ภาคที่ 4 ตอนที่ 72 ชาวบ้านส่งขึ้นถนนใหญ่

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เหล่าบัณฑิตและนักเรียนเห็นสถานการณ์นี้แม้สีหน้าเปลี่ยนไป แต่ยังคงพยายามรักษาท่าทีสุดกำลัง 

 

 

ชาวบ้านโง่เง่านัก ถูกสิ่งภายนอกหลอกให้หลง ถูกผลประโยชน์อันใกล้ตรงหน้าทำให้หวั่นไหวได้ง่าย 

 

 

“พวกเราไม่ได้บอกว่าก่อนหน้านี้เฉิงกั๋วกงไร้ความชอบมีความผิด พวกเราว่าเขาในวันนี้ หลังเจรจาสงบศึกยังละโมบอำนาจรักความชอบ ติดสงคราม…” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม 

 

 

คำพูดนี้ยังไม่ทันพูดจบก็เห็นผู้อพยพแดนเหนือที่เดิมทีฮึกเหิมอยู่แล้วแห่เข้ามาอีกครั้ง 

 

 

ครั้งนี้ไม่ด่าทออีกแล้ว ดวงตาของพวกเขาแดงดูไปแล้วโกรธแค้นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคนขย้ำคอเสื้อของบัณฑิตคนนี้ด้วย 

 

 

บัณฑิตฉับพลันตกใจจนสะดุ้งร้องขึ้นมา 

 

 

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” เขาตวาด 

 

 

บัณฑิตและนักเรียนคนอื่นก็ตกใจสะดุ้งเช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวถอยหนี กลับก้าวเข้าไปล้อมผู้อพยพคนนั้นไว้ 

 

 

สองฝ่ายประจันหน้ากัน 

 

 

ทหารที่ทำหน้าที่ทั้งหลายพลันตกใจเอ็นขากระตุก นี่ นี่จะเป็นชาวบ้านก่อความวุ่นวายหรือไม่? ประชาชนหมื่นกว่าคนเหล่านี้หากคลั่งขึ้นมาพวกเขาคงขวางไม่อยู่ บัณฑิตนักเรียนเหล่านี้คงถูกตีตายตรงนี้แน่! 

 

 

บัณฑิตและนักเรียนเผชิญหน้าฝูงชนที่ยิ่งใหญ่นี่ไม่ถอยหลัง สีหน้ากลับแน่วแน่ 

 

 

“จูซาน เจ้าจะยุชาวบ้านให้ก่อความวุ่นวายรึ?” บัณฑิตที่เป็นหัวหน้าตะโกนขึ้นพลางก้าวมาข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็มาสิ วันนี้พวกเจ้าจะเข้าไปต้องเหยียบข้ามร่างข้าไป” 

 

 

“เหยียบข้ามร่างพวกเราเข้าไป!” บัณฑิตกับนักเรียนทั้งหลายตะโกนเสียงพร้อมเพรียง 

 

 

แม้ต่อหน้าผู้คนเรือนหมื่นจำนวนคนจะน้อยนิด แต่ก็แสดงพลังเบาบาง 

 

 

หากก่อเรื่องจนชาวบ้านจลาจลจริงๆ นั่นย่อมเป็นโทษหนักจริงๆ แล้ว แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพก็เปลี่ยนสีหน้า 

 

 

“เฉิงกั๋วกง ท่านพูดสักประโยคเถอะ” พวกเขาอดไม่ได้รีบร้อนเอ่ย 

 

 

เวลานี้ผู้ที่ขวางชาวบ้านเหล่านี้ได้ก็มีเพียงเฉิงกั๋วกงแล้ว 

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงที่เดิมทีจะออกไปเผชิญหน้ากับบัณฑิตและชาวบ้านกลับหยุด หันหัวม้าถอยหลัง 

 

 

“คำใดก็ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน 

 

 

คำใดก็ไม่ต้องพูดแล้ว? ทำไม? สีหน้าแม่ทัพทั้งหลายยิ่งงุนงงไม่แน่ใจ 

 

 

ถ้าอย่างนั้นจะปล่อยให้ผู้อพยพแดนเหนือเหล่านี้ก่อเรื่องขึ้นมาจริงๆ หรือ? 

 

 

คนเหล่านี้มาได้แปลกเหลือเกิน หรือนี่เป็นแผนการของเฉิงกั๋วกงจริงๆ? 

