บทที่ 423 ท่านอ๋องตวนก็มาเช่นกัน

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 423 ท่านอ๋องตวนก็มาเช่นกัน
ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับผิดถึงได้มองหน้าหนานกงเย่ และกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”

“ยังกล้าถามหรือ?”หนานกงเย่เดินมองฉีเฟยอวิ๋น เดินทางมาอย่างเร่งรีบราวกับฟ้าแลบ หรือว่าเขามาเพราะเรื่องสงครามชายแดน?

มีแม่ทัพฉีอยู่ทั้งคนเขาไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ใจโหยหานั่นก็คือเธอ

ถามอย่างไรหัวจิตหัวใจมันไม่ใช่ครั้งแรกหรอก

มือของหนานกงเย่ลูบสัมผัสที่แก้มบวมเป่งของฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อก่อนตอนที่ผอมเป็นคนที่สวยงามสง่า แม้ว่าจะดึงดูดผู้คน แต่พอนึกถึงเจ้าของร่างกายดั้งเดิมนี้ เขามีจิตใจที่มุ่งมันคะนึงหาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

วันนี้เจ้าของร่างเดิมไม่อยู่ แลกเปลี่ยนกลายมาเป็นวิญญาณของเธอ ก็กลายเป็นเยี่ยงตอนนี้

แต่อย่างนี้เขาก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก

เขาลูบสัมผัสใบหน้าแก้มที่บวมเป่งของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นมองท่านแม่ทัพฉีแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อตา เกิดเรื่องกับเจ้าแห่งอีกาหรือ?”

“เรื่องนี้ข้ามิได้รู้อย่างชัดเจน ถามอวิ๋นอวิ๋นเถิดนะ”แม่ทัพฉีไม่ได้รู้เรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าแห่งอีกาชัดเจน เลยมิได้กล่าวอะไรมาก

แม่ทัพฉีนั่งลงแล้วมองบุตรเขย การกระทำการพูดทุกอย่างล้วนใส่ใจบุตรสาวของตน ท่านแม่ทัพฉีนับว่าสบายใจแล้ว

หนานกงเย่นั่งลงมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นเอื้อมมือออกไปกล่าวว่า “เรื่องของเจ้าแห่งอีกาอีกสักครู่บอกกับข้าเป็นการส่วนตัวนะ คนอื่นกลับไปพักผ่อนก่อน เรื่องช่วยเหลือเจ้าแห่งอีกาคนของข้าจะไป พระชายาตวน ท่านกลับไปที่กระโจมของท่านก่อน ที่นั่นมีคนรอท่านอยู่”

“รอข้าหรือ?”

อวิ๋นหลัวฉวนมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงลุกขึ้นยืน นางกังวลว่าท่านย่าจะมา เลยรีบกลับไปอย่างว่องไว

และมู่เหมียนได้พาคนอื่นๆถอยออกไปเช่นกัน

“พ่อจะไปสำรวจตรวจตราแล้วนะ”กล่าวแล้วท่านแม่ทัพฉีก็ได้ลุกเดินออกไป

ภายในกระโจมเหลือเพียงหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นสองคน ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเกร็งและกดดัน อย่างไรก็ตามเป็นเธอที่ออกมาโดยพลการ

“ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของหม่อมฉันผู้เดียว ท่านอย่าโทษนางเลย”ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับผิดด้วยตนเอง เธอเงยหน้ามองหนานกงเย่ หนานกงเย่สายตาแววเป็นประกายใช้มือสองข้างจับที่แก้มของเธอแล้วมอง

“ข้ารีบเร่งเดินทางคล้ายดั่งไฟแผดเผา อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดถึงข้าหรือไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วมองหนานกงเย่ กล่าวว่า “คิดถึงก็คิดถึงอยู่หรอกเพคะ เพียงแต่ว่า……”

“เพียงแต่อันใดหรือ?”

“ก็ไม่มีอะไรเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ออกมาเอง คิดถึงก็ไม่สามารถพูดได้ พูดออกมาน่าอายแค่ไหนกันเล่า!”

“ยังรู้จักที่จะอับอาย?”หนานกงเย่ถูกทำให้โมโหจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดถึงก็คือคิดถึง ยังจะกลัวอายอะไรกัน

“ข้าคิดถึงอวิ๋นอวิ๋น คิดถึงจนใจสั่นหวั่นไหว ยามราตรีนอนไม่หลับ เปิดโคมไฟอ่านตำราก็อ่านไม่เข้าใจ ตอนกลางวันคิดถึงจะนั่งจะยืนก็ไม่ติด กินข้าวไม่ลง เดิมคิดที่จะจัดการที่เมืองหลวงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมารับอวิ๋นอวิ๋น แต่ข้าไม่สามารถรอได้เลย”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง ละทิ้งเมืองหลวงมาหรือเพคะ?”

