ตอนที่ 593 โอมมณีปัทเมฮุม โดย ProjectZyphon

“ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องมันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ…” เจ้าคางคกตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนเองก็รู้สึกเช่นนั้นยิ่ง

ก่อนหน้าที่ยังไม่เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะ เดิมพวกเขาคิดว่าที่นี่ซ่อนมรดกของอสูรมารอริยะผู้หนึ่ง

แต่หลังผ่านการค้นหามาหลายวัน พวกเขาถึงพบว่าแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ น่าจะเป็นแดนเผยแพร่อริยชนหนึ่ง โดยราชันอริยมรรคผู้หนึ่งนำพาอริยะกลุ่มหนึ่งมาบุกเบิกด้วยกัน

จุดประสงค์เพื่อเก็บศุภโชคไว้ให้ทายาทรุ่นหลังของพวกเขา หวังว่าเมื่อทายาทเหล่านี้ถือเกิดกำเนิดขึ้น จะสามารถเหนือกว่าในอดีต สร้างตำนานบทใหม่บนหนทางแห่งมหามรรค

จนกระทั่งมาถึงภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งนี้ หลังผ่านการสืบเสาะอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขายังพบว่าที่แห่งนี้ดูเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเมื่อครั้งบรรพกาล!

ที่ทำให้ผู้คนแปลกใจสงสัยที่สุดคือ บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่นนี้ต่างหลงเหลืออักษรประหลาดยากคาดเดา เช่น ‘คีรีดวงกมล’ ‘ลวงหลอก’ ‘เสี้ยวจันทร์สามดารา’ พาให้คนงุนงง

“สถานที่นี้ลี้ลับและไม่อาจระบุเกินไปแล้ว สิ่งที่จินตนาการไว้ก่อนที่พวกเราจะมา มันธรรมดาเกินไป” จ้าวจิ่งเซวียนทอดถอนใจ

“แดนลับอสูรมารอริยะ… แดนเผยแพร่อริยชน… ภูเขาเทพหมอกม่วงซึ่งเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรม… ทุกอย่างในนี้เห็นได้ว่าน่าเหลือเชื่อจริงๆ เต็มไปด้วยปริศนา” หลินสวินรู้สึกแบบเดียวกันอย่างสุดซึ้ง

“ข้าสามารถยืนยันได้ว่า แดนลับแห่งนี้ต้องเป็นแดนเผยแพร่อริยชนอย่างไม่ต้องสงสัย!”

เจ้าคางคกใคร่ครวญอยู่นาน ก่อนตัดสินชี้ขาด “สำหรับภูเขาเทพหมอกม่วงนี่ เป็นเพียงแดนเผยแพร่ที่อริยะผู้หนึ่งทิ้งไว้ และอริยะคนนี้แหละคืออัครสาวกผู้หนึ่งในสมัยบรรพกาล!”

“งั้นอสูรมารอริยะที่ว่าคือใครกันล่ะ” หลินสวินถาม

“บางทีอาจเป็นแค่คำพูดที่บิดเบือนต่อกันมา หรือบางทีอสูรมารอริยะผู้นี้เดิมทีก็คือผู้บำเพ็ญธรรมคนหนึ่ง!” เจ้าคางคกทำการสันนิษฐาน

หลินสวินอึ้งงัน อสูรมารอริยะที่อยู่ในสายบำเพ็ญธรรม? คำอธิบายนี้ค่อนข้างแปลกใหม่ทีเดียว ทั้งเมื่อคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็สมเหตุสมผล

“ไม่ถูก บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแห่งนี้ อักษรปริศนามหายานที่เหลือไว้จะต้องไม่ได้มาจากลายมือของคนเพียงคนเดียวเป็นแน่” จ้าวจิ่งเซวียนพลันเอ่ยปาก ชี้ไปยังจุดน่าสงสัยหนึ่ง

“ง่ายมาก พวกเจ้าน่าจะรู้ แดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ก้าวผ่านกาลเวลาเหลือคณานับอยู่นานแล้ว ในกาลเวลาอันเนิ่นนานต้องมีเหล่ายอดฝีมือมากมายเคยมาที่นี่เพื่อเสาะแสวงหามาก่อน”