 

 

แต่นี่เป็นคนตั้งหมื่นกว่าคน ไม่ใช่จะจัดหามาได้ง่ายๆ… 

 

 

ชักกระบี่ง้างคันศร แต่ภาพที่ผู้คนหวาดกลัวกลับไม่ปรากฏ 

 

 

ผู้อพยพที่ขยุ้มคอบัณฑิตคนนั้นไม่ได้ต่อยกำปั้นออกไป ผู้อพยพคนอื่นก็ไม่ได้รุมเข้าไปเช่นกัน 

 

 

“พวกเราจะทำอะไร?” ผู้อพยพคนนั้นเสียงโศกเศร้าคับแค้น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำจับจ้องบัณฑิตตรงหน้า “พวกเราก็อยากถามพวกเจ้าว่าจะทำอะไร? พวกเจ้าเห็นพวกเราเป็นอะไร? พวกเจ้าเห็นพวกเราเป็นคนหรือไม่?” 

 

 

“เจรจาสงบศึก ในสายตาพวกเจ้าเจรจาสงบศึกเป็นแค่คำสองคำเบาละล่องสินะ?” 

 

 

“ยกสามเมืองให้เป็นเรื่องน่ายินดีปรีดาถ้วนหน้าสินะ?” 

 

 

“พวกเจ้าเอาแต่คิดว่าเจรจาสงบศึกแล้วก็ไม่ต้องทำสงครามแล้ว พวกเจ้าก็ใช้ชีวิตสงบสุขต่อไปได้แล้ว พวกเจ้าเคยคิดถึงพวกเราไหม?” 

 

 

“พวกเรา ประชาชนของสามเมือง หลายสิบหมื่นคน! พวกเจ้าเคยคิดถึงหรือไม่ พวกเราก็เป็นคน!” 

 

 

“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าไม่กี่ประโยคพวกเราก็ไม่ใช่ชาวต้าโจวแล้ว พวกเราที่บรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนเป็นชาวโจวก็กลายเป็นชาวจินแล้ว?” 

 

 

“พวกเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าไม่ทำสงครามแล้วสงบแล้วที่ว่าพวกเราจะกลายเป็นอะไร?” 

 

 

“ใต้กีบเท้าอาชาชาวจิน พวกเราไม่ใช่คนสักนิด!” 

 

 

คำถามตวาดพรวนนี้ทำให้บัณฑิตสีหน้าซีดขาว แล้วก็ทำให้เหล่าปัญญาชนกับนักเรียนที่อยู่ข้างกายหลังร่างเขาสีหน้าเปลี่ยนไม่จบสิ้น 

 

 

“ใช่ ไม่ทำสงครามแล้ว พวกเจ้ามีชีวิตสุขสบายแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราเล่า?” หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “พวกเจ้ารู้ไหมว่าชาวจินทำกับพวกเราอย่างไร?” 

 

 

“พวกเขาสังหารทั้งหมู่บ้านของพวกเราจนเกลี้ยง” เด็กน้อยคนหนึ่งตะโกน 

 

 

“พวกเขาเห็นคนเป็นเดรัจฉาน” บุรุษหนุ่มคนหนึ่งตะโกน ทึ้งเสื้อขาดวิ่นของตนลงเผยรอยแส้เส้นแล้วเส้นเล่า “พวกเราเป็นวัวเป็นม้าถูกตีถูกฆ่าตามใจ” 

 

 

“พวกเขาเอาพวกเราเป็นเป้าฝึกดาบฝึกธนู ครอบครัวของข้าล้วนตายในมือพวกเขา” ผู้เฒ่าคนหนึ่งร่ำไห้เอ่ย 

 

 

“พวกเขากินเนื้อคน” 

 

 

“พวกเขาเอาพวกเราเป็นฟืนไฟ” 

 

 

เสียงตะโกนร่ำไห้นับไม่ถ้วนดังขึ้นบอกเล่าพรรณนา ชาวบ้านในที่นั้นคล้ายจะมองเห็นภาพไฟลุกโหมท่วมฟ้าทุกหนทุกแห่งเป็นเสียงคร่ำครวญโศกสลด คนไม่น้อยเริ่มร้องไห้ 

 

 

กระทั่งนักเรียนทั้งหลายเหล่านั้นก็อดไม่ได้ตัวสั่น 

 

 

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่ กินอิ่มมีเสื้อใส่ ใช้ชีวิตสงบสุข แค่ได้ยินว่าสงครามก็หวาดกลัว ได้ยินว่าจ่ายเงินก็โวยวาย” 

 

 

“เพื่อความสงบสุขที่พวกเจ้าพูด พวกเจ้าก็คิดว่าเป็นเฉิงกั๋วกงเป็นทหารและแม่ทัพเหล่านี้กระหายสงครามนำหายนะมา พวกเจ้ายังมีมโนธรรมหรือไม่?” 

 

 

“ชาวจินไม่เห็นพวกเราเป็นคน พวกเจ้าก็ไม่เห็นพวกเราเป็นคน” 

 

 

“เฉิงกั๋วกงทำไมไม่ถอย ทำไมต้องสู้ ทหารแม่ทัพทั้งหลายเหล่านี้ทำไมก้าวไปหาความตายไม่กลัวเกรง? เพราะพวกเขาเห็นพวกเราเป็นคน ไม่ใช่สิ่งของที่บอกจะโยนทิ้งก็โยนทิ้ง!” 

