เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้แต่ข้าทำได้
ที่เว่ยหมิ่นโกรธนั้นไม่ใช่เพราะเรื่องที่เขาช่วยเฝิงเยี่ยไป๋ ที่นางโกรธคือพวกเขาไม่ยอมบอกอะไรนางเลย เฝิงเยี่ยไป๋ก็ช่าง เหลียงอู๋เย่ว์ก็ยังมาปิดบังนางอีก คิดว่านางปากไม่สนิทกลัวนางจะหลุดข่าวออกไปหรืออย่างไร
“เหลียงอู๋เย่ว์ เจ้าจำฐานะของตัวเองให้ขึ้นใจ ตอนนี้เจ้าเป็นจวิ้นหม่าของข้า เจ้าคิดว่าเจ้าไม่บอกข้า ข้าก็จะยุ่งเกี่ยวไม่ได้แล้วหรือ ข้าจะบอกเจ้าให้ พวกเราเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเดียวกัน หากเจ้าและเฝิงเยี่ยไป๋เป็นอะไรขึ้นมา ข้าก็ดิ้นไม่หลุดเหมือนกัน”
เหลียงอู๋เย่ว์ถูกบีบจนพูดอะไรไม่ออก ไฉนไม่ว่าคำพูดอะไร พอถึงปากเว่ยหมิ่นพูดออกมาอีกกลับกลายเป็นว่าเขาไร้เหตุผลเสียแล้ว
เว่ยหมิ่นโมโห ชี้ศีรษะของเหลียงอู๋เย่ว์พูดว่า “เจ้า… คราวหน้ามีเรื่องใดห้ามปิดบังข้าอีก อย่างน้อยข้าก็ยังเป็นท่านหญิง อย่างไรเสียก็เก่งกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ที่เป็นท่านอ๋องเพียงชื่อกระมัง เรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้ข้าทำได้ รู้หรือไม่”
“ขอรับๆๆ รู้แล้ว ท่านหญิงสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่งนัก” เหลียงอู๋เย่ว์ยิ้มอย่างหน้าด้าน “เจ้าพูดอะไรก็ถูก”
เว่ยหมิ่นหึใส่เขา “เจ้าสุนัขรับใช้ ทำเป็นแต่กระดิกหางเท่านั้น ข้าบอกเจ้ารอบหนึ่งเจ้าจงจำไว้ให้ดี หากยังมีครั้งต่อไปอีก ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่”
ไม่ใช่ว่าตีคือสนิทด่าคือรักเช่นนั้นหรือ เว่ยหมิ่นเป็นห่วงเขาอยู่กระมัง ในใจเหลียงอู๋เย่ว์หวานล้ำประหนึ่งถูกฉาบด้วยน้ำผึ้งมิปาน ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกชอบ ค่อยๆ กลั้นยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ปากฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะถึงหลังศีรษะเสียแล้ว
“ยิ้มเซ่อซ่าอะไรอยู่” เว่ยหมิ่นเอามือจิ้มเขา “เจ้าคิดอะไร เป็นบ้าหรืออย่างไร ยิ้มได้น่าตีนัก”
จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไร ต่อให้นางด่าเขาก็ยังดีกว่าทำหน้าเย็นชาใส่เขาทั้งวันเสียอีก จะห่างเหินกับคนคนหนึ่งมันง่ายนัก เพียงแค่ปล่อยเขาไว้ไม่สนใจ ถือเสียว่าไม่มีคนคนนั้นอยู่ ผ่านไปไม่นานก็จะทนไม่ไหว หลายวันก่อน ไม่รู้ว่าเว่ยหมิ่นยังทำใจไม่ได้หรืออย่างไร ปฏิบัติกับเขาได้เฉยชายิ่งนัก ตอนนี้กลับดีขึ้น ยอมด่าเขาแล้ว เขาไม่สนว่าการด่านี้จะเป็นเพราะความหวังดีหรืออะไร อย่างไรเสียก็ดีกว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาไปตลอดอยู่มาก
เขาหุบปาก แต่ก็ทนไม่ได้ แสร้งทำเป็นยิ้มขึ้นมา “ไม่ได้ยิ้มอะไร เจ้ามีเรื่องใดหรือ”
เว่ยหมิ่นมองเขาด้วยความประหลาดใจ คนคนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร ยิ้มซื่อบื้อไม่หยุด “เจ้ารีบเอาหน้าของเจ้าออกไปให้พ้นเสีย ข้ามองแล้วรู้สึกสยองยิ่งนัก หากเจ้าป่วยก็รีบไปหาหมอหลวง อย่าให้คนอื่นว่าได้ว่าจวนข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี”
เหลียงอู๋เย่ว์ทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ข้าดีอยู่ ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร หากเจ้าไม่ชอบดู เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยิ้ม”
ช่างเหมือนเด็กเสียจริง หลายปีมาแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไปเลยสักน้อย เวลากระฟัดกระเฟียดขึ้นมาก็เหมือนเด็กที่ยังไม่โต ทำท่าบุ้ยปาก ช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าที่ตัวเองทำอย่างนั้นมันน่าขายหน้าเพียงใด เว่ยหมิ่นส่ายหน้พลางถอนหายใจ “พอได้แล้ว ข้าต้องเข้าวัง หากเจ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปเดินเล่นคนเดียว ขอเพียงเรื่องเดียว อย่าได้ไปหาเฝิงเยี่ยไป๋อีก พวกเจ้าอยู่ใกล้เกินไปฮ่องเต้จะสงสัยเอาได้ ถึงตอนนั้นทั้งสองบ้านล้วนส่งคนมาเฝ้าจับตา เช่นนั้นแล้วจะไม่มีทางรอดได้อีก”
เหลียงอู๋เย่ว์ตอบรับคำเบาๆ กระนั้นเขาก็ไม่วางใจปล่อยให้นางเข้าวังคนเดียว “ไม่อย่างนั้นมิสู้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า หากฮ่องเต้กักตัวเจ้าอีก ข้าจะได้ช่วยเจ้าออกมาได้”
“เจ้าช่วยข้าหรือ เจ้าจะช่วยข้าอย่างไร” แม้คำพูดนี้จะโง่ไปสักหน่อย แต่ฟังแล้วก็รู้สึกอบอุ่น เว่ยหมิ่นตบไหล่เขา ท่าทางคล้ายปลอบใจ “วางใจเถิด เจ้าเป็นจวิ้นหม่าของข้าที่ทุกคนต่างรู้กันดี ฮ่องเต้จะเอาแต่พระทัยเพียงใดก็คงไม่ถึงกับไม่สนพระพักตร์ของพระองค์เองแล้วไปแย่งภรรยาคนอื่นกระมัง!”