลงหนึ่งอย่าง”

“ท่านแม่ทัพเชิญกล่าว”

“มอบวิธีการฝึกพลังเทพวชิระออกมา แล้วข้าจะช่วยเจ้านำคนออกจากคุก” ฉู่เซียงหลงจ้องมองเขาด้วยสายตาร้อนระอุ

ที่แท้ก็ทำเพื่อพลังเทพวชิระ ก็จริง จอมยุทธ์ที่ไหนไม่เฝ้าคิดถึงพลังเทพที่ใช้คุ้มกายเช่นนี้บ้างล่ะ ในร่างอมตะของไต้ซือเสินซู่ก็มีพลังเทพวชิระอยู่ แม้ว่าจะเป็นจอมยุทธ์ระดับสูงต่างก็ต้องจ้องวิชานี้ตาเป็นมัน…

เพราะเหตุนี้ เฉากั๋วกงและคนผู้นี้จึงวางแผนจะชิงพลังเทพวชิระไปจากข้า โดยใช้กลยุทธ์ปล้นชิงไปตามไฟ แล้วหาประโยชน์กับข้าสินะ…

“ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเรียนรู้ได้ จะต้องมีวาสนาใหญ่เสียก่อน” สวี่ชีอันเอ่ยเตือน

“ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเตือน เจ้าได้เรียนรู้วิชาพลังเทพวชิระไปแล้ว แปลว่าเข้าใจความหมายของมันอย่างถ่องแท้ และสามารถสลักความหมายแฝงของพลังเทพวชิระออกมาได้ ดังนั้น จะฝึกได้หรือไม่ ก็เป็นเรื่องของข้าเท่านั้น” ฉู่เซียงหลงเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ

“ตราบใดที่เจ้าสลักความหมายเร้นลับของวิชาพลังเทพนี้ออกมา ข้าก็มีทางช่วยเจ้านำคนออกมาได้”

เจ้าไม่ใช่แค่ขูดเลือดขูดเนื้อข้าเท่านั้น แต่ยังคิดจะเล่นกับสติปัญญาของข้าด้วยสินะ สวี่ชีอันหัวเราะเยาะในใจแล้วเอ่ยถาม

“ขอบังอาจถาม ท่านแม่ทัพจะช่วยคนอย่างไร”

“ข้าย่อมมีวิธีของข้า” ฉู่เซียงหลงตอบอย่างใจเย็น

“เบื้องหลังของคดีนี้ซับซ้อนและเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง ขุนนางบุ๋นเหล่านั้นไม่ยอมฟังท่านหรอก ท่านแม่ทัพ อย่าคิดว่าข้าอายุสามขวบนะขอรับ” สวี่ชีอันยิ้มเยาะอย่างไม่เกรงใจ

“ข้าเพียงบอกจะช่วยคนออกมา มิได้บอกว่าจะลบล้างความผิดให้เขา” ฉู่เซียงหลงจดจ้องสวี่ชีอันด้วยสายตาคมกริบแล้วเอ่ยว่า

“เขาก็เป็นเพียงหมากเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีใครดันทุรังยึดติดกับเขาจริงๆ หรอก ข้ามั่นใจว่าจะลดโทษหนักให้เป็นเบาได้แน่ ไม่เกินสามปี เขาจะสอบขุนนางได้อีกครั้ง ด้วยความอุตสาหะของสำนักอวิ๋นลู่ที่ชิงโจว นี่จะเป็นหนทางที่ดีที่สุดของเขา”

สวี่ชีอันดวงตาสว่างวาบ “ดี! ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือให้ช่วยคนก่อน”

ฉู่เซียงหลงพยักหน้า “ได้”

หลังจากเสร็จสิ้นการสนทนาและออกมาจากรถม้า สวี่ชีอันก็ยืนอยู่ริมถนนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ตอนนี้เขาสามารถยืนยันจุดประสงค์ที่แท้จริงของเฉากั๋วกงผู้อยู่เบื้องหลังได้แล้ว