ความคิดของเจ้าคางคกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชัดเจน ดวงตาสีทองเปล่งประกาย

“แต่หากกล่าวว่าก่อนหน้าเคยมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาที่นี่ เหตุใดพวกเขาถึงทิ้งคำพูดประหลาดพวกนี้บนแท่นบูชาล่ะ” จ้าวจิ่งเซวียนถาม

เวลานี้นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง กล่าวว่า “ข้ามีความคิดหนึ่ง จากที่พวกเราเห็น นี่คือภูเขาเทพหมอกม่วงแห่งหนึ่ง เก็บซ่อนวาสนาแห่งยุคเอาไว้”

“แต่ในกาลก่อนเหล่าผู้แข็งแกร่งซึ่งเคยมาที่นี่ บางทีอาจเห็นว่าภูเขานี้คือ ‘คีรีดวงกมล’ จึงพยายามเสาะหาสิ่งที่เรียกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ จากที่นี่!”

“ใช่!”

เจ้าคางคกกล่าวชมเชย “เหมือนกับที่ข้าคิด ภูเขาเทพหมอกม่วงที่เรียกนี้ แต่ก่อนอาจถูกอริยะผู้บำเพ็ญธรรมเหล่านั้นมองเป็น ‘คีรีดวงกมล’ นึกว่า ‘ปริศนาแห่งโพธิญาณ’ ซ่อนอยู่ภายใน แต่ท้ายที่สุดพวกเขากลับไม่ได้อะไรเลย ดังนั้นจึงคิดว่านี่แหละคือการลวงหลอก เชื่อว่าคีรีดวงกมลและปริศนาแห่งโพธิญาณไม่มีอยู่แต่แรก!”

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกมา หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนก็กระจ่างบางส่วน แต่เมื่อกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนกลับยังคงมีช่องโหว่ไม่น้อย

“งั้นเจ้าว่าที่นี่ใช่คีรีดวงกมลหรือไม่กันแน่ หรือเป็นดั่งอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชาที่กล่าวว่า ทั้งหมดนี้เป็นแค่การลวงหลอก?” จ้าวจิ่งเซวียนอดถามไม่ได้

“ข้อความบนแท่นบูชาล้วนเป็นอักษรปริศนามหายาน เป็นภาษาสันสกฤตซึ่งยากจะเห็นในสมัยบรรพกาล มีเพียงอริยะผู้บำเพ็ญธรรมจึงสามารถเข้าใจ นี่มิใช่หมายความว่า ในกาลเวลาอันเนิ่นนานนี้มีอริยะผู้บำเพ็ญธรรมมากมายเคยมาแสวงหายังภูเขานี้หรอกรึ”

หลินสวินเองก็เอ่ยปาก สายตามองไปยังเจ้าคางคก “หากเป็นเช่นนั้น วาสนาที่ซ่อนอยู่ในภูเขาเทพหมอกม่วงนี้ ใครเล่าจะกล้ายืนยันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอริยะผู้บำเพ็ญธรรมครั้งบรรพกาลผู้ใดผู้หนึ่งจริง”

เจ้าคางคกอึ้งงันไปครู่หนึ่ง มองดูจ้าวจิ่งเซวียน และหันมองหลินสวิน คล้ายอับอายกลายเป็นโกรธอยู่บ้าง ด่าว่า “พวกเรามาเพื่อช่วงชิงวาสนา ไม่ได้มาสืบเสาะเรื่องไร้สาระที่หลงเหลือไว้ในสมัยบรรพกาลนะ คีรีดวงกมลอะไรกัน ไยต้องไปใส่ใจด้วย”

“ดูท่าเจ้าเองก็ไม่แน่ใจ” หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเคลือบแคลงสงสัย

เจ้าคางคกกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม้ข้าเป็นที่รู้จักในนามผู้รอบรู้สิ่งล้ำค่าทั้งปวง แต่ไม่เคยพูดว่ารอบรู้ในสรรพสิ่งเร้นลับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันสักหน่อย!”

