ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 270 โชคชะตาที่ผ่านมากับโชคชะตาปัจจุบัน (ตอนกลาง)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสียงพิณหมุนวนรายล้อมอยู่รอบกายนาง

นางมองไม่เห็นคนที่ดีดพิณ ได้ยินเพียงแค่เสียงพิณ กลับไม่รู้ว่ามาจากแห่งใด

คนที่ดีดพิณ อยู่ที่ใด?

เพียงแค่หนึ่งเพลงก็บรรเลงจบแล้ว

นางหยิบแผ่นวงกลมขึ้นมา ยื่นอยู่ข้างหน้ากาย

แผ่นวงกลมนั้นไม่รู้ว่าทำมาจากวัตถุดิบอะไร มีสีดำราวกับเหล็กหล่อ กลับอ่อนมากกว่าเหล็กเท่าตัว คล้ายกับเป็นหยกสีดำ แต่กลับมีความแข็งมากกว่าหยกหนึ่งเท่า

บนพื้นผิวของแผ่นสีดำมีรูปภาพและลวดลายเส้นวาดสลับซับซ้อน ถ้าหากเป็นคนที่เข้าใจลวดลายเหล่านั้น บางทีอาจจะคิดไปถึงผู้วิเศษต้มตุ๋นนักทำนายหลอกเอาเงินที่อยู่ด้านนอกพระราชวังหลี

ใช่แล้ว นี่เป็นแผ่นดวงดาวชะตาชีวิตที่นำมาอนุมานเกี่ยวกับชะตาชีวิต

เส้นที่มาบรรจบกันเหล่านั้นล้วนแต่เป็นตำแหน่งของดวงดาว อีกทั้งทั่วดินแดนต้าลู่ มีเพียงแค่นางกับผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยอย่างยิ่ง ถึงจะเข้าใจว่าเส้นเหล่านั้นเป็นวิถีวงโคจรของดวงดาว

มือทั้งคู่ของนางร่วงหล่นบนแผ่นดวงดาวชะตาชีวิต จากนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหว การกระทำไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งสายลมที่ร้องเรียกตะโกนหมู่มวลเมฆที่หน้าผา ประหนึ่งหงส์กำลังชำระล้างปีกอยู่ริมทะเล

ตามการกระทำของนาง รูปภาพกับลายเส้นบนแผ่นดวงดาวชีวิตก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา การหมุนของวงโคจรจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นไม่เหมือนกัน มีรวดเร็ว มีเชื่องช้า มองแล้วสลับซับซ้อนไร้สิ่งใดเปรียบ ถ้าหากจ้องมองเป็นเวลานาน เกรงว่าจะตาลายจนสลบไสลไป แต่ว่านางมิได้เป็นเช่นนั้น นางจ้องมองแผ่นดวงดาวชะตาชีวิตเงียบนิ่ง ขนตาไม่กระดิก มิได้พลาดการเปลี่ยนแปลงเพียงน้อยนิดของลายเส้นเหล่านั้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด นางจึงสิ้นสุดการคำนวณ เก็บแผ่นดวงดาวชะตาชีวิต เดินไปไปยังด้านนอกต้นไม้ไม่กี่ก้าว ปลดธนูออก ลากลูกธนู ยิงไปทางส่วนปลายสุดทางเดินของเทือกเขา

เสียงพรึบดังขึ้น หน้าผายามราตรีถูกปลุกให้ตื่น

แรงสั่นสะเทือนของธนูทำให้ต้นไม้ที่โดดเดี่ยวต้นนั้นสั่นคลอน ส่อเค้าให้เห็นว่าอาจจะโค่นล้ม

จากนั้นก็ผ่านไปเป็นเวลายาวนาน

มิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ธนูลูกนั้นราวกับว่าหายไปในความว่างเปล่า นางแหงนหน้าขึ้นไปมองทิศทางตำแหน่งที่ลูกธนูผ่านไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน หลังจากนั้นจึงครุ่นคิดเงียบๆ เป็นเวลานาน

นี่เป็นลูกธนูของนาง ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาว ก็ไม่อาจหายไปอย่างไร้สุ่มไร้เสียงเช่นนี้ อย่างน้อยก็จะต้องมีเสียงสะท้อนกลับมา

ไม่มีเสียงสะท้อนกลับ ก็อาจมีความเป็นไปได้เพียงแค่สองกรณีคือ คู่ต่อสู้ในค่ำคืนนี้ของนางมีพละกำลังแข็งแกร่งกว่านางหลายเท่า หรือว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการคิดคำนวณตำแหน่ง

ประการแรกไม่อาจเป็นไปได้ เพราะว่าที่นี่คือสวนโจว อีกทั้งถ้าหากเป็นผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่มีระดับความสามารถเป็นขุนพลมารแล้ว เดิมทีก็คงจะไม่รั้งรอจนถึงเวลานี้ ฝ่ายตรงข้ามก็คงจะลงมือไปนานแล้ว

