ตอนที่ 334 บังคับให้ลงจากตำแหน่ง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉีอวิ๋นเหล่ย เหวินซื่อชู่และคนอื่นๆก็จัดเป็นคนดังของดินแดนอ้างว้าง แน่นอนว่าคนมากมายก็รู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี

คนเหล่านั้นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเดินเข้ามาในจุดที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆนั่งอยู่เพื่อกล่าวทักทาย

“นายน้อยฉี ไม่ได้พบกันเสียนาน ไม่ทราบว่านายน้อยยังจำข้าได้รึไม่?”

บุรุษวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูมีเมตตาและยิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพทว่าไม่นอบน้อมมากเกินไป บุรุษผู้นี้คือผู้นำขุมกำลังพายุสะท้านซึ่งเป็นหนึ่งในสิบขุมกำลังที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนอ้างว้าง แม้ว่าจะเป็นขุมกำลังที่อยู่รั้งท้าย พวกเขาก็เป็นขุมกำลังที่ประมาทไม่ได้เลย

“ฮ่าๆๆ ทำไมข้าจะจำท่านไม่ได้ ท่านผู้นำไป่หลี่ชิงแห่งขุมกำลังพายุสะท้าน ข้าต้องจำท่านได้อยู่แล้ว”

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มบางๆ ในความจริงเขาก็รู้สึกประทับใจไป่หลี่ชิงในระดับหนึ่ง

แม้ว่าไม่ได้มีพลังที่แกร่งกล้าที่สุด ไป่หลี่ชิงก็ซื่อตรงและแน่วแน่มั่นคง เขาจดจ่อกับการพัฒนาพลังของตนเองด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและไม่เคยคิดหาเรื่องผู้ใด

“ฮ่าๆๆ ไม่ทราบว่าตอนนี้ผู้นำฉีสบายดีรึไม่?”

สีหน้าของไป่หลี่ชิงแสดงถึงความสุขอย่างชัดเจนเมื่อได้ยินฉีอวิ๋นเหล่ยเรียกชื่อของตน

“บิดาของข้าสบายดี ครานี้เขามาที่งานเลี้ยงตระกูลเฟิงไม่ได้เพราะมีเรื่องต้องสะสาง แต่หากท่านไปที่งานชุมนุมวายุเมฆาหลังจากนี้ ท่านจะได้พบกับเขาเป็นแน่”

ฉีอวิ๋นเหล่ยเพียงยิ้มออกมาและอธิบายอย่างพอเหมาะ

เขาเข้าใจดีว่าจุดประสงค์หลักที่คนเหล่านี้เข้ามาทักทายเขาหาใช่เป็นเพราะตัวเขา ทว่าเป็นเพราะฉินอวี้โม่ แม้ว่าไป่หลี่ชิงเก็บอาการได้ดีพอสมควร แววตาของเขาก็เป็นประกายด้วยความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่และฉินเทียนจนฉีอวิ๋นเหล่ยสังเกตเห็นได้

“ฮ่าๆๆ ดีเลย หากข้ามีโอกาส ข้าจะเดินทางไปที่ขุมกำลังราชาสวรรค์เพื่อพบผู้นำฉีด้วยตัวเอง”

ไป่หลี่ชิงยิ้มขณะสายตามองไปที่ฉินเทียนและฉินอวี้โม่ “นี่ก็คงจะเป็นผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬที่เลื่องชื่อในช่วงหลังมานี้ ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน”

“ฮ่าๆๆ ผู้นำไป่หลี่ชิงไม่ต้องสุภาพมากขนาดนั้นหรอก เราทั้งสองเป็นผู้นำของหนึ่งในสิบขุมกำลังแกร่งกล้า เรียกแค่ชื่อของข้าก็พอ”

ฉินเทียนยิ้มบางๆขณะกล่าวกับอีกฝ่าย เขาเองก็เคยได้ยินชื่อของไป่หลี่ชิงผู้นี้มาก่อนทว่าไม่เคยมีโอกาสได้พบกัน

