ตอนที่ 427 รังแก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 427 รังแก

“ศัตรูโจมตี ศัตรูโจมตี ! ”

“อารักขาองค์หญิงเอาไว้ ! ”

ค่ายเกิดความโกลาหลทันพลัน เซวียผิงกุยเรียกรวมราชองครักษ์ห้าร้อยนายมาอารักขากระโจมขององค์หญิงในทันที

แต่ในขณะนั้นเองก็ได้มีนางในผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจมขององค์หญิง นางมองไปรอบด้าน และเดินตรงไปทางด้านหลังของค่าย

นางเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง และพบเห็นไป๋ยู่เหลียนที่กำลังขัดดาบยาวอยู่พอดิบพอดี

“คนของพวกเรามาแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“องค์หญิงทรงรออยู่ที่นี่เถิด อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะกลับมา”

“แต่ทหารม้าของชาวฮวงก็มากันเป็นจำนวนมาก”

ไป๋ยู่เหลียนแสยะยิ้ม “องค์หญิงมิต้องกังวล ทหารม้าเพียง 10,000 นาย จะถูกสังหารในคราวเดียว”

“จะเป็นอันตรายหรือไม่ ? ” หยูชิงหลานเอ่ยถามด้วยความกังวลเป็นอย่างยิ่ง

“องค์หญิงโปรดวางพระทัย อีกราว…1 ชั่วยาม พวกเราจะออกเดินทางยามราตรี และกลับไปยังราชวงศ์หยู ! ”

หยูชิงหลานพยักหน้า “ท่านแม่ทัพโปรดรักษาชีพด้วย ! ”

ไป๋ยู่เหลียนถือดาบยาวเดินออกไปจากค่าย และหยิบลูกศรออกมาจากในอกหนึ่งด้าม หยิบตะบันไฟขึ้นมาจุดไฟ ลูกศรลอยขึ้นไปกลางอากาศ แล้วระเบิดออก ส่องสะท้อนหิมะที่ขาวโพลนจนกลายเป็นสีแดงไปชั่วขณะ

ในขณะนั้นท่าป๋าชิวและท่าป๋ายวนก็ได้เดินออกมาจากกระโจมพอดิบพอดี พวกเขาได้เห็นพลุสีแดงเบ่งบานอยู่กลางอากาศ

ท่าป๋าชิวขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา นี่มิใช่สัญญาณของชาวฮวง เยี่ยงนั้นแล้วเป็นผู้ใดกันที่ส่งสัญญาณ ?

สัญญาณมีความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?

หัวใจของเขาบีบรัดขึ้นมาทันพลัน “กับดัก ! ”

ดาบเทวะมากันเพียง 2,000 นายเท่านั้น เยี่ยงนั้นอีกพันกว่าคนเล่า ?

สายตาของเขามองไปด้านหน้า เบื้องหน้านั้นมืดมิดราวกับสีของน้ำหมึก แต่เขากลับเห็นกลุ่มทหารม้าสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งทะยานออกมาท่ามกลางราตรีที่มืดมิดนั้น

ในยามที่ทหารม้ากลุ่มนี้ใกล้เข้าถึงตัวค่ายก็ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไล่ตามทหารม้าชาวฮวง ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มกลับปรี่ตรงไปทางค่าย

“ศัตรูโจมตี ! ผู้คุ้มกัน สกัดพวกเขาเอาไว้ ! ”

ท่าป๋าชิวกู่ร้องเสียงดัง ในตอนที่กำลังหันหลังกลับไปทางกระโจม ท่ามกลางแสงไฟก็ได้พบเห็นคนผู้หนึ่งถือดาบยาวกำลังปรี่เข้ามาทางเขา

“หนี ! ” ท่าป๋าชิวตวาดใส่ท่าป๋ายวนเสียงแผ่ว พร้อมกับชักกระบี่ที่อยู่ข้างกายออกมา และชี้ไปทางไป๋ยู่เหลียน

“เจ้า ไป๋ยู่เหลียน ผู้นำกองกำลังดาบเทวะ ! ”

ระยะห่างระหว่างไป๋ยู่เหลียนและท่าป๋าชิวยังเหลืออยู่อีกราว 6 จั้ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “ตาเฒ่านี่ คาดมิถึงว่าจะเดานามของแม่ทัพผู้นี้ได้ สมควรตายอย่างแท้จริง ! ”