“ไปๆๆ อย่ามัวแต่โง่งมอยู่ที่นี่ เวลามีค่า ไปดูแท่นบูชาอื่นต่อ”

พูดพลางเจ้าคางคกก็วิ่งผลุบหายไปราวหมอกควัน เห็นชัดว่ากลัวทั้งคู่จะถามปัญหาบางอย่างที่เขาไม่อาจตอบได้อีก

เมื่อสำรวจแท่นบูชาแต่ละแท่นต่อ ก็ไม่เจอเบาะแสที่ควรค่าใดอีก

ขณะที่พวกเขากำลังผิดหวัง จู่ๆ ลูกตาเจ้าคางคกพลันเบิกกว้าง ขยับไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นทันที หน้าแทบจะติดอยู่บนแท่นบูชานั่น กล่าวอย่างดีอกดีใจ “บนนี้มีความลับที่แท้จริง แตกต่างจากแท่นบูชาอื่นโดยสิ้นเชิง!”

หลินสวินและจ้าวจิ่งเซวียนถูกดึงดูดเข้าไปทันที

“พันหมื่นแปรเปลี่ยน… ใจความคงเดิม… นั่นคือ… โอม… ม… ณี… ปัท… เม… ฮุม!”

เจ้าคางคกอ่านทีละคำ มิใช่ว่าตื่นเต้นเกินไป แต่เพราะอักษรปริศนามหายานบนนั้นยากหยั่งถึงและซับซ้อนเกินไป พาให้เขาทำได้แค่รับรู้มันทีละตัวๆ

“พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม” หลินสวินท่องซ่ำอีกครั้ง กล่าวอย่างงุนงง “นี่หมายความว่าอะไร”

เขารู้สึกแค่ว่าหกคำสุดท้ายนั่นพูดยากชวนลิ้นพันเหลือเกิน มีท่วงทำนองแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เพียงหกคำเท่านั้นกลับประหนึ่งแฝงความนัยลึกลับเหลือคณานับอยู่ภายใน

วู้ม!

ขณะที่เขาเพิ่งพูดจบ กลางท้องฟ้าละแวกใกล้เคียงพลันเกิดคลื่นผันผวนลึกลับ ปรากฏบานประตูซึ่งห้อมล้อมด้วยแสงมรรค!

อีกทั้งใจกลางดอกบัวที่อยู่ห่างไกลนั่นมีรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งพุ่งทะยานออกมา ประดุจสะพานเชื่อมต่อบานประตูนี้

ภาพเหตุการณ์อันวิเศษมหัศจรรย์ทำให้หลินสวิน จ้าวจิ่งเซวียนและเจ้าคางคกต่างตระหนกอยู่ในใจ พวกเขาหาปริศนาและคำตอบบางอย่างจากแท่นบูชาได้จริงดังคาด!

“ต้องเป็นพลังซึ่งแฝงอยู่ในคำพูดเมื่อครู่แน่ที่จุดชนวนสิ่งต้องห้ามบางอย่าง ทำให้ประตูนี้ปรากฏขึ้น!”

เจ้าคางคกจิตใจฮึกเหิม ยิ้มแย้มแจ่มใส “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า จำนวนของแท่นบูชานี่สอดคล้องกันพอดี และอีก ‘หนึ่ง’ ซึ่งยังไม่เคยปรากฏนั่น ตอนนี้ก็ถูกพวกเราค้นพบแล้ว! บานประตูนี่แหละคือ ‘หนึ่งรอดพ้น’ นั่น!”

ยิ่งพูดเจ้าคางคกยิ่งตื่นเต้นดีใจ เกือบจะร่ายระบำอยู่แล้ว “ไม่ใช่บอกว่าศุภโชคมอบแด่ผู้มีวาสนาหรอกรึ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเราบังเอิญเจอวาสนาที่ซ่อนไว้เข้าให้แล้ว!”

“ไป ถึงเวลาที่พวกเราต้องออกโรงอย่างสง่างาม คว้าเอาวาสนาครานี้มาให้หมดเลย!”

