บทที่ 550 ใบของต้นเฟิงซิ่น

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 550 ใบของต้นเฟิงซิ่น Ink Stone_Fantasy

หวังเป่าเล่ออาจจะดูเป็นคนอารมณ์ดีที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาแถมยังมองโลกในแง่ดี แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าลึกลงไปนั้นเขามีความน่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่ตัวเองก็ยังหวั่นเกรง

สิ่งนั้นไม่ได้เผยตัวตนออกมาง่ายๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่มันออกมา จิตสังหารและความชั่วร้ายของเขาจะรุนแรงเพียงพอที่จะส่งผู้คนให้ถอยหลังผงะไปด้วยความตื่นตะลึง นิสัยนั้นจะผุดออกมาเมื่อใดก็ตามที่เขาตกอยู่ในอันตรายหรือกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

พูดให้ง่ายก็คือ…หากใครหมายจะสังหารเขา หวังเป่าเล่อก็จะสังหารคนผู้นั้นก่อน!

ในอีกยุคหนึ่งก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณยังไม่ปรากฏกาย นิสัยดุร้ายเช่นนี้ต้องถูกซ่อนเอาไว้ลึกๆ ในใจ และบางทีเมื่อเวลาผ่านไปก็อาจจะหายไปเองตามช่วงอายุ

แต่ในยุคกำเนิดวิญญาณและการถือกำเนิดของเหล่าผู้ฝึกตน รวมถึงการที่อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐถูกมองว่าเป็นพลังที่อ่อนแอกว่า นิสัยนี้ในตัวของหวังเป่าเล่อก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ นิสัยรักความรุนแรงและกระหายเลือดนี้อาจถูกซุกซ่อนเไว้ แต่เมื่อใดก็ตามที่หลุดรอดออกมาแล้ว ก็จะลุกลามไปอย่างรวดเร็วราวเปลวเพลิง!

และเป็นเพราะนิสัยนี้นั่นเองที่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่รีรอ ชายหนุ่มเลือกวิธีที่เขาคิดขึ้นมาได้เพื่อที่จะฝึกฝนและสำเร็จวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ จากนั้นเขาจึงลองยืดจุดตันเถียนในกายออกมานอกร่างด้วยปราณวิญญาณในทันที

 อาจดูคล้ายหวังเป่าเล่อกำลังลอกเลียนเคล็ดการฝึกปราณของตระกูลไม่รู้สิ้น ภาพที่เห็นไม่เพียงแปลกประหลาดแต่ยังมีกลิ่นอายของความชั่วร้ายปะปนอยู่ จุดตันเถียนทั้งหมดที่ยืดและหลุดออกมาจากกายของเขาดูราวกับเป็นรยางค์ที่ทิ่มแทงออกมาจากร่างกระนั้น!

พวกมันไม่ได้เป็นสีแดงสดแต่กลับดูกึ่งโปร่งใส แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูน่ากลัวอยู่ดี ยิ่งเวลาผ่านไป และหวังเป่าเล่อยังคงฝึกปราณต่อไปเรื่อยๆ รยางค์เหล่านั้นก็เข้าล้อมกายเขามากขึ้น ก่อนจะก่อร่างเป็นระบบหมุนเวียนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของร่างกายมนุษย์!

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สำเร็จวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิขั้นต้นได้ด้วยวิธีการอันแปลกประหลาดนี้ ขั้นตอนต่อไปต้องหวังพึ่งวิชาลักอัคคีเพื่อเพิ่มกำลังวังชาเมื่อเขาสังหารศัตรูและคู่ต่อสู้ได้!

ช่างน่าเสียดายที่สำนักวังเต๋าไพศาลไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกวิชาลักอัคคีหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ชายหนุ่มมองเห็นโครงร่างของชุดเกราะที่ก่อตัวขึ้นนอกกายเขา จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาสั่งให้เกราะนั้นสลายตัวและกลับเข้าไปในกายได้ด้วยความคิด เกราะนั้นเข้าไปสร้างรูปทรงข้าวหลามตัดอยู่บนหัวใจของเขาราวกับเป็นตราสัญลักษณ์

สิ่งนั้นคือแก่นในของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ หากหวังเป่าเล่อฝึกตามวิธีปกติ แก่นในนี้ควรจะเข้าไปปรากฏแทนที่หัวใจ ไม่ใช่เป็นเพียงตราสัญลักษณ์บนหัวใจอย่างที่ชายหนุ่มมี

ในช่วงที่หวังเป่าเล่อกำลังฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ มีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาล ข่าวของเหตุการณ์นั้นแพร่สะพัดไปทั่วสำนักและรู้ถึงหูของบรรดาพันธุ์กล้าสหพันธรัฐอีกด้วย ทำให้เกิดการพูดคุยกันอย่างหนาหูในเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่

หวังเป่าเล่อเพิ่งได้รับรู้เรื่องหลังจากที่จบการฝึกวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ และเข้ามาดูเครือข่ายวิญญาณประจำพื้นที่

ใบของต้นเฟิงซิ่น…กำลังจะร่วง!

