บทที่ 36 รายงานข่าว

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 36
รายงานข่าว

มู่หรงเสวี่ยเคาะที่ประตูที่ดูเหมือนว่าแค่แตะเบาๆก็พังได้แล้ว เขาบอกว่ามันยังใช้ได้แต่มันเป็นแค่แผ่นไม้ตอกตะปูติดกับประตูไว้ แผ่นไม้พังจนเป็นรู อย่างไรก็ตามมันก็เห็นได้ว่าพวกเขาช่างสังเกตมากๆ เขายังเห็นอีกว่ามีแผ่นไม้เล็กๆอีกหลายแผ่นที่ถูกตอกตะปูปิดรูของประตูไว้

ทันทีที่ประตูเปิดออก มู่หรงเสวี่ยก็เห็นลั่วเฉิงเฟยตอนที่เขายังเด็ก ยกเว้นก็แต่ดวงตากลมโต เขายังไม่โดดเด่นเท่าไร เขาดูเหมือนนักเรียนมัธยมธรรมดาๆ เขาสวมกางเกงยีนสีซีดๆกับเสื้อเชิ้ต เขาดูสะอาดสดชื่น

ลั่วเฉิงเฟยเปิดประตูและพบกับคนแปลกหน้าสองคนที่หน้าตาดีอย่างเหลือเชื่อ เมื่อมองดูการแต่งกายของพวกเขา เขาก็รู้ได้เลยว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ เขาจึงถามออกไปอย่างสุภาพ “ขอโทษนะครับ มาหาใครกันเหรอครับ?”
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดี นายคือลั่วเฉิงเฟยใช่ไหม? ฉันคือมู่หรงเสวี่ย ฉันมาหานาย เราขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?”

ประหลาดใจงั้นเหรอ?! มาหาเขางั้นเหรอ?! เขาเปิดประตูอย่างสุภาพและหลีกทางให้พวกเขาเข้ามา “เชิญครับ แต่บ้านค่อนข้างรกไปหน่อยนะครับ ผมขอโทษที ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกคุณถึงอยากจะเจอผม?”

การตกแต่งในบ้านค่อนข้างเรียบง่ายมีเพียงเตียงและเก้าอี้เล็กๆสองสามตัว มู่หรงเสวี่ยไม่เชิงว่าไม่ชอบ เธอนั่งลงที่เก้าอี้เล็กๆ และโม่จื่อเหวินเพียงแค่ยืนอยู่ข้างหลังมู่หรงเสวี่ย

ลั่วเฉิงเฟยเห็นท่าทางของมู่หรงเสวี่ยและรู้สึกอับอายนิดหน่อย “อยากดื่มน้ำหน่อยไหมครับ? แต่ผมมีแต่น้ำต้มนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ มาคุยเรื่องธุรกิจกันดีกว่า” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าไปทางโม่จื่อเหวิน เป็นการบอกให้เขาหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าเอกสารของเขา
“ฉันได้ยินว่านายกำลังหางานอยู่ใช่ไหม?! นี่เป็นข้อมูลบริษัทของฉัน นายลองดูก่อนก็ได้ เรามีความจริงใจที่อยากจะจ้างนาย” มู่หรงเสวี่ยพูดหลังจากที่เขารับเอกสารไปแล้ว

ลั่วเฉิงเฟยพยักหน้าและก็แสดงอาการสงสัย, ตกใจและประหลาดใจ เขาจ้องเอกสารและอ่านอย่างรอบคอบ

มู่หรงเสวี่ยไม่ขัดจังหวะเขา

เป็นเวลานานกว่าที่ลั่วเฉิงเฟยจะอ่านเอกสารเล่มหนาจบ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา ผู้บริหารของบริษัทก็ยังไม่ใช่ผู้ใหญ่และบริษัทก็เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายแขนงเป็นวงกว้าง แต่ในตอนนี้กลับมีเพียงแผนกเดียวที่เปิดทำการอยู่นั่นคือแผนกเครื่องประดับและหยก แต่เขาก็ได้เห็นแผนการของแผนกอื่นๆด้วยรวมทั้งอสังหาริมทรัพย์, โรงแรม, บอดี้การ์ดและการแพทย์ มันดูวุ่นวายและน่าขำมากๆ

ลั่วเฉิงเฟยขมวดคิ้ว บริษัทที่หลากหลายขนาดนี้ก็ยิ่งยากที่จะบริหารและมีปัญหามากมายด้วย แถมแต่ละแผนกก็ไม่เกี่ยวกันเลยด้วย มันเป็นบริษัทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย
“พวกคุณจะให้ผมทำตำแหน่งอะไรเหรอครับ?” คำถามแรกของลั่วเฉิงเฟยคือเรื่องตำแหน่งของเขา ยังไงซะมันก็เกี่ยวกับสิ่งที่เขาสามารถทำในบริษัทนี้ได้

พูดตามตรง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะบริหารบริษัทยังไงเมื่อเธอไม่มีอำนาจในบริษัท มู่หรงเสวี่ยรู้ระดับของตัวเองดี เธอไม่ได้เก่งทุกอย่างดังนั้นเธอจึงต้องการคนที่มีความสามารถอย่าง ลั่วเฉิงเฟย

มู่หรงเสวี่ยเงียบไปสักพักแล้วจึงตอบไปว่า “ตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปเป็นยังไง บวกหุ้นของบริษัท บริษัทจะให้ส่วนแบ่งหุ้นคุณ 5%!”