จากนั้นท่าป๋าชิวก็เห็นไป๋ยู่เหลียนยกมือขวาขึ้นมาทันใด เขาตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครา ในตอนที่กำลังจะไปหลบซ่อนในกระโจม เขากลับเห็นมือขวาของไป๋ยู่เหลียนสว่างวาบขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง… ! ”

ท่าป๋ายวนหันกลับไปมองด้วยความตกใจ พบเห็นกระบี่ยาวในมือของบิดาตกลงไปกระทบกับพื้นเสียงดัง “ชริ้ง… ! ” หลังจากนั้นร่างของบิดาก็ล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง “ตึง ! ”

เป็นศาสตราเทพเยี่ยงนั้นหรือ !

ท่าป๋ายวนสติหลุดลอยไปชั่วครู่ เขาหันหลังกลับแล้วออกตัววิ่งทันที ไป๋ยู่เหลียนที่ไม่เร่งรีบก็ได้ใส่ลูกกระสุนเสร็จแล้ว จึงลั่นไกอีกครา ท่าป๋ายวนล้มลงไปกับพื้น และแน่นิ่งไปในที่สุด

ไป๋ยู่เหลียนยักไหล่ ของสิ่งนี้ถือเป็นการรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว

สนามรบที่ห่างออกไปแทบจะเริ่มเกือบพร้อมกัน “ปังปังปัง… ! ” ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองกำลังดาบเทวะก็ได้ขนาบหน้าขนาบหลังเข้ามา ความเร็วของทหารม้านับหมื่นของแคว้นฮวงถูกตัดออกไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยชื่อเสียงลือนามของกองกำลังดาบเทวะ ได้ทำให้ทหารม้าชาวฮวงอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อนี้

เสียงปืนที่ดังขึ้น ราวกับเวทมนตร์อย่างหนึ่ง ม้าศึกที่พวกเขานั่งอยู่ได้สูญเสียชีพไปแล้ว ทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าศึกได้สูญเสียกำลังใจในการรบไปทันพลัน

จะสู้เยี่ยงไรเล่า ?

ยิงธนูก็ยิงมิทะลุเกราะ ดาบในมือก็เข้ามิถึงร่างของอีกฝ่าย

แต่ของที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามกลับคร่าชีวิตเขาได้แม้จะอยู่ห่างออกไปถึง 60 จั้ง !

ดังนั้นในพื้นที่รกร้างตอนนี้ แทนที่จะกล่าวว่าทหารม้าชาวฮวงกำลังไล่ตามทหารม้าของดาบเทวะ แต่บัดนี้ต้องกล่าวว่าทหารม้าชาวฮวงคอยหลบซ่อนจากทหารม้าของดาบเทวะเสียจะดีกว่า

สู้มิได้เลยแม้แต่น้อย !

คนเยอะก็มิมีประโยชน์ มือของฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธสังหารที่ทรงพลัง มิทราบเช่นกันว่าคือสิ่งใด โยนมันเข้าไปในกลุ่มคนที่ห่างออกไป หลังจากนั้นก็ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้น และได้คร่าชีวิตของผู้คนในบริเวณไปจนหมดสิ้น แม้แต่สภาพศพก็มองดูมิได้

ดังนั้นกองกำลังดาบเทวะในตอนนี้ ในใจของทหารม้าชาวฮวง พวกเขาคือเทพแห่งความตาย

สนามรบแห่งนี้จบลงภายในครึ่งชั่วยาม นั่นก็เพราะดาบเทวะได้ไล่สังหารทหารม้าชาวฮวงที่หลบหนีไป

ในตอนที่ดาบเทวะรวมตัวกันแล้วกลับมาอีกครา ผู้คุ้มกันชาวฮวงทั้งหมดในค่ายก็ได้ถูกดาบเทวะ 500 คนสังหารเสียจนหมดสิ้นแล้ว

เซวียผิงกุยจ้องมองด้วยความตกใจถึงขีดสุด ด้วยอาวุธของคนเหล่านี้ เขาก็ทราบได้ว่านี่คือกองกำลังดาบเทวะที่เคยได้ยินข่าวลือมาเมื่อช่วงก่อน

แต่กองกำลังดาบเทวะคือกองทัพของราชวงศ์หยู เหตุใดพวกเขาต้องมาปล้นขบวนส่งตัวขององค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยูด้วยกัน ?