คนกลุ่มนี้คิดจะชิงวิชาพลังเทพวชิระของข้าตั้งแต่ต้นแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ามีสิทธิ์มีเสียงมาก พวกเขาจึงหวาดกลัว แต่ตอนนี้มากดเอ้อร์หลางไว้โดยใช้คดีฉ้อโกงการสอบขุนนางเพื่อทำให้ข้าเชื่อฟังแล้วมอบพลังเทพวชิระมาแต่โดยดีสินะ…

ได้ เช่นนั้นมาดูกันว่าข้าจะหลอกพวกเจ้ากลับอย่างไร

เมื่อรถม้าหายลับตาไป เขากลับไม่ได้กลับไปยังที่ทำงานหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทว่าหายตัวไปที่ปลายสุดของถนนสายยาว

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน คนที่มีเจตนาแอบแฝงก็ได้เผยแพร่และส่งเสริมจนข่าวลือเรื่องการฉ้อโกงการสอบขุนนางปะทุออกมาในวันรุ่งขึ้น

ตั้งแต่ขุนนางจนถึงสามัญชนล้วนแต่พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ จนมันกลายเป็นเรื่องสนทนาหลังอาหารไปแล้ว การอภิปรายที่ดุเดือดที่สุดเกิดขึ้นในหมู่บัณฑิต มีคนไม่เชื่อว่าสวี่ฮุ่ยหยวนจะโกงจริง แต่ปัญญาชนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะเชื่อ และปรบมือชื่นชมที่ราชสำนักทำงานได้ดี พร้อมกล่าวว่าควรจะลงโทษผู้ที่โกงการสอบขุนนางอย่างรุนแรงและให้คำอธิบายต่อปัญญาชนในใต้หล้า

ชื่อเสียงของสวี่ซินเหนียนพลิกผันไปอย่างรวดเร็ว จากที่เป็นฮุ่ยหยวนผู้ได้รับการยกย่องชื่นชม ก็กลายเป็นคนต่ำต้อยที่ถูกชี้นิ้วด่าจากผู้คนนับพัน

ทว่าสวี่ซินเหนียนที่อยู่ในคุกกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับการสอบสวนครั้งแรกของกรมอาญา

‘ปัง ปัง’…ทหารประจำคุกใช้กระบองตีกรงไม้แล้วเอ่ยเสียงดุ

“สวี่ซินเหนียน ตามข้ามา พวกใต้เท้าจะสอบปากคำเจ้า”

อีกด้านหนึ่งในห้องสอบปากคำ รองเจ้ากรมอาญาและเซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองนั่งอยู่หลังโต๊ะ พวกเขาดื่มชาพลางพูดคุยเรื่องคดีนี้ไปด้วย

“ใต้เท้ารองเจ้ากรม เหตุใดจึงไม่อาจใช้ทัณฑ์ทรมานหรือ” เขาสงสัย

“คำสั่งของเจ้ากรมซุนน่ะ” รองเจ้ากรมอธิบายหนึ่งประโยค จากนั้นก็เอ่ยอย่างเย้ยหยัน

“สวี่ซินเหนียนผู้นั้นก็แค่เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อีกเดี๋ยวข้าจะตีแสกหน้าให้เขาคุมอารมณ์ไม่ได้ จากนั้นก็จะตะล่อมสอบปากคำ ถึงเวลานั้น คงต้องรบกวนใต้เท้าเซ่าอิ่นเล่นบทคนดีด้วยแล้ว”

เซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองพยักหน้ากล่าว “เราใช้ทัณฑ์ทรมานมาขู่เขาก็ได้ บัณฑิตสมัยนี้มีฝีปากเก่งกล้านัก แต่เมื่อเห็นเลือดก็จะพากันหน้าถอดสีทั้งนั้น”

