ภาคใต้ฟ้ากว้างใหญ่ บทที่ 14 เจ้าต้องการจากกันด้วยดีกับข้า?! (1)

กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ

รอยยิ้มยามเขามองนางแฝงแววรักใคร่หลายส่วน หัวใจของซูหลีเจ็บแปลบ ใบหน้ากลับนิ่งเฉยดังเดิม นางค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “วันนี้ได้พบพี่ใหญ่ ข้าดีใจยิ่งนัก จนลืมไปว่าในวังยังมีเรื่องที่ข้าต้องไปสะสางอีก ข้า…ขอตัวก่อน วันหลังหากพี่ใหญ่มีเวลา มาเยี่ยมข้าที่วังหลวงแคว้นติ้ง แล้วเล่าเรื่องราวน่าสนใจให้ข้าฟังอีกเล่า ข้าจะได้แอบอู้งานอีกสักหน่อย”

ซูฉุนพยักหน้ายิ้มๆ “เจ้าอุตส่าห์ชอบ ข้าจะต้องไปหาเจ้าแน่นอน”

ซูหลีหมุนกายเดินจากไป ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยตามไปติดๆ บรรยากาศแปลกๆ เมื่อครู่ทำให้ซูฉุนรู้สึกไม่สบายใจ เขารีบค้อมกายทูลลา สาวเท้ายาวๆ เดินจากไป

ระหว่างทางกลับตำหนักชิ่งอวิ๋น ซูหลีเงียบงันผิดปกติ ในสมองมีแต่ภาพที่ตงฟางเจ๋อกับเหลียงหรูเยวี่ยพูดคุยกันอย่างสนิทสนม ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเดินอยู่ข้างกายนาง หมายจะเอ่ยปากปลอบใจนางหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ

ทั้งสามเดินผ่านบานประตูบานแล้วบานเล่า แสงตะวันเจิดจ้าสาดส่องลงมายังพระราชวังใหม่อันตระการตา ตำหนักพิธีการของสองแคว้นที่มีตำหนักชิ่งอวิ๋นเชื่อมต่ออยู่ตรงกลางแลดูวิจิตรงดงาม ซูฉุนอดทอดถอนใจไม่ได้ “หากเป็นเมื่อห้าปีก่อน มีคนบอกกับข้าว่า เจิ้นหนิงอ๋องขึ้นครองราชย์แล้วทำการก่อสร้างอย่างยิ่งใหญ่ และย้ายเมืองหลวงเพื่อสตรีนางหนึ่ง ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดเล่า?”

ซูฉุนกล่าวว่า “เขาในอดีต เจ้าเล่ห์มากแผนการ ชำนาญการวางอุบาย ให้ความสำคัญกับผลได้ผลเสีย ทำเรื่องใดล้วนมีจุดประสงค์เสมอ ข้าคิดว่าคนอย่างเขา ไม่มีทางจริงใจต่อผู้ใด”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยพลางแย้มยิ้มเล็กน้อย “แต่เขากลับจริงใจกับฝ่าบาทของเราจริงๆ เพื่อฝ่าบาท เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่เคยคำนวณผลได้ผลเสีย”

ซูฉุนถอนหายใจเบาๆ “ใช่แล้ว! ข้าเองก็เคยคิดว่าหากเขาได้เป็นฮ่องเต้ อาจกลายเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกได้ แต่ไม่มีทางเป็นกษัตริย์ที่มีจิตใจกว้างขวางได้อย่างแน่นอน!”

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าว “เรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ฮ่องเต้แคว้นเฉิงเป็นกษัตริย์ที่มีน้ำใจกว้างขวาง”

ซูฉุนถอนหายใจ แล้วบอกว่า “ฝ่าบาททรงพูดถูก แต่ก่อนซูฉุนมองคนด้วยสายตาอันคับแคบ ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาเองก็เปลี่ยนแปลงไปเพราะความรัก หลายปีมานี้ ทุกอย่างที่ฝ่าบาททรงทำเพื่อซูซู เป็นเรื่องที่เขาเคยดูแคลนอย่างถึงที่สุด ยามนี้สิ่งที่เขายอมทอดทิ้งเพื่อซูซู ก็เป็นสิ่งที่เคยสำคัญกับเขาที่สุดเช่นกัน เดิมทีนึกว่าเขาอาจมีความรู้สึกพึงใจอยู่ไม่กี่ส่วน ไม่นับว่าเป็นความรัก ดูจากยามนี้ เขากลับรักเจ้าทั้งหัวใจ!”

