ตอนที่ 612 ตามหาคนบนเกาะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ตอนที่ 612 ตามหาคนบนเกาะ 

 

 

หลี่ว์ซู่นั่งบนกำแพงป้องกันและมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า เขาไม่รู้เลยว่าจะใช้เวลาช่วงกลางคืนนี้ทำอะไรดี 

 

 

เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการตามหาดวงตาแห่งค่ายกล ถ้าหาเจอก็จะพาทุกคนออกไปจากสถานการณ์ยากลำบากในตอนนี้ได้ แต่ดวงตาแห่งค่ายกลถูกซ่อนไว้ใต้น้ำทะเลลึก พวกเขาจะลงไปค้นหามันได้อย่างไรกัน 

 

 

หลี่ว์ซู่มองลงไปในทะเล เขาเริ่มร้อนใจแล้ว เขาปะทุพลังสายธาตุน้ำก็เลยไม่รู้สึกกังวลเหมือนคนอื่นๆ เขาไม่ต้องห่วงเรื่องการหายใจหรือการเคลื่อนไหวใต้น้ำ กลับกันแล้วเขามีได้เปรียบมากเมื่ออยู่ใต้น้ำต่างหาก 

 

 

ถึงแม้วิธีการบังคับน้ำของหลี่ว์ซู่นั้นจะค่อนข้างประหลาด แต่ก็ไม่มีผลอะไรกับการรับมือในน้ำหรอก 

 

 

หลังกองทัพจากทะเลจะถูกฆ่าตายไป ศพของพวกมันก็หายไปด้วย ขนาดเกราะทองแดงยังสลายกลายเป็นผุยผงแล้วหายวับไปเลย นี่ทำให้หลี่ว์ซู่เสียดายอยู่หน่อยๆ 

 

 

ตอนนี้เขาเก็บหอกสามง่ามมาได้มากกว่าเล่มแล้ว หลังจากที่เจ้าโกลาหลตื่นขึ้น เขาจะให้อาวุธสามง่ามพวกนี้กับมันเป็นอาหาร แต่โอกาสแบบนี้ก็ไม่ได้มีบ่อยๆ น่ะสิ หลี่ว์ซู่ชักอยากอาวุธให้โกลาหลเพิ่มอีก 

 

 

ตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะพอมีเกราะทองแดงร่วงหล่นอยู่แถวนี้บ้างก็ได้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ เพราะเกราะทองแดงนั้นจริงๆ แล้วก็ถือว่าเป็นอาวุธด้วย เพราะฉะนั้นจะทิ้งซากเอาไว้ก็คงไม่เข้าท่าเท่าไหร่ 

 

 

หลังจากหลี่ว์ซู่เก็บหอกสามง่าม เขาก็เริ่มคิดว่าเก็บเกราะทองแดงมาไว้ด้วยเป็นยังไง ถ้าสหายร่วมรบของเขาได้ใส่เกราะนี้เหมือนกันล่ะ ก็คงจะมีคนเจ็บน้อยลงใช่ไหม 

 

 

เพราะการต่อสู้นั้นทวีความดุเดือดมาก หลี่ว์ซู่เลยไม่ได้ดูว่าเขาได้แต้มอารมณ์มาเท่าไหร่บ้าง จนเขาเพิ่งมารู้สึกได้นี่แหละว่ามีอะไรแปลกๆ เพราะเขาไม่ได้แต้มอารมณ์เลยยังไงล่ะ! 

 

 

ตอนนั้นถึงเขาจะสู้กับเจ้ากระรอกแต่เขาก็ยังได้แต้มอารมณ์มาบ้างนิดหน่อย แล้วเขาจะไม่ได้แต้มอารมณ์จากทหารใต้ทะเลมาแม้แต่แต้มเดียวได้ยังไงกัน 

 

 

เดี๋ยวนะ มันมีรายชื่อที่เป็นชื่อแปลกๆ อยู่นี่ 

 

 

[แต้มอารมณ์จากเค่อลาลา +999!] 

 

 

[แต้มอารมณ์จากเค่อตัวอู๋ +1000!] 