ขุนนางทุกคนยิ้ม พวกเขาล้วนแต่เป็นขุนนางสอบสวนผู้มีประสบการณ์มาก การรับมือบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งถือเป็นเรื่องกล้วยๆ

ทหารประจำคุกพาสวี่ซินเหนียนออกมาจากห้องขังมายังห้องสอบสวน แล้วคำนับต่อขุนนางทั้งหลายภายในห้อง

“ใต้เท้าทุกท่าน นำตัวคนร้ายสวี่ซินเหนียนมาแล้วขอรับ”

หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไปอย่างรู้ความ

สวี่ซินเหนียนยืนอยู่ที่ประตูพลางกวาดตามองในห้องสอบสวน มีขุนนางสวมชุดคลุมสีแดงสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะประธาน ซึ่งก็คือรองเจ้ากรมอาญาและเซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมือง

ทั้งสองฝ่ายมีขุนนางหลายคนมาร่วมสอบปากคำ รวมถึงมีเจ้าพนักงานจดบันทึก นอกจากนั้นยังมีโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์อีกหนึ่งคน

‘ปัง!’

รองเจ้ากรมอาญาคว้าไม้ปลุกสติมาตบโต๊ะแล้วเอ่ยเสียงขรึม “สวี่ซินเหนียน มีคนรายงานว่าเจ้าติดสินบนหัวหน้าคุมสอบจ้าวถิงฟางและทำการฉ้อโกงในการสอบขุนนาง เป็นเรื่องจริงหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนส่ายหน้า “ไร้สาระทั้งเพ”

รองเจ้ากรมอาญายิ้มเย็นแล้วเอ่ยต่อ “เจ้าติดสินบนจ้าวถิงฟางผ่านผู้ดูแลบ้านของเขาเป็นจำนวนเงินสามร้อยตำลึงเงินสองเหวิน และใช้ผู้ดูแลบ้านเป็นสื่อกลางเพื่อดูคำถามในการสอบล่วงหน้า ผู้ดูแลบ้านของจ้าวถิงฟางได้สารภาพแล้ว นี่คือคำสารภาพของเขา เจ้าดูเอาเองเถอะ”

พูดพลางเขาก็นำคำสารภาพหนึ่งฉบับออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เจ้าพนักงานส่งมอบให้แก่สวี่ซินเหนียน

สวี่ซินเหนียนรับมาแล้วอ่านดูอย่างละเอียด ในคำสารภาพเขียนไว้อย่างละเอียดมาก ถึงขั้นเขียนเวลาที่ทั้งสองฝ่าย ‘ซื้อขาย’ กันอย่างแม่นยำ แทบไม่มีช่องโหว่ใด

“สมกับเป็นคนของกรมอาญา แม้แต่คนที่อยู่ในเรื่องอย่างข้าก็ยังไม่พบข้อบกพร่องใด ทว่าตัวข้าก็มีหลักฐานชิ้นหนึ่งเช่นกัน ใต้เท้าทุกท่านอยากลองดูหรือไม่” สวี่ซินเหนียนเอ่ย

“หลักฐานใด” รองเจ้ากรมอาญาเอ่ยถาม

“นำพู่กัน กระดาษ และหมึกมาสิ” สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยเสียงเบา

เจ้าพนักงานย้ายโต๊ะเล็กตัวหนึ่งมาทันที จากนั้นจึงวางพู่กัน กระดาษ และหมึกเอาไว้

สวี่ซินเหนียนผู้สวมโซ่คล้องมือเท้านั่งอยู่หน้าโต๊ะ เขาหยิบพู่กันขึ้นมาจุ่มหมึกแล้วเขียนลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว

ไม่นาน ตัวอักษรเล็กๆ ก็ถูกเขียนเต็มกระดาษ สวี่ซินเหนียนจุ่มนิ้วโป้งกับหมึกแล้วประทับลงบนกระดาษ วางพู่กันลง จากนั้นเอ่ยว่า “ใต้เท้าโปรดดู”