เช่นนั้นก็คงจะเป็นปัญหาในการคำนวณตำแหน่ง นางมั่นใจต่อวิชาการคำนวณของตนอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าคำนวณพลาดจริงๆ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว ก็คือตำแหน่งของคนผู้นั้นมีปัญหาเกิดขึ้น

เวลานี้เอง นางเหมือนกับเฉินฉางเซิงที่อยู่ด้านหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู คิดประโยคหนึ่งขึ้นได้

ตำแหน่งตรงกัน

ตำแหน่งตรงกันในที่นี้ ชี้ไปที่ช่องว่างที่อยู่ตำแหน่งตรงกัน เป็นตำแหน่งที่ตรงกันในสถานที่ไกลโพ้น ถ้าหากที่แท้แล้วช่องว่างนั้นไม่มีจริง ก็จะไม่อาจคำนวณได้ เช่นนั้นแล้วตำแหน่งของช่องว่างนี้ เป็นธรรมดาที่ไม่อาจคำนวณออกมาได้

เส้นทางที่โดดเดี่ยวเส้นนี้ แท้จริงแล้วนำพาไปสู่ช่องว่างปลอมรึ? เสียงพิณที่งดงาม กำลังต้อนรับให้นางเข้าสู่ความตาย ด้วยเหตุนี้ยังจะเข้าไปอย่างยินดีมีความสุขได้อีกรึ?

นางไขว้มือไปถึงยังริมหน้าผา มองไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลออกไป เริ่มครุ่นคิด

ถ้าหากมังกรดำสามารถมองเห็นภาพนี้ จะต้องเข้าใจเป็นแน่ เหตุใดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถึงรักใคร่หญิงสาวชุดขาวผู้นี้ เพราะว่าท่าทางของนางเวลานี้ ช่างเหมือนจักรพรรดินียามวัยรุ่นจริงๆ

แต่ว่ามังกรดำมองไม่เห็น

ในสายตาของนาง หลังจากหญิงสาวชุดขาวเดินไปอยู่ข้างใต้ต้นไม้โดดเดี่ยวต้นนั้น ก็มิได้ขยับเขยื้อนมาก่อน มิได้หยิบแผ่นดวงดาวชะตาชีวิตออกมาดู และยิ่งไม่ได้ดึงธนูออกมายิง

……

……

โลกของสวนโจวก็ได้ล่วงเลยมาถึงยามราตรี

แต่ที่นี่มองไม่เห็นดวงดาวเดียรดาษเต็มท้องฟ้า มิได้เป็นเพราะว่าเกล็ดหิมะบินว่อนกะทันหันเหล่านั้น เมฆก่อนหิมะตกสะสมจนหนาแน่นเหลือเกิน แต่เป็นเพราะเงาที่คืบคลานมาเชื่องช้าจากเมืองเสวี่ยเหล่าปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า

ที่แห่งนี้ใกล้กับเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างยิ่ง ราชามารที่น่าหวาดกลัวไม่ต้องการออกจากเมือง แต่ก็สามารถนำจิตใจที่แน่วแน่ของตนมายังที่แห่งนี้ กลายเป็นเงาทั่วทั้งผืน ตั้งใจจ้องมองเผ่ามนุษย์ผู้นั้นด้วยความเย็นชา

ถ้าหากเป็นเผ่ามนุษย์ธรรมดา จู่ๆ มีเงามาเยือน ก็คงจะตัวแข็งทื่อ จิตใจต่างถูกทำลายหมดสิ้น สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นละอองฝุ่นของทุ่งหิมะ แต่ซูหลีมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่าเขามิใช่คนธรรมดา

บนไหล่ขวาของเขามีรอยบาดแผลชัดเจนแผลหนึ่ง แต่กลับมองไม่เห็นว่ามีโลหิตออกมา เห็นเพียงแค่สิ่งที่ดำทมิฬราวกับน้ำหมึก อีกทั้งน้ำสีดำเหล่านั้นยังเดือดพล่านไหลทะลักออกมา

นี่เป็นพิษอะไร เหตุใดถึงน่าหวาดกลัวเช่นนี้?

ซูหลีมองขุนพลมารราวกับเทือกเขาเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป เอ่ยเยาะหยันออกมา “หลายปีผ่านมาแล้ว เจ้ารู้เพียงแค่เรื่องพิษที่เด็กเยาว์วัยเล่น ไม่แปลกเลยที่ทั้งชีวิตนี้ทำได้เพียงแค่เลียอยู่หลังฝ่าเท้าของพี่ใหญ่”

ขุนพลมารผู้นั้นเป็นขุนพลอันดับที่สองของกองทัพมาร ก็คือขุนพลมารไห่ตี๋ผู้น่าหวาดกลัวไร้ที่เปรียบ

ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดเช่นไรบ้าง ไห่ตี๋ขุนพลมารอันดับสองทิ้งร่องรอยน่าหวาดกลัวอยู่บนไหล่ของซูหลี ทว่าก็แลกมากับสิ่งที่ยิ่งเจ็บปวดยิ่งกว่า

มือขวาของเขาถูกกระบี่ของซูหลีตัดขาด

แต่บนใบหน้าของไห่ตี๋กลับมองไม่เห็นความเจ็บปวดและความโกรธแค้น มีเพียงแค่ความเฉยเมย

เขามองซูหลีเอ่ยอย่างมิได้ใส่ใจ “ร้อยกว่าปีก่อนก็ถูกเจ้าตัดมาแล้วคราหนึ่ง ต้องรักษาสิบกว่าปีถึงหายดี ส่วนอยู่หลังฝ่าเท้าของพี่ใหญ่ ถ้าหากนางยินยอมให้ข้าเลีย ข้าก็คุกเข่านานแล้ว”

ซูหลีส่งเสียงจิ๊อย่างประหลาดใจ “มีเพียงแค่เผ่ามารของพวกเจ้าถึงสามารถพูดได้เต็มปากอย่างไร้ยางอาย ไม่ว่าเจ้าเลียพี่ใหญ่ให้สุขสบายแล้ว ทว่าตอนนี้ถูกข้าตัดแขนไปข้างหนึ่ง หรือไม่กลัวว่าขุนพลมารอันดับสามจะฉกฉวยโอกาส หยิบชีวิตของเจ้า จากนั้นก็ฉีกเจ้ามากินเสีย?”

เผ่ามารให้ความเคารพในพละกำลัง ภาพที่เขาพูดถึงมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นจริงๆ

เสียงหนึ่งดังมาจากลมหิมะยามค่ำคืน นั่นเป็นเสียงของชุดดำ “จะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เพราะว่าข้าไม่ยินยอม ราชามารก็ไม่ยินยอม”

ไห่ตี๋มองซูหลีแล้วพยักหน้า หยิบมือของเขาแล้วถอยห่างออกไปไกล ทุกย่างก้าวที่ร่วงหล่นลง พื้นราบหิมะก็จะปรากฏรอยแตกลึกหลายจั้ง นี่เป็นผลหลังจากเขาได้รับบาดเจ็บที่ยากจะควบคุมพลังปราณ ยากที่จะจินตนาการได้จริงๆ ว่าหากร่างกายของเขามิได้พิการจะมีพละกำลังที่น่าหวาดกลัวเพียงใด แน่นอนว่าสิ่งที่ยากจะจินตนาการได้ก็คือ ซูหลีที่ใช้เพียงแค่กระบี่เดียวตัดแขนเขา แท้จริงแล้วแข็งแกร่งถึงระดับไหน

ถึงแม้ซูหลีจะได้ชัยชนะในสนามนี้ กลับมิได้มีโอกาสใดๆ

เพราะว่ายังมีเงาเผ่ามารที่ใหญ่ราวเทือกเขาค่อยๆ เข้ามาใกล้

นั่นคือขุนพลมารอันดับสี่และอันดับเจ็ด

เพียงเพราะต้องการสังหารอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน เผ่ามารเคลื่อนทัพผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก

นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งจริงๆ

หลายร้อยปีก่อน หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่มืดฟ้ามัวดินครานั้น สถานการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ปรากฏออกมา

ซูหลีกระอักโลหิตและถ่มน้ำลายออกมา ถูแก้มที่เยือกเย็น เอ่ยว่า “ทีละครั้ง ทีละครั้ง และทีละครั้ง พวกเจ้าไม่รำคาญบ้างรึ? เข้ามาตรงๆ ได้หรือไม่?”

คนชุดดำยิ้มออกมา ถึงแม้จะมีหมวกบดบัง มองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ว่าในดวงตาที่ดุจดังมหาสมุทรลึกเผยความรู้สึกยิ้มที่ชัดเจนจนความมืดมิดยามราตรีไม่อาจปิดบังได้

เขามองซูหลียิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา “เจ้าเริ่มลุกลี้ลุกลนแล้ว”

ซูหลีเอ่ยหยอกล้อออกไป “มีเพียงแค่คนที่ลุกลี้ลุกลนจริงๆ ถึงจะลุกลี้ลุกลนที่จะต่อสู้เช่นนี้”

ชุดดำเอ่ยออกมาเงียบนิ่ง “เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป เจ้าไม่รู้ว่าบุตรสาวจะต้านทานได้นานเพียงใด เหตุใดถึงจะไม่ลุกลี้ลุกลนเล่า?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซูหลีเงียบนิ่งมิได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับไห่ตี๋ก็เป็นเช่นนี้ ดูถูกเหยียดหยามต่อแผนการของเผ่ามารและมิได้สนใจหิมะที่กระหน่ำลงมาแต่อย่างใด

เวลานี้ รอยยิ้มนั้นในที่สุดก็หุบลง