ต้นเฟิงซิ่น หวังเป่าเล่อไม่รู้จักชื่อนี้เลย แต่ไม่นานนักชายหนุ่มก็รู้จนได้ว่ามันคืออะไร มันก็คือต้นเดียวกับต้นไม้ต้นแรกที่เขาเห็นเมื่อครั้งมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาลบนยอดเขาบนเกาะหลัก…ต้นไม้โบราณสุดอลังการต้นนั้นเอง!

ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ต้นนั้นมีขนาดใหญ่โตมหึมา แต่กลับปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ตายแล้ว ดูราวกับว่าต้นไม้นั้นตายไปแล้ว ทว่าตัวตนและรัศมีของมันกลับส่งผลต่อหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก

สองสัปดาห์ก่อน มันผลิใบใหม่ออกมาสามใบ มีกลิ่นแปลกประหลาดเข้าปกคลุมไปทั่วเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกๆ คนต่างก็รู้สึกมีกำลังวังชาเมื่อได้กลิ่น เฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง

เหตุผลก็เพราะ…ใบของต้นเฟิงซิ่นนั้นไม่เพียงมีสรรพคุณทางยาเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งสำกับผู้อาวุโสทั้งสาม!

แต่รายละเอียดนั้นถือเป็นความลับระดับสูง มีการคาดเดากันไปต่างๆ นานา พันธุ์กล้าสหพันธรัฐสอบถามเรื่องนี้กับหลายๆ คนและเอามาคาดคะเนกันเอง ทุกคนต่างพูดคุยเรื่องนี้กันในห้องสนทนากลุ่ม และสรุปกันว่าใบไม้นั้นน่าจะเป็นตราสัญลักษณ์ประเภทหนึ่ง

แต่ก็ไม่มีใครรู้รายละเอียดของเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้คำตอบแม้จะไปถามอวิ๋นเพียวจื่อก็ตาม ถึงชายอ้วนจะเป็นผู้ฝึกตนท้องถิ่นแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล อวิ๋นเพียวจื่อเขาก็ดูจะไม่ได้รู้เรื่องนี้มากเท่าใดนัก

ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็พบคำตอบว่าใบไม้นั้นใช้ทำอะไรจากการส่งข้อความเสียงไปหาเซี่ยไห่หยาง

“ใบต้นเฟิงซิ่นหรือ ของชั้นเลิศทีเดียวละ มีต้นเฟิงซิ่นอยู่หนึ่งร้อยแปดต้นบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ข้าเกรงว่าส่วนมากจะตายไปเสียแล้ว ในอดีต เมื่อใดก็ตามที่ต้นเฟิงซิ่นผลัดใบ ผู้ที่ได้รับใบไม้ไปนั้นสามารถใช้มันเป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าสำนักวังเต๋าไพศาลได้ หากพวกเขาผ่านการทดสอบ ก็จะได้เป็นศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาล และยังได้รับการจำรึกนามเอาไว้อีกด้วย!

“แต่มาบัดนี้ แม้ว่าสำนักปัจจุบันจะรับนามสำนักวังเต๋าไพศาลมา ในความเป็นจริงแล้ว…มีศิษย์จำนวนหยิบมือที่ได้รับการจำรึกชื่อเอาไว้ในจารึกของสำนักและถือว่าเป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง”

“ดังนั้นแล้วเจ้าคิดว่าใบไม้นี้มันมีมูลค่าเท่าใดกันเล่า มันเป็นของที่ทำให้ศิษย์ได้รับการจารึกชื่อ แถมยังซื้อโอกาสในการได้เป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริงอีกด้วย!” เซี่ยไห่หยางอธิบายอย่างละเอียด ชนิดที่เรียกว่าไม่ปิดบังอะไรจากหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย

ฝ่ายหวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เชื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมา หลังจากใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็เรียกแม่นางน้อยออกมาและขอคำยืนยันจากนาง คำตอบของนางคล้ายกับคำอธิบายของเซี่ยไห่หยาง แม่นางน้อยบอกชายหนุ่มว่าหากเขาสามารถชิงใบต้นเฟิงซิ่นมาได้ ก็จะย่นเวลาการค้นหาบันทึกของสำนักไปได้มากโข หากหวังเป่าเล่อสามารถทำให้ชื่อตนเองไปปรากฏอยู่ในจารึกสำนักได้ แม่นางน้อยก็มีวิธีช่วยยกสถานะของเขาในฐานะศิษย์ให้สูงขึ้นไปอีก

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ ทันทีที่ชื่อของเขาไปอยู่ในจารึกสำนัก สถานะของเขาในสำนักวังเต๋าไพศาลก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการประเมินของเขา สิ่งนี้จะส่งผลดีเมื่อเขาต้องเข้าไปที่ตัวกระบี่เพื่อล่าสมบัติอีกด้วย

*อย่างน้อยที่สุด ข้าก็น่าจะผ่านกฎข้อบังคับไปได้มากโขอยู่…*เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นเต้นและกังวล ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะออกจากเกาะเพลิงเขียวไปอย่างเร่งรีบ เขามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ทันทีที่เข้าไปใกล้ กลิ่นหอมอวลของต้นเฟิงซิ่นที่ลอยอยู่ในอากาศก็โชยมาเข้าจมูก ใบสีเขียวสามใบบนต้นก็มองเห็นได้ชัดเจน!