 

 

“พวกเขาไม่ถอยไม่ยอมสู้ไม่เลิกราก็เพื่อช่วยเหลือพวกเรา เพื่อพาพวกเราประชาชนหลายสิบหมื่นคนของสามเมืองกลับมา ยกสามเมืองให้แล้ว ประชาชนไม่ยกให้!” 

 

 

เสียงตะโกนเสียงร่ำไห้ยิ่งอื้ออึง ฝูงชนก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งอีกครั้ง 

 

 

บัณฑิตและนักเรียนทั้งหลายไม่มีอำนาจอีกแล้ว สีหน้าซีดขาวถอยหลังก้าวหนึ่ง 

 

 

ผู้อพยพคนหนึ่งพลันพุ่งมาตรงหน้านักเรียนคนหนึ่ง 

 

 

นักเรียนคนนั้นอดไม่ได้ตัวสั่น กลับเห็นผู้อพยพคนนั้นเพียงแย่งธงในมือเขาไป 

 

 

ธงใหญ่พื้นขาวอักษรแดงเขียนว่าทหารล่มชาติ 

 

 

ผู้อพยพตาแดงมองดูอักษรสี่คำนี้ ฉับพลันกระแทกกับหัวเข่าหัก 

 

 

“เป็นทหารล่มชาติหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน!” เขาตะโกน “มีความผิดหรือไม่ ไม่ใช่พวกเจ้าตัดสิน!” 

 

 

ผู้อพยพนับไม่ถ้วนแห่เข้ามาออกแรงเหยียบธงที่หักบนพื้น 

 

 

“พวกเราตัดสิน!” 

 

 

“พวกเราตัดสิน!” 

 

 

ผู้เฒ่าที่นำหน้ามองดูบัณฑิตและนักเรียนเหล่านี้ด้วยท่าทางแน่วแน่ 

 

 

“พวกเจ้าจะถามหาความผิดของเฉิงกั๋วกง จะถามหาความผิดของทหารแม่ทัพเหล่านี้ ถ้าอย่างนั้นก็ถามหาความผิดของพวกเราก่อน เป็นพวกเรามีความผิดที่พัวพันต้าโจว” เขาตวาดเสียงขรึม 

 

 

“ถามความผิดพวกเรา!” เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนร้องรับ สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน 

 

 

เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนถอยหลังอีกครั้ง 

 

 

คนอพยพทั้งหลายก้าวเข้าไปอีกครั้ง 

 

 

ผู้เฒ่าคนนั้นก็หันกลับมาอีก มอดดูกองทัพเบื้องหลัง 

 

 

“เฉิงกั๋วกง พวกเขาไม่ต้อนรับพวกท่าน” เขาเอ่ย “พวกเราต้อนรับ พวกเขาขวางทาง พวกเราเปิดทางเอง” 

 

 

เขาเอ่ยพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า 

 

 

หลังร่างผู้อพยพนับไม่ถ้วนติดตาม 

 

 

“พวกเขาไม่สรรเสริญความดีความชอบของพวกท่าน พวกเราสรรเสริญ!” 

 

 

“วันวานพวกท่านปกป้องพวกเรา วันนี้พวกเราจะอารักขาพวกท่าน!” 

 

 

ทีละก้าว ทีละก้าว ทีละกลุ่มๆ ก้าวไปข้างหน้า 

 

 

เหล่าบัณฑิตกับนักเรียนกถอยหลังทีละก้าวๆ 

 

 

ทหารที่ทำหน้าที่ไม่ขวางอีกต่อไป แต่ยืนอยู่ข้างทาง ฉับพลันคำนับให้กองทัพ 

 

 

ประชาชนทั้งหลายของเมืองหลวงก็ไม่ตระหนกผวาอีกต่อไป แยกยืนอยู่ข้างทางเช่นกัน คำนับให้กองทัพ 

 

 

บัณฑิตที่นำหน้าเห็นผู้คนที่ประคองกันเดินทีละก้าวๆ มานี่ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง 

 

 

“เจตจำนงของปวงชนไปที่ใดหามีความผิดไม่” เขาเอ่ยพึมพำ หมุนตัวก็หลบออกไปข้างหนึ่ง 

 

 

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา คนอื่นก็สีหน้าซึมไร้กำลังขัดขวางชาวบ้านที่เดินมา ถอยออกไปสองข้างด้วย 

 

 

ถนนใหญ่เปิดกว้าง ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป 

 

 

เห็นชาวบ้านที่แห่แหนไปข้างหน้า แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพก็ไม่มีความหวาดกลัวสักนิดอีกต่อไป พวกเขาสีหน้าฮึกเหิม คล้ายยามโดดเดี่ยวสู้ศึกใกล้วางวายในอี้โจวแล้วได้ยินว่ามีทหารกองหนุนมาถึงนาทีนั้น 