จากอากัปกิริยาของฉีอวิ๋นเหล่ย ไป่หลี่ชิงผู้นี้ก็น่าจะควรคู่แก่การผูกมิตรไมตรี ฉินเทียนไม่รังเกียจที่จะมีสหายเพิ่มอีกสักคน

“ฮ่าๆๆ แม้เราทั้งสองต่างก็เป็นผู้นำของหนึ่งในสิบขุมกำลังหลัก ข้าก็ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวข้าและท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนเป็นอย่างดี มันไม่ใช่เป็นช่องว่างที่เล็กน้อยเลย”

ไป่หลี่ชิงยิ้มและกล่าวกับฉินเทียนด้วยแววตาท่าทางเคารพ

แม้ว่านี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบผู้นำขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬ เขาก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับบุรุษผู้นี้มามาก ฉินเทียนผู้นี้สามารถรับมือกับยอดฝีมือขอบเขตจ้าวสุริยะสามคนพร้อมกันโดยที่ไม่ตกเป็นรองเลย

ถึงแม้ไป่หลี่ชิงจะไม่อ่อนแอ เขาก็ไม่มั่นใจว่าตนเองจะเอาชนะไห่ป้าหวังได้ด้วยซ้ำ เพราะเช่นนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งอย่างฉินเทียน เขาจึงแสดงความเคารพอย่างชัดเจน

“ฮ่าๆๆ ผู้นำไป่หลี่ชิงสุภาพเกินไปแล้ว หากมีโอกาสในภายภาคหน้า หวังว่าเราจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน”

ฉินเทียนยิ้มและกล่าวกับอีกฝ่าย แน่นอนว่าไป่หลี่ชิงเข้าใจความหมายของเขาอย่างชัดเจน

ความหมายของฉินเทียนคือในอนาคตข้างหน้าขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬและขุมกำลังพายุสะท้านควรผูกมิตรไมตรีหรืออาจถึงขั้นกลายเป็นพันธมิตรต่อกัน

“ในเมื่อท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนว่าเช่นนี้ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธ หากมีโอกาส ข้าจะไปขอคำแนะนำจากท่านที่ขุมกำลังเสื้อคลุมทมิฬอย่างแน่นอน”

ไป่หลี่ชิงยิ้มพลางเหลือบสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่อีกครั้งและกล่าว “นี่ก็น่าจะเป็นท่านฉินอวี้โม่—ช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญผู้เจิดจรัสและโด่งดังไปทั่วดินแดนเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวที่พลัดพรากของท่านจอมยุทธ์ฉินเทียน”

เป็นเพราะเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ไป่หลี่ชิงจึงรู้สึกเคารพฉินอวี้โม่อย่างมากเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นสถานะผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์แห่งสมาคมช่างหลอม ความสามารถในการหลอมอุปกรณ์ได้อย่างเหนือชั้นหรือจะเป็นความแข็งแกร่งของนางที่สามารถเอาชนะจูอวิ๋นชางได้สิ่งเหล่านี้ล้วนเพียงพอที่จะทำให้ไป่หลี่ชิงเรียกนางว่าท่านได้

นอกจากนี้ ไป่หลี่ชิงก็เป็นคนที่ชื่นชมความองอาจกล้าหาญอย่างที่สุด รูปแบบการรับมือกับผู้คนของฉินอวี้โม่ก็ค่อนข้างถูกใจเขา เพราะเหตุนั้นเขาจึงรู้สึกชื่นชมในตัวนางไม่น้อยเลย

“ฮ่าๆๆ ผู้นำไป่หลี่ชิงสุภาพเกินไป นางคือฉินอวี้โม่บุตรสาวของข้าจริงๆ เรียกนางว่าอวี้โม่ก็พอแล้ว”