รองเจ้ากรมอาญาสั่งคนไปนำมาแล้วกวาดตาอ่านดู สีหน้าของเขาพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที จากนั้นก็หายใจเร็วรี่แล้วจู่ๆ ก็ฉีกกระดาษออก ก่อนชี้ไปยังสวี่ซินเหนียนพร้อมตะโกนเอ่ยอย่างมีโทสะ

“เจ้าพนักงานลงทัณฑ์ ลงโทษเขาเดี๋ยวนี้”

เซ่าอิ่นตะลึงงัน นี่มันไม่เหมือนกับที่พูดเมื่อกี้เลยนี่ คนร้ายยังไม่ทันได้เสียอาการ ใต้เท้ารองเจ้ากรมกลับเสียอาการก่อนเสียแล้วหรือ

ขุนนางในที่นั้นมองไปยังกระดาษที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ โดยสัญชาตญาณทันที พลางเดาว่าสวี่ซินเหนียนเขียนว่าอะไร ถึงได้ทำให้รองเจ้ากรมผู้สง่างามโมโหและคร่ำครวญจะเป็นจะตายถึงเพียงนี้

“ดูเอาเถอะ ใต้เท้ารองเจ้ากรมคิดว่าข้าผู้เป็นบัณฑิตจะพูดจาส่งเดชหรือ”

สวี่ซินเหนียนผายมือแล้วเอ่ยเสียงยิ้มเยาะอย่างดูแคลน “หากเขียนเวลา สถานที่ บุคคล และขั้นตอนอย่างละเอียดชัดเจนแล้วประทับลายมือลงไป ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานว่าข้าติดสินบนผู้ดูแลบ้านอะไรนั่นได้แล้ว เช่นนั้น ใต้เท้ารองเจ้ากรม อ้อ ไม่สิ ลูกเอ๋ย เรียกพ่อเสียสิ เรื่องที่พ่อกับแม่เจ้าทำกันล้วนเขียนไว้ในนี้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทุกกระบวนความเหมือนกันนะ”

ขุนนางทุกคนมองไปที่เศษกระดาษบนพื้นอีกครั้ง ราวกับรู้ว่าแล้วบนนั้นเขียนเรื่องอะไร

“ลงโทษ ลงโทษบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจะทำให้เจ้าคนนี้อยากตายก็ไม่ตาย อยากอยู่ก็ไม่อยู่” รองเจ้ากรมอาญาโมโหจนเลือดตาแทบกระเด็น

บัณฑิตต่ำต้อยคนหนึ่งกลับกล้าดูหมิ่นมารดาที่เสียไปแล้วของเขา บัณฑิตต่ำต้อยกลับกล้าดูหมิ่นรองเจ้ากรมชั้นเอกขั้นสี่เช่นเขาต่อหน้าผู้คน

เลือดลมของรองเจ้ากรมอาญาตีขึ้นหน้า เขาเดือดดาลอย่างยิ่ง

“ใต้เท้ารองเจ้ากรมโปรดระงับโทสะ ใต้เท้าเจ้ากรมมีคำสั่งว่าห้ามทรมานนะขอรับ” ขุนนางคนหนึ่งจากกรมอาญารีบเข้ามาเอ่ยปลอบแล้วกระซิบเสียงเบา

“ฮึ่ม!” รองเจ้ากรมอาญาจิบชาแล้วพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตน แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

เซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองกระแอมไอแล้วรับหน้าที่สอบสวนต่อ เขาเอ่ยถาม “สวี่ซินเหนียน เจ้าได้ฉ้อโกงหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนเอ่ยพูดด้วยวาจาเปี่ยมสัจธรรม “ไม่เคย ข้าแซ่สวี่กระทำการตรงไปตรงมา ไม่เคยคิดคดฉ้อโกง”

เมื่อเซ่าอิ่นได้ยินดังนั้นก็หันไปหาโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์