 

 

ชาวบ้านเหล่านี้มือเปล่าไร้อาวุธ ไร้อาชาศึกศาตราคม เคยถูกพวกเขาปกป้องประหนึ่งต้นหญ้า กลับยิ่งใหญ่น่าเกรงขามประหนึ่งขุนเขาได้เหมือนกัน 

 

 

ไม่เคยคิดอยากได้การตอบแทน แต่การตอบแทนกลับปรากฏขึ้นมาในยามหนึ่ง นี่ก็คือที่เรียกว่าฟ้ามีความยุติธรรมสินะ 

 

 

“เฉิงกั๋วกง” พวกเขาอดไม่ได้ร้องเรียก 

 

 

เฉิงกั๋วกงยังคงสีหน้านิ่งสงบ 

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน มองดูประชาชนที่ห้อมล้อมปกป้องอยู่หน้าหลังซ้ายขวาก็ยิ้ม “พวกเราก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ให้ทุกคนถอดเกราะถอดชุด” 

 

 

แม่ทัพทั้งหลายตอบสนองทันที ขานรับเสียงพร้อมเพรียง เร่งม้าถ่ายทอดคำสั่งไปสี่ด้าน 

 

 

เมื่อคำสั่งถ่ายทอดออกไป นายทหารนับพันก็พากันลงจากม้าถอดเกราะออกกองข้างทางเป็นตั้งสูง 

 

 

“เข้าเมือง” จ้าวฮั่นชิงก็ถอดเกราะออกด้วย รูปร่างของสตรียิ่งแลดูเล็กบอบบาง แต่ความน่าเกรงขามยังคงเดิม ชูมือขึ้นตวาด 

 

 

นายทหารหลายพันขึ้นม้าอีกครั้ง เสื้อผ้าธรรมดามือเปล่าแต่เคร่งครัดเป็นระเบียบ กีบเท้าม้าเหยียบย่ำ ด้านหน้าชาวบ้านนำทาง ชาวบ้านซ้ายขวาและด้านหลังล้อมเคลื่อนไปทางประตูเมือง 

 

 

ชาวบ้านหมื่นกว่าคนไม่รู้ว่าคนไหนอ้าปากร้องเพลงขึ้นมาก่อน 

 

 

“บ้านข้าอยู่ทิศอุดรของเยี่ยนจ้าว ชำรุดเหลือจะเอ่ย” 

 

 

“ขุนเขาลำน้ำอันเงียบสงบโกลาหล ทัพม้าต่างชาติเหิมเกริมก่อจลาจล” 

 

 

เสียงเพลงแหบพร่าไม่ถูกโทนนี้ดังขึ้นร้องรับต่อกันเป็นทอดๆ ในหมู่ชาวบ้านทันที 

 

 

“โชคดีบุรุษผู้กล้า คนหนึ่งดั่งหนึ่งพัน” 

 

 

“หาญกล้าจากดวงใจ มองความตายดั่งหลับใหล” 

 

 

“มีเพื่อนร่วมทัพสนิทสนมกับข้า ยิ่งกว่าบิดามารดา” 

 

 

“ลุยน้ำไฟเพื่อข้า ไหนกล้าชักช้า?” 

 

 

“หมื่นคนใจเป็นหนึ่ง สั่นเขาไท่ซาน” 

 

 

“เพียงภักดีแลคุณธรรม ฮึกเหิมพุ่งฟาดฟัน” 

 

 

นี่คือบทเพลงแห่งชัยชนะที่แพร่หลายอยู่ในแดนเหนือ ครู่เดียวไม่ใช่แค่ชาวบ้าน ทหารที่ขี่อาชาอยู่ก็ร้องตามขึ้นมาด้วย 

 

 

นายทหารที่ถอดเกราะและอาวุธลงเหล่านั้นแลดูผอมแกร็น ไม่มีความหวาดกลัวและสับสนออย่างก่อนหน้าอีก แผ่นหลังเหยียดตรงใหม่อีกครั้ง พวกเขาสายตาแน่วแน่ สีหน้าฮึกเหิม 

 

 

พวกเขาไม่ใช่ทหารล่มชาติ 

 

 

พวกเขาไม่ได้กระหายสงครามละโมบความชอบ 

 

 

พวกเขาหลั่งเลือด ได้รับบาดเจ็บ ตรากตรำทำศึก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีคนมองเห็น มีคนจดจำ มีคนถือเป็นเกียรติยศ 

 

 

เสียงผู้คนเรือนหมื่นดั่งอสนีบาตม้วนตลบกวาดผืนแผ่นดิน ตรงไปยังเมืองหลวง ทรงพลังไม่อาจต้าน