หวังเป่าเล่อจ้องมองใบไม้ทั้งสามด้วยความปรารถนา ชายหนุ่มหรี่ตาลงแล้วทำจมูกฟุดฟิด เขาดมกลิ่นอากาศรอบตัวอีกครั้ง ก่อนความสับสบงุนงงจะปรากฏขึ้นบนดวงตา

*กลิ่นนี้ช่างคุ้นเสียจริง…*ลมหายใจของหวังเป่าเล่อถี่เร็วขึ้น ก่อนจะมีประกายเจิดจรัสฉายขึ้นบนแววตา แต่ชายหนุ่มก็ซ่อนมันไว้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้เข้าไปในสำนักวังเต๋าไพศาล ทำเพียงเดินไปเดินมาในบริเวณรอบๆ เหมือนเช่นเคย ก่อนที่จะจากมา

ทันทีที่กลับมาถึงเกาะเพลิงเขียว หวังเป่าเล่อก็รีบหยิบผลไม้ที่ช่วยเพิ่มจิตสัมผัสวิญญาณของเขาออกมา วางมันลงตรงหน้าก่อนจะดมอย่างตั้งใจ ชายหนุ่มหยุดหายใจไปชั่วขณะ

*กลิ่นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!*หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมคราม ชายหนุ่มจ้องมองผลไม้อย่างพินิจพิจารณาก่อนจะลงความเห็นว่าเขาเข้าใจถูกต้อง ผลไม้แห้งเหี่ยวปริศนานี้มีต้นกำเนิดเดียวกับต้นเฟิงซิ่นแน่นอน!

ชายหนุ่มไม่พบหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับผลเฟิงซิ่นในการค้นคว้าคราวก่อน แต่ไม่มีทางเลยที่เขาจะจำกลิ่นผิด หวังเป่าเล่อเริ่มสงสัยว่าเหตุใดเขาจึงไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้นี้เลยเมื่อครั้งที่ไปค้นคว้า แม่นางน้อยก็ดูเหมือนจะไม่รู้จักเช่นกัน คำถามมากมายเริ่มก่อตัวขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ เขาจึงตัดสินใจที่จะลงทุนด้วยแต้มการรบจำนวนหนึ่งเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเดิม

หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจที่จะถามเซี่ยไห่หยาง ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง บนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ในโถงใหญ่บนยอดเขา บรรดาผู้อาวุโสทั้งสามก็กำลังครุ่นคิดกันอย่างขะมักเขม้น

มีเพียงไม่กี่เรื่องที่จะนำพวกเขาให้มาร่วมพูดคุยกันได้ โดยเฉพาะโยวหรัน ที่ปรากฏตัวเฉพาะเมื่อบรรดาพันธุ์กล้าจากสหพันธรัฐมาถึง จากนั้นก็กลับเข้าไปถือสันโดษ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาต้องยอมหยุดการถือสันโดษและออกมา

พวกเขาครุ่นคิดอยู่ไม่นานนัก ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์พูดออกมาอย่างเยือกชา น้ำเสียงแหบพร่าของเขาฉาบเคลือบไปด้วยอำนาจ

“สหายเต๋าเฟิ่งเปิดประเด็นขึ้นมาสองเรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับการเปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและยอมให้พันธุ์กล้าสหพันธรัฐกลุ่มที่สองเข้ามา ซึ่งข้าไม่เห็นด้วย พวกเขาไร้ประโยชน์สิ้นดี!

“เรื่องที่สองเกี่ยวกับการผลัดใบของต้นเฟิงซิ่น สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ พวกเราควรถกเถียงจริงจังกับเรื่องนี้มากกว่า!”

“พวกเราได้ตัดสินใจเรื่องพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองไปหลายปีแล้ว และยังยืนยันไปเมื่อปีก่อนแล้วด้วยว่าโครงการนี้จะต้องเกิดขึ้น เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้ากำลังมาบ่นเสียดายกับการตัดสินใจหรืออย่างไร หากเจ้าไม่เห็นด้วย ข้าเองก็ไม่เห็นด้วยกับเจ้าเช่นกัน!” เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้ว นางเหนื่อยหน่ายใจขึ้นทุกที เส้นตายรายปีนั้นได้ผ่านไปแล้ว ตามข้อตกลงของพวกเขา สหพันธรัฐควรจะได้ส่งผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองขึ้นมา ถึงกระนั้น อำนาจของเมี่ยเลี่ยจื่อก็แข็งแกร่งขึ้นทุกที ในขณะที่อำนาจของนางเองกลับอ่อนแอลงทุกขณะ สุ้มเสียงความไม่พอใจเริ่มดังขึ้นในช่วงปีหลังนี้ เฟิ่งชิวหรันพบว่าการทำโครงการร่วมกับสหพันธรัฐกลายมาเป็นเรื่องยาก จำเป็นจต้องมีการต่อรองและการประนีประนอมกันอยู่ทุกครั้งไป