“มิเช่นนั้นเล่า? ”หนานกงเย่ยิ้มเจื่อนๆกล่าวอีกว่า“ข้านับว่ารักเจ้าเกินไปแล้ว!”

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดีโดยฉับพลัน!

คนผู้นี้!

อยากเจอคิดถึงแม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ทั้งสองคนยังคงเอาอกเอาใจกันอย่างนุ่มนวล

รอจนเวลาชั่วขณะนี้ผ่านไป หนานกงเย่ยังมีความรู้สึกว่าอารมณ์ยังค้าง จึงกอดดอมดมฉีเฟยอวิ๋นอยู่สักพักหนึ่งถึงได้ผละออก

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ ตอนนี้เธอเป็นเช่นนี้ เธอมองตนเองในกระจกจนแทบอยากจะอาเจียนออกมาแล้ว เขาเอาความรู้สึกสนใจโหยหาเหล่านี้มาจากไหน ถึงได้หวงแหนเธอขนาดนั้น?

ฉีเฟยอวิ๋นถูกปล่อยออกและได้กวัดแกว่งขาทั้งสองข้าง เมื่อก่อนเธอรูปร่างก็ไม่เลว ขาทั้งสองข้างพอคนเห็นคนก็ชื่นชอบ วันนี้ขาของเธออวบอ้วนบวมคล้ายดั่งหัวไชเท้าขาว อีกทั้งหนาทั้งบึกล่ำ พาเธอกวัดแกว่งแล้วรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างนี้ขาวอวบนุ่มนิ่ม สดใสแวววาว เพราะว่าเธอบวมและยังมีน้ำมีนวล

แต่ดูแล้วไม่สวย คล้ายดั่งกีบเท้าของหมูสองข้างกวัดแกว่งอยู่ข้างเตียง

หนานกงเย่นั่งลงอีกด้าน กล่าวว่า “ขาบวมหรือ?”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ตอนที่มาเป็นหนักขึ้น อยู่ในรถม้าโคลงเคลงมากเพคะ”

หนานกงเย่โค้งเอวลงแล้วจับขาข้างหนึ่งของฉีเฟยอวิ๋นวางพาดบนขา จากนั้นแหวกกระโปรงขึ้นแล้วนวดคลึงให้

ที่จริงฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้รู้สึกว่าอย่างไรเลย แต่พอมือขาวละมุนคู่นั้นของหนานกงเย่แตะสัมผัสจิตใจเตลิดเปิดเปิงเสียเหลือเกิน

มือของผู้ชายที่สวยๆเจอไม่มาก แต่หนานกงเย่นับว่าเป็นคนหนึ่งเลยที่มือสวย มือของเขาไม่เพียงขาวนุ่มนวล มันยังมีกระดูกขึ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นนับว่าเป็นชายที่มีมือสวย

ฉีเฟยอวิ๋นมองมือคู่นั้นเลยเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เธอหันไปถามหนานกงเย่ว่า “ท่านอ๋อง ท่านบอกจะช่วยเจ้าแห่งอีกา มีข่าวคราวแล้วหรือเพคะ?ท่านอ๋องยังไม่ได้ถามหม่อมฉันเลยนะ?”

“เช่นนั้นอวิ๋นอวิ๋นก็พูดตอนนี้เลยสิ”

“……..”ฉีเฟยอวิ๋นไร้คำพูด เธอนึกว่าหนานกงเย่รู้อะไรหมดแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ายังต้องเป็นเธอที่พูด.

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเรื่องราวที่ผ่านมาให้หนานกงเย่ฟัง หนานกงเย่พยักหน้า เปลี่ยนขาข้างหนึ่งมาบีบนวดคลึงให้ฉีเฟยอวิ๋น และกล่าวว่า“ดูเหมือนว่าตอนที่ข้าฝึกฝนเจ้าแห่งอีกาจะมีคนมาพบเห็นเข้า คนของจงชินสมคบคิดกับท่านแม่ทัพซานเต๋อของเมืองอู๋โยว ให้ท่านแม่ทัพซานเต๋อจับกุมตัวของเจ้าแห่งอีกา และยังทำให้พวกเขาสูญเสียเสียงด้วย”

“น่าจะใช่เพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นชักขาดึงกลับมา กล่าวถามหนานกงเย่ว่า “ท่านอ๋องกินข้าวหรือยังเพคะ?”