เขาหันไปมองซูหลี เห็นซูหลีเงียบงันไม่พูดจา ก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “ซูซู หากใจเจ้ายังมีเขาอยู่ ก็ควรยับยั้งการแต่งตั้งสนมโดยเร็ว มิเช่นนั้นหากเรื่องราวดำเนินไปจนถึงจุดที่แก้ไขไม่ได้ คนที่ทุกข์ก็จะมีแต่เจ้า!”

สายตาของซูหลีไหวระริก แต่ก็ยังคงไม่ยอมพูดอะไร

ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยความจนใจ “คุณชายซูพูดตรงประเด็น น่าเสียดายที่ฝ่าบาทผู้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ยอมใคร่ครวญให้ดี…”

ซูฉุนมองหน้าซูหลี “ฝ่าบาทไม่ได้อยากสู่ขอคุณหนูเหลียงจริงๆ แต่หากซูซูยังปล่อยเลยตามเลยอย่างนี้ ไม่แสดงท่าทีอะไรสักนิด ก็ยากจะรับประกันว่าเขาจะไม่เสียใจ จนเป็นเหตุให้สู่ขอนางจริงๆ!”

หัวใจของซูหลีหนักอึ้ง ปากกลับเผยอยิ้มเล็กน้อย “พวกท่านสองคนเพิ่งเจอกันแท้ๆ แต่กลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยทีเดียว”

ความห่วงใยของซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยกับซูฉุน กลับถูกนางนำมาพูดจาหยอกล้อ อวิ๋นฮุ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “ฝ่าบาท พระองค์อย่าทรงฝืนตนเองอีกเลยนะเพคะ!”

สามปีมานี้ ซูหลีเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการปกครองบ้านเมือง สร้างแนวป้องกันชายแดน ลดหย่อนภาษี เน้นความเป็นอยู่ของราษฎร และมุ่งเป้าไปที่การเกษตรและการค้า…ไม่ว่าเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง นางล้วนทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง! มีเพียงเรื่องความรู้สึก ที่นางคอยยับยั้งชั่งใจ ปิดปากเงียบไม่ยอมพูด นางทรมานตนเองถึงเพียงนี้ ซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ยที่คอยอยู่เคียงข้างนางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้ารันทด

ซูหลีจ้องมองไปเบื้องหน้า ทำเหมือนไม่ได้ยิน

แววกังวลสะท้อนในสายตาซูฉุน ห้าปีก่อนเขาก็รู้สึกแล้วว่านางเป็นคนคิดมากเกินไป ยากจะปล่อยวางเรื่องราว ห้าปีต่อมายามพบกันอีกครั้ง นางยิ่งคิดมากกว่าเดิม สีหน้าเหนื่อยล้า แม้แต่ยามยิ้มก็ยังดูไร้ชีวิตชีวา

เขาอดไม่ได้ที่จะเกลี้ยกล่อม “ซูซู คนตายจากไปแล้ว คนที่ยังอยู่ต้องเรียนรู้ที่จะมองไปข้างหน้า แม้ราชกิจบ้านเมืองสำคัญ แต่ความสุขของเจ้าก็สำคัญไม่แพ้กัน! ซูฉุน…แม้ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ ของเจ้า แต่กลับเห็นเจ้าเป็นเหมือนน้องสาวที่รักที่สุดของตนเอง ข้าไม่อยากเห็นเจ้ามีชีวิตที่ทุกข์ทนเช่นนี้”

สายตาเป็นห่วงที่ไร้ซึ่งความเสแสร้งของเขา ทำให้ซูหลีอดเหม่อลอยไปชั่วขณะไม่ได้ ยามหลางฉ่างยังมีชีวิตอยู่ ก็เคยรักและทะนุถนอมนางเช่นนี้ กลัวว่านางจะใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข หัวใจนางบีบรัด กลีบปากกลับหยักยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแช่มช้า “ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เป็นห่วงข้า สำหรับข้า ท่านเป็นพี่ชายของข้าตลอดกาล หากพูดถึงความลำบาก สรรพชีวิตบนโลกล้วนลำบากกันทั้งนั้น ในเมื่อข้าเป็นประมุขแห่งแคว้น ย่อมต้องเห็นเรื่องบ้านเมืองสำคัญที่สุด ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าเป็นเช่นไร ก็ต้องก้าวเดินต่อไป!”

ซูฉุนไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร มีเพียงความเป็นห่วงเต็มหัวใจ เขาหันไปสบตากับซั่งกวนอวิ๋นฮุ่ย ทั้งสองต่างมองเห็นแววกังวลในดวงตาอีกฝ่าย

ครั้นกลับมาถึงตำหนักซีหวา ซูหลียังคงอ่านฎีกาตามปกติ แต่กลับไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ กระทั่งตกเย็น ก็ยังมีฎีกาที่อ่านไม่หมดอีกมากมาย

โม่เซียงพลันวิ่งเข้ามารายงานด้วยความเร่งรีบ “ฝ่าบาท! บ่าวได้ยินมาว่าของที่คุณหนูเหลียงได้มาเมื่อกลางวันเป็นวัสดุสีที่หายากมาก สามารถเอาไปย้อมไม้ได้เพคะ! ได้ยินมาว่าช่วงก่อน ฮ่องเต้แคว้นเฉิงแกะสลักไม้ให้คุณหนูเหลียงทุกวัน เสื้อผ้าที่แกะสลักบนไม้นั่น หากใช้สีนั่นย้อม ก็จะกลายเป็นชุดมงคลสีแดงเพคะ…เกรงว่าเรื่องการแต่งตั้งจะกลายเป็นจริงแล้ว! ฝ่าบาท พระองค์รีบหาทางแก้ไขโดยเร็วเถิดเพคะ!”

มือของซูหลีพลันอ่อนแรง สีแดงตรงปลายพู่กันเลอะเต็มหน้ากระดาษสีขาวดุจหิมะ นางกัดฟันจ้องมองฎีกา ไม่ยอมส่งเสียงแม้แต่น้อย

เห็นนางเงียบงันไม่พูดจา โม่เซียงร้อนใจดุจไฟสุมอก ยังคงพร่ำพูดไม่หยุด “ได้ยินมาว่าพวกนางวัดตัวคุณหนูเหลียงนานแล้ว หลายวันมานี้มัวยุ่งอยู่กับการตัดชุดแต่งงาน บอกว่า…จะใช้วันพรุ่งนี้แล้ว…”

ใบหน้าซูหลีเรียบเฉย นางค่อยๆ วางพู่กันลง ยามดึงมือกลับ แขนเสื้อกว้างใหญ่คล้ายถูกบางสิ่งเกี่ยวรั้ง กองฎีกาบนโต๊ะที่มีขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อมกระจายตกพื้นดุจเกล็ดหิมะ นางจ้องมองความวุ่นวายตรงหน้า แล้วก็เหม่อลอยไปชั่วขณะ

โม่เซียงหยุดพูด รีบเข้าไปเก็บกวาด แต่กลับได้ยินเสียงไร้อารมณ์ของซูหลีดังมาจากด้านบน “เจ้าออกไปก่อน”

โม่เซียงเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ เห็นเพียงใบหน้าของนางยังคงเรียบเฉยเป็นปกติ จ้องมองฎีกาบนพื้น คล้ายสูญสิ้นซึ่งจิตวิญญาณไปแล้ว

“ฝ่าบาท…”

ซูหลีหันมองนางด้วยสายตาเรียบเฉย แต่กลับยิ้มเล็กน้อย “ออกไปเถิด ข้าไม่เป็นไร” สายตาที่นางมองมาไร้ซึ่งความสุขและความทุกข์ ไร้ซึ่งความโกรธเคืองและการตำหนิ

โม่เซียงรู้สึกแสบร้อนจมูกขึ้นมาทันที ขอบตารื้นไปด้วยน้ำใสๆ

เหตุใดสวรรค์จึงไม่ยุติธรรมกับคนที่รักกันด้วยความจริงใจเลยเล่า?

เขารักมั่นลึกซึ้งต่อนางเสมอมา ครองราชย์มานานหลายปีจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แต่งสตรีใด ไม่มีผู้ใดสามารถตำหนิได้ว่าเขาไม่มั่นคงมากพอ

แคว้นติ้งเกิดปัญหาทั้งภายนอกและภายใน ฮ่องเต้หญิงทรงทุ่มเทกายใจอย่างยากลำบาก บ้านเมืองจึงรุ่งเรืองเช่นในวันนี้ได้ ไม่มีผู้ใดสามารถตำหนิได้ว่านางไม่ยอมปล่อยวางเรื่องในอดีต

เวลาสามปี เขาคิดใคร่ครวญและทำเพื่อนางทุกอย่าง นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทำเพื่อบ้านเมืองสุดกำลัง

ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลง เงาร่างอันโดดเดี่ยวที่ยังคงแน่นิ่งหายลับจากครรลองสายตาในที่สุด โม่เซียงน้ำตาไหลอาบแก้มทันที

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ซูหลีลุกขึ้นยืน ค่อยๆ เดินไปหน้าชั้นวางหนังสือ นางเลื่อนหนังสือออก เผยให้เห็นช่องลับที่อยู่ข้างหลัง นางเปิดช่องลับนั้น แล้วหยิบกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมา ตัวกระบี่ค่อยๆ ยื่นออกมา ตรงตำแหน่งใกล้ด้ามจับ มีอักษรคำว่า ‘ซูซู’ สลักไว้สองคำ ปลายนิ้วไล้ผ่านอักษรอย่างอ่อนโยน คล้ายกำลังซึมซับความรู้สึกของผู้สลัก