 

 

ชื่อพวกนี้ไม่ใช่ชื่อจีนที่เห็นได้ทั่วไปเลยนี่ ถ้ามันโผล่มาแค่ชื่อเดียวก็คงบอกได้ว่าเป็นชื่อที่ไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ แต่พอมีสองชื่อโผล่มาติดกันแบบนี้มันชัดจะยังไงๆ อยู่ 

 

 

“งั้นพวกกองทัพใต้ทะเลนั่นก็ถูกใครควบคุมไว้อยู่สินะ เหมือนกับกิ้งก่ากินคนพวกนั้น หรือว่าเค่อลาลากับเค่อตัวอู๋เป็นคนควบคุมกิ้งก่าในพื้นที่นี้กัน?” หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดอย่างหนัก “งั้นทหารใต้ทะเลอย่างเค่อลาลากับเค่อตัวอู๋มีกี่คนเนี่ย แข็งแกร่งขนาดไหนด้วย” 

 

 

หืม หลี่ว์ซู่ดูแต้มอารมณ์หนึ่งพันแต้มที่ได้มาจากเค่อตัวอู๋แล้วก็ใช้ความคิด ถ้าเป็นสถานการณ์ทั่วไป เขาจะหนึ่งพันแต้มเฉพาะตอนที่คนที่มอบแต้มให้กำลังจะตายนี่ หรือไม่ก็เฉพาะเหตุการณ์พิเศษจริงๆ เท่านั้น เขาฆ่าทหารระดับ C ไประหว่างการต่อสู้ หรือทหารระดับ C คนนั้นคือเค่อตัวอู๋หรือเปล่านะ 

 

 

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็สรุปได้ว่าคนควบคุมน่าจะอยู่ระดับ C แน่นอนแหละว่าต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่าคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง หลี่ว์ซู่ไม่เชื่อว่าจะไม่มีใครที่อยู่ระดับ B เลยสักคนเดียวในโบราณสถานนี้ 

 

 

ถึงโบราณสถานนี้จะไม่ใหญ่เท่าเกาะช้าง แต่ด้วยพลังจิตวิญญาณเข้มข้นเช่นนี้แล้ว มีโบราณสถานแค่ไม่กี่แห่งเท่านั้นแหละที่จะไม่มีสัตว์ประหลาดระดับ B เลย 

 

 

ที่โบราณสถานเกาะช้างนั้น หลี่ว์ซู่คิดว่าการพบปะกับระดับ A นั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากได้อ่านกระทู้ของมูลนิธิแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าเกาะช้างนั้นเป็นโบราณสถานที่พิเศษออกไปเนื่องจากมีมารโลหิตนรกและปรมาจารย์หุ่นเชิดอยู่ 

 

 

หลี่ว์ซู่มองไปในทะเล เขาตัดสินใจว่าจะไม่กระโจนลงไปในน้ำตอนนี้ เขารู้สึกว่าจะต้องรอจังหวะเหมาะๆ ก่อน 

 

 

ในขณะที่กองพันที่ 42 กำลังนอนพัก พวกเขาสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่ที่นั่งพักอยู่บนกำแพงหินคนเดียวแล้วก็พลันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา พวกเขาอยากเข้าไปนั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วยหรอก แต่หลี่ว์ซู่ไม่ยอมให้พวกเขาทำแบบนั้น 

 

 

เขากำลังรอคอยให้มีหอกสามง่ามเขวี้ยงมาอีก ถ้าให้คนอื่นไปนั่งเป็นเพื่อนด้วย เดี๋ยวคนพวกนั้นจะขโมยหอกสามง่ามของเขาเอา 

 

 

หลี่ว์ซู่รอมาได้สองสามชั่วโมงแล้วแต่ก็นยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่ว์ซู่พูดกับมั่วเฉิงคง “ไม่ต้องรีบออกมาตามหาฉันนะ เดี๋ยวไปจัดการอะไรในเกาะนี้หน่อย ฉันจะเดินไปนะ แล้วเดี๋ยวกลับมาอีกทีถ้าเสร็จเรื่องแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรจะรีบกลับมาอย่างด่วนเลย ก็บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาด่วนๆ เลยไง! ปล่อยฉันไปได้แล้ว!” 