“ยังเลย อีกสักครู่จะกินกับท่านพ่อตา อวิ๋นอวิ๋น ข้ารีบเดินทางไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว อยากจะพักผ่อนสักครู่หนึ่ง เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้านะ”

“เช่นนั้นท่านอ๋องนอนเถิดเพคะ”

หนานกงเย่ขึ้นเตียงไปไม่นานก็หลับ ฉีเฟยอวิ๋นนอนอยู่อีกด้าน ทั้งสองคนห่มผ้า และมือของหนานกงเย่โอบฉีเฟยอวิ๋น

ท่านแม่ทัพฉีกลับมา พอเข้ากระโจมมาได้เห็นบุตรเขยและบุตรสาวนอนสวมกอดกันกลม ก็หน้าแดงก่ำเขินอายเดินออกไป

หนานกงเย่นอนทั้งบ่าย รอจนถึงช่วงเย็นพลบค่ำถึงได้ตื่น

ท่านแม่ทัพฉีสั่งคนจัดเตรียมอาหารเย็น กินข้าวเสร็จหนานกงเย่ก็ออกไปเลย

ฉีเฟยอวิ๋นมีความรู้สึกค่อนข้างเป็นกังวล แต่ฟังที่หนานกงเย่กล่าว เขาบอกว่าเรื่องนี้เขาเป็นผู้ไปเหมาะสมที่สุด

ฉีเฟยอวิ๋นรอหนานกงเย่ไปแล้วถึงได้ไปดูคนที่มา ไม่เห็นอวิ๋นหลินฉวนเธอรู้สึกว่าแปลกประหลาดใจเล็กน้อย ถามก็ไม่มีคนรู้ ฉีเฟยอวิ๋นเลยไปที่กระโจมที่นางพัก

“ได้ยินมาว่าไม่ออกมาวันหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าทำอะไร”มู่เหมียนไปหาอวิ๋นหลัวฉวนเป็นเพื่อนฉีเฟยอวิ๋น

ทั้งสองคนหันเดินไปทางด้านนั้น มองเห็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยกำลังฝึกฝน มู่เหมียนบอกด้วยสายตาลุกวาว ฉีเฟยอวิ๋นชี้แล้วกล่าวว่า “ท่านน่าจะไม่เคยเห็น ถือโอกาสนี้ไปดูสิ ก็นับว่าไม่ได้มาสูญเปล่า ครั้งนี้พวกเรากลับไป บางทีท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าค่ายทหารแล้วนะ ”

มู่เหมียนถือโอกาสนี้ไปดูเฉินอวิ๋นเจี๋ยเสียเลย

รอมู่เหมียนไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นถึงไปดูอวิ๋นหลัวฉวน

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่า โชคชะตาช่วงเวลานี้ของมู่เหมียนมันไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น

แต่ในเมื่อมีความมุ่งมั่นแล้ว นิสัยของมู่เหมียน หากไม่ลองดูก็จะไม่มีทางยินยอม

ฉีเฟยอวิ๋นมาอยู่ที่ด้านนอกกระโจมของอวิ๋นหลัวฉวนแล้ว พอคิดที่จะเข้าไปก็ได้ถูกทหารที่อยู่ด้านหน้าขวางไว้

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าแปลก ที่อยู่ด้านหน้ากระโจมสองคนไม่คล้ายภายในกองกำลังทหารเลย

“พวกเจ้าเป็น…..”

คนหนึ่งในนั้นไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ ได้หยิบตราประทับออกมาให้ฉีเฟยอวิ๋นดู บนตราประทับปรากฏคำว่าตวน

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ประตูกระโจม ถึงได้เข้าใจ

ก่อนหน้าที่หนานกงเย่บอกว่ามีคนรออวิ๋นหลัวฉวน ก็คือท่านอ๋องตวนนั่นเอง

ในเมื่อสามีภรรยาอยากเจอกัน เธอเลยไม่รบกวน และฉีเฟยอวิ๋นเลยหมุนตัวเดินจากไป

อวิ๋นหลัวฉวนที่อยู่ในกระโจมกำลังกลัดกลุ้มว่าจะสลัดท่านอ๋องตวนออกอย่างไรดี

เวลานี้ท่านอ๋องตวนสวมใส่ชุดลายผ้าไหมนอนหลับอยู่บนเตียงของนาง

ก็ไม่รู้ว่าใช้อะไรทำเชือกหรอกนะ มันแน่นแข็งแรงเป็นอย่างมาก มือของนางถูกมัดอยู่กับข้อมือของหนานกงเหยี่ยน นางอยากจะออกไปก็ไปไม่ได้ เรียกหนานกงเหยี่ยนเขาก็ไม่ตื่น

ตั้งแต่เข้ามาก็นอน จนถึงตอนนี้