ฉินเทียนเอ่ยขึ้นก่อนที่ฉินอวี้โม่จะได้พูดอะไร เขาภาคภูมิใจอย่างที่สุดเมื่อมีใครเคารพและชื่นชมบุตรสาวของเขาอย่างชัดเจนเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ยังเป็นผู้น้อย แม้ว่ามีพรสวรรค์โดดเด่นและมีสถานะช่างหลอมระดับเชี่ยวชาญ เมื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่อายุมากกว่าอย่างไป่หลี่ชิง การเคารพลำดับความอาวุโสก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

“ท่านพ่อพูดถูกเจ้าค่ะ ท่านผู้นำไป่หลี่ชิงเรียกข้าว่าอวี้โม่เถอะ”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและเอ่ยขึ้นเบาๆ

นางสวมหน้ากากบดบังจนเห็นใบหน้าได้ไม่ชัด ทว่ากลิ่นอายความนิ่งสงบของนางก็ชัดเจนจนซ่อนไม่มิด

“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเด็กที่สุภาพและนอบน้อม การที่ท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนมีบุตรสาวแบบนี้นับเป็นโชคดีจริงๆ”

ไป่หลี่ชิงกล่าวชื่นชมอย่างเปิดเผย

“ฮ่าๆๆ ข้าก็คิดแบบนั้น”

เมื่อฉินเทียนได้ยินคำชมของไป่หลี่ชิง เขาก็อดหัวเราะเบาๆด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้

“ฮ่าๆๆ ข้าจะไม่รบกวนท่านจอมยุทธ์ฉินเทียนอีกแล้ว หากมีเวลาว่าง ข้าขอเชิญท่านผู้นำไปเยือนขุมกำลังพายุสะท้านของข้า ข้าจะเกณฑ์คนทั้งเมืองมาต้อนรอบท่านเลย”

ไป่หลี่ชิงยิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนกล่าวลา

“หากมีโอกาสเหมาะ ข้าจะเข้าไปรบกวนท่านอย่างแน่นอน”

ฉินเทียนยิ้มให้อีกฝ่ายและตอบสั้นๆ

หลังจากเอ่ยลาเหวินซื่อชู่ ฉีอวิ๋นเหล่ยและคนอื่นๆ ไป่หลี่ชิงก็กลับไปนั่งในเก้าอี้ประจำที่ของตนเอง

ในเวลานี้ เฟิงหรูเซียวและเฟิงจิงเทียนก็เดินออกมาจากภายในจวนพอดิบพอดี

เฟิงอู๋และคนอื่นๆก็เดินเข้ามาและนั่งลงตามลำดับที่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกเขาหม่นหมองและไม่สบอารมณ์นัก เมื่อชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่และคณะเดินทาง สายตาของเขาก็บ่งบอกถึงความอาฆาตมาดร้ายอย่างชัดเจน

ฉินอวี้โม่และคณะไม่ได้สนใจแววตาของคนเหล่านั้นขณะสนทนากันเอง พวกเขาทั้งหมดเพิกเฉยต่อสีหน้าแววตาของคณะเฟิงอู๋โดยสมบูรณ์

“ฮ่าๆๆ ทุกท่าน วันนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ข้าจะได้แบ่งปันความสุขกับทุกๆท่านที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเฟิง ในขณะเดียวกันข้าก็อยากจะใช้โอกาสนี้ในการประกาศให้ผู้คนทั่วทั้งดินแดนได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องบางอย่าง”

เฟิงหรูเซียวเดินเข้ามาที่บัลลังก์ทว่ายังไม่ได้นั่งลงในทันที  เขาพยักศีรษะทักทายฉินเทียนก่อนกวาดสายตามองทุกคนพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

“หลานรัก มานี่สิ”

เฟิงหรูเซียวโบกมือเรียกให้เสี่ยวเหยียนเข้าไปหา

เสี่ยวเหยียนไม่รอช้าขณะยิ้มตอบและเดินตรงเข้าไปยืนถัดจากเฟิงหรูเซียวด้วยท่าทีสำรวม