‘คนผู้นี้เป็นญาติผู้น้องของคุณชายสวี่ วันนี้คุณชายสวี่มาเอ่ยเตือนที่สำนักโหราจารย์ตั้งแต่เช้า แต่ถึงอย่างนั้นแค่สิ่งที่สวี่ซินเหนียนพูดมาก็ล้วนเป็นความจริงแล้ว…’ โหรชุดขาวพยักหน้า “ไม่ได้โกหก”

เซ่าอิ่นถามอีกครั้ง “แล้วกลอน ‘ความลำเค็ญยามเดินถนน’ นั้น เจ้าเขียนเองหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนยืดอกตั้งตรง “มิผิด บัณฑิตผู้นี้เขียนเองขอรับ”

โหรชุดขาวตอบราวกับเป็นกลไก “ไม่ได้โกหก”

เซ่าอิ่นและรองเจ้ากรมอาญาสบตากัน คนแรกเอ่ยเสียงขรึม “คดีนี้มีความซับซ้อน เกี่ยวพันหลายฝ่าย เอาเช่นนี้ เลื่อนไปสอบสวนวันอื่นดีหรือไม่”

รองเจ้ากรมอาญาพยักหน้า “ดี”

ทั้งสองเดินออกจากคุกแล้วไปยังห้องโถงด้านข้าง พลางดื่มชาสนทนากัน

“อย่างที่คิด สำนักโหราจารย์กำลังช่วยสวี่ซินเหนียนจริงๆ” รองเจ้ากรมอาญากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เซ่าอิ่นจากที่ว่าการเมืองเพียงหัวเราะน้อยๆ แต่ไม่กล่าวอะไร ใน ‘คดีฉ้อโกงการสอบขุนนาง’ นี้ ที่ว่าการเมืองจะคอยรอดูอยู่เงียบๆ และไหลไปตามกระแสมากกว่า

“วันหน้าไม่ต้องเชิญโหรจากสำนักโหราจารย์มาแล้ว” รองเจ้ากรมอาญากล่าว

“ย่อมได้” เซ่าอิ่นพยักหน้า

วันต่อมา เซ่าอิ่นแห่งที่ว่าการเมืองก็มายังกรมอาญาและร่วมการสอบสวนสวี่ซินเหนียนอีกครั้ง ทว่ากลับถูกเจ้าพนักงานนำตัวไปพบกับเจ้ากรมซุน

“ใต้เท้าเซ่าอิ่น เชิญนั่ง” เจ้ากรมซุนนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยคารวะใต้เท้าเจ้ากรม” เซ่าอิ่นโค้งคำนับ จากนั้นก็นั่งลง

เจ้ากรมซุนจิบชาร้อนๆ แล้วถือถ้วยชาไว้พร้อมเอ่ยทอดถอนใจ “ฝ่าบาททรงจับตามองคดีนี้อย่างยิ่ง ทรงเน้นย้ำมาหลายหนว่าให้เราสืบความจริงมาให้ได้โดยเร็วที่สุด ตอนนี้ผู้ดูแลบ้านของจ้าวถิงฟางสารภาพแล้ว เราเพียงต้องง้างปากของสวี่ซินเหนียนเท่านั้น คดีนี้จึงจะสิ้นสุด เจ้าว่าจริงหรือไม่”

เซ่าอิ่นยืดหลังตรง แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เอ่อ…ใต้เท้าเจ้ากรมไม่อาจใช้การลงทัณฑ์ แล้วเช่นนี้สวี่ซินเหนียนจะยอมรับผิดได้อย่างไรหรือขอรับ”

เจ้ากรมซุนยิ้มตาหยี “การให้คนยอมรับผิด ไม่จำเป็นต้องใช้การลงทัณฑ์หรอก”

เซ่าอิ่นเข้าใจทันใด เขาเผยสีหน้าลำบากใจ

เจ้ากรมซุนยิ้มอบอุ่น “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้ากลับไปลองถามข้าหลวงเฉินดูแล้วค่อยตัดสินใจเถิด”