เจ้าคางคกพูดพลางกระโดดเข้าไปในบานประตูนั่น จนหลินสวินห้ามปรามไม่ทัน

“ช่างเถอะ พวกเราเองก็รีบเร่งลงมือเถอะ”

จ้าวจิ่งเซวียนกล่าวพลางยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้สึกว่าที่เจ้าคางคกพูดก็ไม่ผิด นี่ต่างหากคือหนทางที่เหมาะสมกับพวกเราที่สุด”

หลินสวินไหวไหล่ “ก็ได้แต่ทำเช่นนั้นแหละนะ”

ทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหวในบัดดล ก้าวเข้าสู่บานประตูปริศนานั้น เหยียบลงบนรุ้งศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเยื้องย่างอยู่ระหว่างดาวเคลื่อนดาราคล้อย

ชั่วพริบตาเท่านั้น เงาร่างพวกเขาหดเล็กลงไม่หยุด ลับหายไปในดอกบัวตรงใจกลางนั่น

หลังจากที่พวกเขาจากไป บานประตูนั้นรวมถึงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ก็เลือนหาย ราวกับทุกสิ่งเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

ผืนดินศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขา เมฆาลอยล่องหมอกระยับ บัวดอกหนึ่งเบ่งบานกลางท้องฟ้าเหนือยอดคีรี แสงสว่างไหลวน สาดส่องฟ้าดิน

บนแท่นบูชาสี่สิบเก้าแท่น บานประตูยังคงอยู่ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สี่สิบเก้าสายเชื่อมต่อไปบนดอกบัวซึ่งอยู่ตรงกลาง

หลังจากผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่ากลุ่มแรกก้าวข้ามบานประตูและหายไปในสถานที่แห่งวาสนาที่ดอกบัวนั้นวิวัฒน์ขึ้น ก็มีผู้แข็งแกร่งมากมายทยอยก้าวขึ้นสู่ยอดเขา พุ่งเข้าบานประตู

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้เดิมเข่นฆ่าแย่งชิงกันอยู่ที่เชิงเขา แต่เพราะการปรากฏตัวของพญาเผิงปีกทองและสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่ง ทำให้พวกเขาตกใจกระเจิดกระเจิง ลี้ภัยมายังยอดเขา

ไม่นึกเลยว่าบานประตูที่มุ่งสู่สถานที่แห่งวาสนายังคงอยู่ นี่ทำให้พวกเขาพุ่งเข้าไปโดยไม่ต้องคิด

บางทีพวกเขาอาจสูญเสียโอกาสทอง แต่แม้ไม่ได้กินเนื้อ ก็ขอคว้านเอาน้ำแกงมาดื่มหน่อยแล้วกัน

ด้วยมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหว

“อยู่ตรงนี้”

กระทั่งต่อมา หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีนำผู้แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวอยู่หน้าแท่นบูชาที่พวกเขาหลินสวินจากไป

หญิงสาวรูปงามพริ้งเพรา มือถือแผนภาพเก่าแก่ที่คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยกม้วนหนึ่ง สายตาจ้องจับเปรียบเทียบอักษรปริศนามหายานบนแท่นบูชานั่น

ชายหนุ่มเองตื่นเต้นและเฝ้ารออยู่บ้าง

หากหลินสวินอยู่ที่นี่ต้องจำได้อย่างแน่นอน หนุ่มสาวคู่นี้ก็คือเหยาซู่ซู่และเหลียนเฟย!

“เป็นที่นี่จริงๆ แผนภาพปริศนาที่ท่านพ่อข้าทิ้งไว้ไม่มีผิดพลาด!”

ไม่นานนักเหยาซู่ซู่ก็มีสีหน้าฮึกเหิม

“ถ้าเช่นนั้น เจดีย์สมบัติในมือท่านพ่อ รวมถึงแผนภาพปริศนานี่ ล้วนตกทอดมาจากที่แห่งนี้สินะ”

เหลียนเฟยเองก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ปีนั้นท่านพ่อข้ามีวาสนา เคยมายังแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม้ไม่ได้เข้าสู่แดนลับอสูรมารอริยะนี่ แต่กลับได้เจดีย์สมบัติหลังนั้นและแผนภาพปริศนานี่มาโดยบังเอิญ นี่สิเรียกว่าชนเข้ากับมหาศุภโชคอย่างแท้จริง ได้มาโดยไม่ต้องดิ้นรนแม้แต่น้อย ไฉนเลยจะเหมือนพวกเราที่ยังต้องเสาะหาฝ่าฟันอันตรายนานัปการ”