“ฮ่าๆๆ ทุกคนคงรู้กันทั่วว่าข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งก็คือเทียนเอ๋อร์และเทียนเอ๋อร์ก็ไม่เคยแต่งงานกับผู้ใดมาก่อน สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเชื่อกันไปว่าเขาไม่เคยแต่งงานและไม่มีบุตร วันนี้ข้าจึงขอประกาศให้ได้รู้โดยทั่วกัน…”

“อันที่จริง เมื่อสิบปีก่อน เทียนเอ๋อร์แต่งงานกับสตรีนางหนึ่งและให้กำเนิดบุตรีคนหนึ่งซึ่งก็คือดุรณีน้อยที่ยืนอยู่ข้างข้าในตอนนี้—เฟิงมู่เหยียน ทว่าเคราะห์ร้ายที่เกิดเรื่องบางอย่างทำให้บิดาและบุตรต้องพรากจากกัน มันเป็นเพียงจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้นที่ทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งโดยบังเอิญ”

ขณะเฟิงหรูเซียวกล่าว เฟิงจิงเทียนก็ยืนนิ่งอยู่ถัดจากเขาเช่นกัน

งานเลี้ยงตระกูลเฟิงครานี้มีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งก็คือการประกาศกร้าวต่อสวรรค์เบื้องบน เฟิงจิงเทียนรู้ว่าเสี่ยวเหยียนและมารดาใช้ชีวิตอย่างลำบากยากเข็ญมาตลอดหลายปี เขาได้รู้แล้วว่าสตรีคนรักมีเรื่องที่เสียดายอย่างที่สุดก่อนตาย ทว่านางไม่เคยเกลียดหรือโกรธเขาแม้แต่น้อย

บางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมแก้ไขไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่านางคือภรรยาของเขาเฟิงจิงเทียนและเสี่ยวเหยียนคือบุตรสาวของพวกเขาทั้งสอง

หากมารดาของเสี่ยวเหยียนอยู่บนสวรรค์เบื้องบนและมองลงมา นางคงจะคลายกังวลและมีความสุขอย่างมาก

แม้ว่าเสี่ยวเหยียนไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ นางก็เข้าใจดีว่าสิ่งที่มารดาของตนเสียใจที่สุดคือการต้องทอดทิ้งให้นางต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง บัดนี้เมื่อเฟิงจิงเทียนยอมรับตัวตนของนางต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาเป็นสักขีพยาน มันก็น่าจะชดเชยความเสียใจเหล่านั้นได้ไม่มากก็น้อย

ผู้คนที่มาร่วมงานน่าจะได้รับข่าวมาบ้างแล้วและรู้ว่างานเลี้ยงตระกูลเฟิงครานี้แท้ที่จริงแล้วมีจุดประสงค์เพื่อแนะนำเสี่ยวเหยียนให้บรรดาขุมกำลังทรงพลังทั้งน้อยใหญ่ได้รู้จัก

เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจใดๆขณะมองเสี่ยวเหยียนและพยักศีรษะ

แม้ว่าเสี่ยวเหยียนยังเด็กมาก นางก็เป็นคนสงบนิ่งใจเย็น ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังของนางและพบว่านางเป็นเด็กที่มากด้วยพรสวรรค์อย่างแท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น จากการกระทำนี้ มันก็ไม่ยากที่จะสัมผัสถึงความรักที่ผู้นำตระกูลเฟิงมีต่อดรุณีน้อยนามว่า ‘เฟิงมู่เหยียน’ ผู้นี้ เพราะเหตุนั้นหากบังเอิญพบกันในภายภาคหน้า คงไม่มีใครกล้ายั่วยุหรือหาเรื่องเด็กสาวผู้นี้

“ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลย พ่อเป็นเสือ ลูกย่อมไม่เป็นหมา และคุณหนูเฟิงก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