เซ่าอิ่นกลับไปที่ที่ว่าการเมือง แล้วนำคำพูดของเจ้ากรมซุนไปบอกกล่าวแก่ข้าหลวงเฉิน

ข้าหลวงเฉินไม่ลังเลแม้เพียงนิด “ได้ ทำตามที่เจ้ากรมซุนกล่าว”

เซ่าอิ่นเอ่ยอย่างลำบากใจ “ใต้เท้า เรื่องนี้ไม่เป็นไปตามระเบียบนะขอรับ หากว่าสวี่ซินเหนียนเป็นผู้บริสุทธิ์ละก็…”

ข้าหลวงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะพลางเอ่ยเย้ยหยัน “ไม่สำคัญว่าสวี่ซินเหนียนบริสุทธิ์หรือไม่ เขาเป็นเพียงหมากตัวเล็กๆ เท่านั้น สิ่งที่คนพวกนั้นต้องการคือ ‘หลักฐานการทำผิด’ มิใช่ความจริง เมื่อมีหลักฐานแล้ว พวกเขาก็สามารถนำไปต่อสู้กันในท้องพระโรงได้ พอมีหลักฐาน พวกเขาจึงจะมีเหตุผลรองรับ ฝ่าบาทก็จะคิดว่าพวกเขาเปี่ยมด้วยเหตุผลเช่นกัน ท้องพระโรงวันพรุ่งนี้ เกรงว่าคงมีละครให้ดูเสียแล้ว หากเราไม่ตกลง เช่นนั้นคดีก็จะติดอยู่ตรงนี้ พอถึงตอนนั้น หมวกที่อยู่บนหัวของเจ้าก็คงไม่อาจเอามาคลุมศีรษะได้”

เซ่าอิ่นจะกล่าวอันใดได้อีก เขารวบมือเอ่ย “ใต้เท้ามองการณ์ไกลนักขอรับ”

ข้าหลวงเฉินส่ายหน้า “เว่ยกงกลับไม่ลงมือทำอะไร แปลก แปลกยิ่งนัก…เจ้าส่งหลี่ว์ชิงไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลดู แล้วเผยเรื่องนี้ให้สวี่ชีอันรู้ทีสิ”

เซ่าอิ่นออกมาจากที่ว่าการเมืองแล้วไปยังกรมอาญา เขายังไม่ได้เข้าไปสอบสวนผู้กระทำผิด เพียงนำคำตอบของข้าหลวงเฉินไปบอกให้กับเจ้ากรมซุนรู้

เจ้ากรมซุนยิ้มอย่างพึงพอใจ “ใต้เท้าเซ่าอิ่น หลังคดีนี้จบลง ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวน ถึงเวลานั้นเจ้าต้องมาด้วยล่ะ มีใต้เท้าหลายท่านเลยนะที่อยากทำความรู้จักกับเจ้า”

วันต่อมา ท้องฟ้าสว่างสดใส

ขุนนางบุ๋นบู๊รักษาความเงียบงันขณะเดินผ่านเข้าไปทางประตูอู่อย่างมีระเบียบเพื่อเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรง

ผ่านไปหนึ่งเค่อ สวี่ชีอันในชุดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ก้าวเท้าเข้ามา ด้านซ้ายของเขาคือฮว๋ายชิ่งผู้สวมชุดชาววังสีเรียบ นางเย็นชาราวกับเทพธิดาในภาพวาด

ทางขวามือคือหลินอันในชุดแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าเปี่ยมเสน่ห์ ดวงตาเย้ายวนผู้คน

“เจ้ามั่นใจเพียงใด” ฮว๋ายชิ่งหันหน้าไปมองหนิงเยี่ยนที่อยู่ข้างๆ

สวี่ชีอันคำนับให้กับท้องฟ้าแล้วเอ่ยพึมพำ “ครึ่งครึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

…………………………………………………….