เกิดความสงสัยเช่นเดียวกันนี้ในหัวของขุนนางราชวงศ์หยูที่มากับขบวนส่งตัว เสนาบดีกรมพิธีการสวี่หวยซู่วิ่งออกมาจากกระโจมด้วยความตื่นตระหนก ยื่นนิ้วมือที่สั่นสะท้านและชี้ไปทางกองกำลังดาบเทวะที่ยืนอยู่

“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นกบฏ โทษคือประหารเก้าชั่วโคตร ! ”

มิมีผู้ใดสนใจเขา…

ไป๋ยู่เหลียนถือดาบยาวเดินตรงเข้าไป “เจ้าคือผู้รับผิดชอบขบวนส่งตัวนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นข้า แล้วพวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ? แม่ทัพเซวีย ข้าขอสั่งให้เจ้าสังหารกบฏนี่เสีย ! ”

เซวียผิงกุยรู้สึกไม่ดีไปทั่วร่างขึ้นมาทันพลัน นี่มันดาบเทวะ ! ที่ฝ่าบาททรงลงพู่กันสดุดีว่าเป็นกองกำลังที่คอยปกป้องแคว้นด้วยพระองค์เองเลยนี่

เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าลงมือเยี่ยงไร ?

หรือต่อให้ลงมือก็มิมีทางชนะอยู่ดี !

ไป๋ยู่เหลียนคิ้วขมวดเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าเจ้ามิใช่ผู้รับผิดชอบอีกต่อไป แต่เป็นข้า ดังนั้นทุกคนจงฟังคำสั่งจากข้า ! ”

“ถอยทัพ ! กลับแคว้น ! ”

มิมีผู้ใดกล้าขยับ เพราะเซวียผิงกุยและสวี่หวยซู่ได้รับราชโองการให้ส่งองค์หญิงสามไปจนถึงเมืองหลวงของแคว้นฮวง แต่เทพเจ้าแห่งความตายไป๋ยู่เหลียนกลับสังหารคณะทูตต้อนรับของแคว้นฮวงจนสิ้น แล้วยังมาประกาศว่าต้องกลับแคว้นอีกด้วย

ทุกคนย่อมดีใจที่จะได้กลับแคว้น แต่เจ้าต้องเอาราชโองการลับของฝ่าบาทออกมาด้วยสิ !

ไป๋ยู่เหลียนมีราชโองการลับกับผีสิ เขาเองก็ฟังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาอีกที

ในตอนนั้นเอง องค์หญิงสามหยูชิงหลานที่สวมชุดนางในก็ได้เดินเข้ามา นางกล่าวขึ้นมาว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องฟังคำสั่งจากแม่ทัพไป๋ ! ”

พิธีสมรสที่เดิมทีเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่หมื่นส่วน คาดมิถึงว่าจะจบลงง่ายดายเยี่ยงนี้ !

องค์หญิงสามที่นั่งอยู่ในราชรถราวกับกำลังตกอยู่ในความฝันก็มิปาน

ในตอนแรก นางคิดว่าตนเองจะต้องอยู่ที่แคว้นฮวงแห่งนี้ไปชั่วชีวิตเสียแล้ว

และหลังจากที่ฮั่วหวยจิ่นถูกย้ายมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ที่เมืองหลวง ก็ได้บอกกับนางว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัย

นางได้เกิดความหวังขึ้นมาในยามที่สิ้นหวัง ต่อจากนั้นก็ได้มีข่าวร้ายของราชวงศ์อู๋ที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนสิ้นแล้ว นั่นทำให้ความหวังของนางแตกสลายลงไปอีกครา

แต่ฮั่วหวยจิ่นกล่าวว่ากองกำลังดาบเทวะคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนหล่อหลอมขึ้นมา เยี่ยงนั้นการเดินทางในครานี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องมีการวางแผนไว้แล้วเป็นแน่

ผลสุดท้าย ถึงแม้จะมิพบไป๋ยู่เหลียนที่ผิงหลิง แต่สุดท้ายก็ได้พบเจอแม่ทัพผู้นี้ที่จวนแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองซินเฉิง

การต่อสู้ในคืนนี้เดิมทีคิดว่าคงจะน่าเวทนาเป็นแน่ แต่คาดมิถึงว่ากองกำลังดาบเทวะจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ !

เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ทหารม้าชาวฮวง 10,000 นายก็ได้ตกตายไปจนหมดสิ้น และตอนนี้ที่กำลังเดินทางกลับพระราชวัง ในยามที่ฟ้าสว่างขึ้นมา คาดว่าน่าจะกลับไปถึงด่านภูเขาเยี่ยนแล้ว

การเดินทางครานี้ เป็นไปอย่างล้มลุกคลุกคลานอย่างแท้จริง

ตามแผนการเดิมแล้ว ร่างตัวแทนของนางจะตายอยู่ในสนามรบนั้น แล้วนางจะได้กลับมายังราชวงศ์หยูในฐานะนางกำนัล จากนั้นก็คงไร้ซึ่งองค์หญิงสามอีกต่อไป

ดังนั้นนางจึงเปิดหน้าต่างรถม้าออก กวักมือเรียกไป๋ยู่เหลียน และกล่าวสิ่งที่ข้องใจออกไป

ไป๋ยู่เหลียนยิ้มบาง ๆ “มิเป็นไร ชาวฮวงดูแลตนเองมิดี คงมิมีความกล้าเสนอความคิดที่ไม่บังควรนี้ต่อฝ่าบาทอีกพ่ะย่ะค่ะ”

ปากไป๋ยู่เหลียนกล่าวออกไปเยี่ยงนั้นก็จริง แต่ในใจกลับคิดว่าสุดท้ายฟู่เสี่ยวกวนก็ใจอ่อน

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ทุกชีวิตต่างเท่าเทียม ต่อให้เป็นนางในผู้หนึ่ง ก็มิมีเหตุผลอันใดให้ต้องมาตกตายแทนองค์หญิง ดังนั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ดังนั้น มิจำเป็นต้องใช้แผนการร้ายแล้ว เยี่ยงไรแล้วชาวฮวงก็สู้พวกเรามิได้ ให้นางมีชีวิตต่อไปเถอะ ให้องค์หญิงสามได้กลับแคว้นไปอย่างเจิดจรัสเถอะ”

สิ่งที่เรียกว่าแผนการร้าย คือฟู่เสี่ยวกวนได้เคยวางแผนไว้ให้กองกำลังดาบเทวะแต่งกายเป็นชาวฮวงแล้วปล้นขบวนส่งตัวขององค์หญิง ตัวแทนขององค์หญิงจะตายในสนามรบ และหลังจากที่กองกำลังดาบเทวะได้ลงมือแล้วจากไป ก็จะโยนเรื่องให้เป็นฝีมือของชาวฮวง

จากนั้นกองทัพชายแดนเหนือของเผิงเฉิงอู่ก็จะออกจากด่านและตรงขึ้นเหนือไปทันที ดาบเทวะส่วนหนึ่งจะยังทำการปล้นในเขตของแคว้นฮวงต่อไป แล้วอีกส่วนหนึ่งจะกลับไปยังแคว้นเพื่อนำเสบียงและอาวุธมาเพิ่ม

เมื่อกองทัพชายแดนเหนือเผชิญหน้ากับศัตรู ดาบเทวะจะซุ่มโจมตีอยู่ด้านข้าง ทหารม้าชาวฮวงจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย !

แต่เพื่อนางในผู้หนึ่ง เขากลับละทิ้งแผนการที่ล่อใจที่สุดไป

“ใต้หล้านี้มิมีความเท่าเทียมอย่างสมบูรณ์ ข้ามิสนใจการตายของชาวฮวง แต่หากนางในผู้นี้ต้องมาตกตายเพราะแผนการนี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็มิอาจข้ามผ่านอุปสรรคในใจได้ ดังนั้นเสี่ยวไป๋เอ๋ย แท้จริงแล้วข้านั้นเป็นบุรุษผู้มิมีความเด็ดขาด”

ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เขียนจดหมายถึงท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง

เนื้อความในจดหมายมีอยู่ว่า “หากเจ้ายังมิสงบเสงี่ยม ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างมิสงบไปอีกตลอดกาล ! ”

นี่คือการข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง ให้ตายเถอะ นักวรรณกรรมผู้หนึ่งจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

เขาเป็นบุรุษที่มิเด็ดขาดเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาเพียงแค่กำลังรังแกผู้อื่นเท่านั้นแหละ !