**虎父无犬女 พ่อเป็นเสือ ลูกไม่เป็นหมา หมายถึง ถ้าพ่อยอดเยี่ยมมีความสามารถ ลูกก็ต้องยอดเยี่ยมมีความสามารถเช่นกัน

ไป่หลี่ชิงกล่าวขึ้นเป็นคนแรกด้วยความชื่นชม

“ใช่แล้วล่ะ พ่อเป็นเสือ ลูกย่อมไม่เป็นหมา กอปรกับท่านปู่ที่ยอดเยี่ยมที่เป็นถึงผู้นำตระกูล คุณหนูเฟิงผู้นี้ย่อมยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน”

คนอื่นๆต่างก็พากันเห็นด้วย แม้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว พวกเขาก็ยังคงแสดงความคิดเห็นในทางที่ดีออกมา

“ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะ ข้าจะหมั่นเพียรฝึกฝนอย่างแข็งขันและหวังว่าวันหนึ่งข้าจะเป็นคนที่เก่งกล้าสามารถได้อย่างท่านปู่”

การที่เสี่ยวเหยียนยิ้มอย่างสดใสและกล่าวอย่างถ่อมตนเช่นนี้ มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกเอ็นดูนางมากยิ่งขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบกัน เฟิงอู๋จากตระกูลเฟิงยโสโอหังอย่างที่สุดซึ่งทำให้ผู้คนไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไหร่นัก

“ฮ่าๆๆ ขอบคุณทุกคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลเฟิงของเรา หวังว่าทุกท่านจะได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลเฟิง”

เฟิงหรูเซียวยิ้มกว้างและนั่งลงบนบัลลังก์

เฟิงจิงเทียนและเสี่ยวเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ทางซ้ายและขวามือของเขา สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้นำตระกูลรักและให้ความสำคัญกับผู้ใดมากที่สุด

“ผู้นำตระกูลสุภาพเกินไปแล้ว เป็นเกียรติของพวกเราทุกคนมากกว่าที่ได้เป็นแขกของตระกูลเฟิงในวันนี้”

ไป่หลี่ชิงยิ้มและกล่าวอย่างสุภาพนอบน้อม

ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลรักสันโดษที่แทบไม่เคยสุงสิงกับผู้ใด บัดนี้พวกเขามีโอกาสมาที่นี่และเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งสำคัญซึ่งสามารถนำไปสู่การผูกมิตรกับตระกูลเฟิงได้ งานนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง

“ใช่แล้ว เป็นเกียรติของเราที่ได้มาเป็นแขกของตระกูลเฟิง”

คนอื่นๆก็เห็นด้วยเช่นกัน เพราะนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างที่สุด ถือว่าเป็นเกียรติและโอกาสครั้งสำคัญที่พวกเขาเหล่านี้ได้มาเยือนตระกูลเฟิง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งครานี้ พวกเขาไม่เพียงแต่ได้เห็นว่าภายในตระกูลลับอย่างตระกูลเฟิงเป็นอย่างไร ทว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเรื่องของฉินอวี้โม่ที่ทำให้หลายคนคิดว่าการมาที่นี่ไม่ได้เสียเที่ยวเลย

แม้แต่ทั่วทั้งดินแดน งานเลี้ยงครานี้ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่จะเป็นที่พูดถึงอย่างหนาหู

เฟิงหรูเซียวยิ้มอย่างพึงพอใจขณะมองเสี่ยวเหยียนและกล่าวกับทุกคน “วันนี้ข้าก็มีอีกเรื่องที่จะประกาศให้ทุกท่านได้ทราบ”

แต่ทว่า… ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ เฟิงอู๋ก็ยืนขึ้นมา

“ท่านผู้นำ ก่อนที่ท่านจะกล่าวอะไร ข้าก็มีบางอย่างที่ต้องการพูดเช่นกัน”

เขาเมินเฉยต่อปฏิกิริยาของเฟิงหรูเซียวและกล่าวต่อ “ท่านผู้นำได้กลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิงมานานหลายปีแล้วและก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จใดๆ ตอนนี้ท่านก็แก่ชรามากแล้ว มันยังไม่ถึงเวลาที่ท่านจะสละตำแหน่งและให้ผู้ที่เหมาะสมขึ้นรับตำแหน่งอีกหรือ?”

.