เหยาซู่ซู่รู้สึกทอดถอนใจระคนเศร้าอาดูรอยู่บ้าง “น่าเสียดาย ท่านพ่อประสบหายนะ ตระกูลเหยาของข้าก็ถูกทำลายลงในพริบตา…”

“ซู่ซู่ อย่าเสียใจไปเลย รอพวกเราได้มหาศุภโชคในนี้ ก็กลับไปยังจักรวรรดิแก้แค้นให้พวกท่านพ่อ!”

เหลียนเฟยรีบปลอบประโลม “ข้าได้ยินมาว่า คนที่ทำให้พวกท่านพ่อตายคือหลินสวินและราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยนั่น ไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันที่ข้าสังหารสองคนนี้ด้วยมือตนเอง! เอาเลือดสดๆ ของพวกมันมาเซ่นไหว้คนตระกูลเหยา!”

เหยาซู่ซู่กล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง สูดหายใจลึกไม่คิดมากความอีก เทียบแผนภาพปริศนาในมือ ก่อนเริ่มแยกแยะอักษรปริศนาบนแท่นบูชานั่นทีละตัว

“พันหมื่นแปรเปลี่ยนใจความคงเดิม นั่นคือโอมมณีปัทเมฮุม”

เหยาซู่ซู่เปล่งออกเสียงออกมา แปลกประหลาดและยากหยั่งถึง

แต่แค่เพียงพริบตาเดียว ห้วงอากาศพลันเกิดคลื่นผันผวน ปรากฏบานประตูหนึ่ง ขณะเดียวกันรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งก็พุ่งทะลุออกมาจากดอกบัวที่ห่างไกล!

การเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์ที่พานพบ เป็นเช่นเดียวกับพวกหลินสวินทุกประการ

“จริงดังคาด วาสนาที่แท้จริงอยู่ที่นี่! ฮ่าๆๆ พวกหน้าโง่แต่ละเผ่านั่นรู้จักแต่แย่งชิงโอกาสแรก ไหนเลยจะคาดคิดว่าวาสนาที่แท้จริงไม่ใช่อาศัยแรงกำลังก็จะได้มาครอง”

เหลียนเฟยหัวเราะร่าอย่างดีใจ

ยามนี้ยอดเขาว่างเปล่า นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ทำให้เหลียนเฟยกล้าเยาะเย้ยตามอำเภอใจอย่างไม่หวาดกลัวเช่นนี้

“ไยต้องพูดไร้สาระมากความนัก รีบไปเถอะ ชักช้าจะไม่ทันการณ์!”

ทันใดนั้นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลุ่มผู้แข็งแกร่งเบื้องหลังเหลียนเฟย

เหลียนเฟยนัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก ราวโกรธแค้นอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดยังคงอดกลั้นไว้

ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นล้วนมาจากสายคนเถื่อนวารี ครั้งนี้ที่เขาและเหยาซู่ซู่สามารถเข้ามายังแดนลับอสูรมารอริยะได้ ก็ต้องขอบคุณคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งของคนเถื่อนวารีที่ช่วยเหลือ

เพียงแต่ท่าทีของผู้แข็งแกร่งพวกนี้กลับทำให้เหลียนเฟยรังเกียจและต่อต้าน มองพวกเขาดั่งหนอนแมลง แม้ความเคารพขั้นต่ำยังไม่มี

‘พี่เฟย พวกเราดำเนินการก่อน รอเข้าสู่สถานที่แห่งวาสนาและชิงศุภโชคมา ค่อยหาโอกาสฆ่าเจ้าคนพวกนี้ซะ!’

เหยาซู่ซู่สื่อจิต น้ำเสียงเคลือบความคั่งแค้น

เหลียนเฟยพยักหน้ารับในบัดดล หาได้ลังเลอีก นำหน้าก้าวสู่บานประตูที่ปรากฏออกมา

………………….