 

 

มั่วเฉิงคงปล่อยหลี่ว์ซู่ออกด้วยความเขินอาย “อะแฮ่ม สัญชาตญาณน่ะ สัญชาตญาณ… ว่าแต่พี่ซู่ พี่จะไปไหน” 

 

 

“จะไปหาคน” หลังจากหลี่ว์ซู่พูดเสร็จเขาก็หายไปในความมืดบนเกาะ เขาจะไปหาหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ 

 

 

เสี่ยวอวี๋นั้นนั่งอยู่ในอีกฟากหนึ่งของเกาะ เธอเป็นพวกที่มาถึงกลุ่มแรกๆ และเธอก็อยู่ที่นี่มาสิบวันแล้ว 

 

 

ใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านกลับตอนนี้กลับเปือนไปด้วยเหงื่อและฝุ่นมอมแมม เธอเป็นแนวหน้าของกองพันที่ 1 ในการต่อสู้มาโดยตลอด 

 

 

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่าเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนที่ไม่ดีนั้นวัดได้ในช่วงที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เกณฑ์นี้ฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ เพราะตัดสินว่าเป็นเพื่อนที่ดีหรือเพื่อนที่เหมาะสมไหมแค่เพราะคนคนนั้นยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่นไหม 

 

 

งั้นการเห็นแก่ตัวนิดๆ หน่อยๆ นั้นถือเป็นเรื่องแย่เหรอ ถ้ามีคนไม่ยอมเสี่ยงชีวิตเอาตัวเข้าแลกเพื่อเพื่อนแล้ว แปลว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนจะจบหรือเปล่า ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก 

 

 

แต่หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นก็ยอมปกป้องชีวิตสหายร่วมรบจากกองทัพใต้ทะเล ทุกคนเลยเชื่อว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่พาพวกเขาเข้าไปสู่การต่อสู้แบบฝึกหัด พอมีคนเห็นเสี่ยวอวี๋นั่งอยู่บนกำแพงป้องกัน พวกเขาก็เลยพูดขึ้นมา “เสี่ยวอวี๋ นั่งตรงนั้นมันอันตรายนะ มานอนเถอะ เธอเองก็ต้องพักเหมือนกัน” 

 

 

“ฉันไม่เป็นไร พวกเธอไปนอนเถอะ” หลี่ว์เสี่ยวอวี๋พูดเรียบๆ 

 

 

เธอไม่ได้นอนมากนักหรอก ถึงแม้เธอจะเป็นพวกขี้เกียจและชอบนอนก็เถอะ เธอเป็นเหมือนเทพผู้พิทักษ์บนชายหาดนี้ เฝ้ายามปกป้องพื้นที่ของเธอไว้ 

 

 

เธอไม่ได้เป็นพวกเห็นแก่ตัวเลย หลังจากไปฝึกฝนที่ค่ายทหารกันมา เธอก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับพวกเขา ความใจดีที่พวกเพื่อนๆ มีให้ทำให้เสี่ยวอวี๋มีความคิดว่าพวกเขาไม่ควรต้องมาตายอย่างไร้เหตุผลที่นี่ 

 

 

แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเป็นพวกดีสุดขั้วหรือชั่วสุดขีดกันนะ มันไม่มีคำตอบตายตัวหรอก แต่ที่แน่ๆ เธอรู้ว่าคนเราเปลี่ยนเป็นคนดีกันได้ 

 

 

สำหรับพวกเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ หลี่ว์เสี่ยวอวี๋นั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่นักเรียนห้องเต้าหยวนแล้ว เธอไม่บ่นสักนิดเลยถึงแม้เธอจะแบกความรับผิดชอบเอาไว้หนักหน่วงเต็มบ่าของเธอ 

 

 

ทุกคนในกองพันที่ 1 นั้นเปลี่ยนอาวุธเป็นหอกสามง่ามกันแล้ว พวกเขามีกันไม่มาก แค่ร้อยคนเท่านั้น ส่วนหอกสามง่ามที่เหลือ พวกเขาก็เอาไปกองๆ กันไว้แถวๆ เท้าของเสี่ยวอวี๋ตามที่เธอสั่งมา 

 

 

กลุ่มเด็กผู้หญิงได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พวกเธอเตือนหลี่ว์เสี่ยวอวี๋แล้วส่ายหัวอย่างหมดหวังก่อนเดินกลับกันไป 

 

 

“เธอไม่คิดจะพักเลยแฮะ เราทำยังไงกันดี เสี่ยวอวี๋…แข็งแกร่งชะมัดเลย” 

 

 

“ไปอยู่เป็นเพื่อนเธอกันเถอะ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งพูดออกมา