ยังจำได้ดี คืนนั้นในสวนดอกหลีที่งดงามดุจแดนสวรรค์ ยามมอบกระบี่ให้ เขาบอกว่า ‘ประกายแสงดุจสายน้ำ สองกระบี่สอดประสาน หัวใจเชื่อมโยง เป็นคู่สวรรค์สร้าง’ ยามนี้ดุจสายน้ำยากจะพานพบดวงตะวัน ประกายแสงมิอาจขับขานเพียงลำพัง สองกระบี่ไม่มีวันได้ขับขานร่วมกันอีกต่อไป!

‘ติ๋ง’ เสียงของเหลวใสหยดกระทบตัวกระบี่อันเย็นเฉียบ จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลลงช้า จนจางหายไปในที่สุด

ค่ำคืนอันเปล่าเปลี่ยว ยังคงมืดมิด และเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด

นางมองไปรอบกาย แล้วค้นพบว่าตนเองยืนอยู่ใต้หอคอยเมือง ดอกไม้ไฟหลากสีพลันปะทุพร่างพราวบนท้องฟ้าเหนือศีรษะ เสียงโห่ร้องยินดีกึกก้องไปทั่วทิศ

บนหอคอยเมืองที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟไม่ต่างจากกลางวัน บุรุษรูปงามผู้หนึ่งสวมชุดแต่งงานสีแดง กำลังพาสตรีนางหนึ่งเดินขึ้นไปข้างบนช้าๆ ใบหน้านั้นกลับเป็นเหลียงหรูเยวี่ย

ซูหลีส่ายหน้า หัวใจสับสนอยากจะวิ่งเข้าไปขัดขวาง แต่กลับได้ยินเสียงร้องไห้ปานใจจะขาดของฮั่วเสี่ยวหมานดังมาจากที่ไกลๆ ‘เขาเป็นคนร้ายที่ฆ่าพี่ชายฉ่าง! หากเจ้าอยู่กับเขา ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าเด็ดขาด! ไม่มีวัน! ฉางเล่อ! ฉางเล่อ!!!’

ราบกับถูกฟ้าผ่า นางตัวแข็งทื่อ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงครึ่งส่วน ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ได้แต่จ้องมองคนบนหอคอยด้วยสายตาสิ้นหวัง เหลียงหรูเยวี่ยแต่งกายเต็มยศ รอยยิ้มเบิกบานชื่นมื่น กล่าวด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง ‘พี่ชาย ท่านดูนางสิ ไม่สนใจท่านแม้แต่น้อย หากท่านแต่งงานกับเยวี่ยเอ๋อร์ เยวี่ยเอ๋อร์จะดีกับท่านให้มากๆ ดีหรือไม่?’

เขาจ้องหน้าซูหลีด้วยสายตาเย็นชา แต่กลับหันไปตอบเหลียงหรูเยวี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ‘ดี!’

หัวใจของซูหลีเจ็บปวดรวดร้าว สายตาพร่ามัว

ทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ถูกตัดไป เขาอุ้มเหลียงหรูเยวี่ยสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไปในห้องนอนของตำหนักตงหวา

บนเตียงมังกร เจ้าสาวรูปงามกำลังจ้องตากับเขาอย่างเขินอาย

ชุดแต่งงานสีแดงกระจัดกระจายไปทั่วพื้น บุรุษบนเตียงจุมพิตเจ้าสาวอย่างนิ่มนวล…

ซูหลีสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เจิดจ้าจนแสบตา

ทุกอย่างในความฝัน ราวกับเรื่องจริงที่เพิ่งเกิดขึ้น นางปิดหน้าอย่างอ่อนกำลัง หางตาแสบร้อน แต่กลับไร้ซึ่งน้ำตา รู้สึกแน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก

ยามนี้เอง โม่เซียงรีบเปิดประตูเข้ามา ครั้นเห็นนางตื่น ก็รีบรายงานทันที “ฝ่าบาท แย่แล้วเพคะ แย่แล้ว! บ่าวเพิ่งได้ยินว่าฮ่องเต้แคว้นเฉิงได้เขียนพระราชราชโองการแต่งตั้ง และเรียกตัวคุณหนูเหลียงให้ไปเข้าเฝ้าแล้ว ดูท่า…เขากำลังจะแต่งตั้งสนมแล้วจริงๆ นะเพคะ!”

————————————-