ลั่วเฉิงเฟยรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เขาคิดว่าแค่บริษัทให้ตำแหน่งแอดมินแผนกกับเขาก็ดีมากแล้ว ยังไงซะอายุและวุฒิของเขาก็ถึงแค่นั้น คาดไม่ถึงเลยว่าสาวสวยตรงหน้าเขาจะบอกกับเขาว่าจะให้เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปแล้วยังให้หุ้นกับเขาอีกทันทีที่เขาเปิดปากตอบตกลงงั้นเหรอ?!

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีของขวัญตกลงมาจากฟ้าแบบนี้?! นี่เป็นแผนหลอกกันหรือเปล่า?! แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแผนเขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะโดน เขาไม่มีอำนาจ ไม่มีเงินและไม่มีอะไรที่คนอื่นจะต้องการเลย หลังจากที่คิดเรื่องนี้อยู่ครึ่งวันแล้วก็ได้ข้อสรุป เด็กสาวคนนี้จะต้องหัวกระทบกระเทือนก่อนที่จะมาเจอเขาแน่ๆ

ลั่วเฉิงเฟยไม่ได้ปฏิเสธ เขาไม่ได้โง่ สิ่งที่เขาขาดตอนนี้คือโอกาส ทั้งสองฝ่ายต่างต่อรองกันเรื่องเงื่อนไขของบริษัทและเซ็นสัญญา

หลังจากที่กลับมา มู่หรงเสวี่ยก็บอกโม่จื่อเหวินให้จัดการเรื่องการกลับไปเรียนของลั่วเฉิงเฟย มู่หรงเสวี่ยเป็นห่วงเรื่องคนของตัวเองอย่างมาก

นอกจากนี้ก็รู้ว่ามันคงเยอะไปถ้าจะให้โม่จื่อเหวินทำเรื่องพวกนี้แต่ถ้าเขาอยากที่จะไปทำงานในบริษัทเธอก็คงต้องหาบอดี้การ์ดคนใหม่ ยังไงซะความตั้งใจเดิมของเธอก็คือการให้ โม่จื่อเหวินไปดูแลแผนกรักษาความปลอดภัย รวมถึงองค์กรใต้ดินและอื่นๆด้วย แต่ตอนนี้เงินทุนยังไม่เพียงพอเลยต้องพักไปสักพัก
ในตอนนี้เธอเพิ่งมาถึงจังหวัด ชางกวนโม่พักอยู่ในคฤหาสน์ย้อนยุคพร้อมเอกสารล่าสุดเกี่ยวกับมู่หรงเสวี่ยในมือ ดวงตาเปล่งประกายความเย็นชา เธอต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงรวมผู้ชายมากมายให้มาอยู่รอบตัวได้เนี่ย

ในตอนบ่ายช่วงเวลาเข้าเรียน มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่ประตูเหมือนปกติ เธอกำลังเดินไปที่รถของโม่จื่อเหวิน ทันใดนั้นชายสองคนในชุดดำก็เดินออกมา โดยไม่พูดอะไรเธอก็ถูกผลักเข้าไปในรถเก๋งสุดหรูและขับออกไป

โม่จื่อเหวินที่เห็นมู่หรงเสวี่ยถูกลักพาตัว รีบวิ่งออกมาและสตาร์ทรถเพื่อที่จะขับตามรถหรูคันนั้นไป บ้าจริงพวกมันลักพาตัวคุณหนูไปต่อหน้าต่อตาเขาเลยจึงบังคับตัวเองให้สงบ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยคุณหนู

สิ่งแรกที่ต้องคิดถึงคือเรื่องมู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งถูกลักพาตัวขึ้นรถไป นี่เสี่ยวเข่อลี่สู้กลับเร็วขนาดนี้เลยเหรอ!

กลุ่มคนพวกนี้ไม่ใช่ระดับเดียวกับครั้งที่แล้ว มู่หรงเสวี่ยสังเกตเห็นว่าชายสองคนที่อยู่ในรถพกอาวุธปืน 49 มม. รุ่นล่าสุดซึ่งไม่ใช่คนธรรมดาที่จะหาซื้อได้ บ้าจริง! นี่เสี่ยวเข่อลี่หาผู้สนับสนุนได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เธอยังไม่แข็งแกร่งพอเลย แล้วนี่ต้องมาเจอเรื่องทรมานเหมือนอย่างชีวิตที่แล้วอีกงั้นเหรอ?!

มันเป็นไปได้ยังไง?!!!
มู่หรงเสวี่ยคิดหาวิธีที่จะหนีแต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดไปทีละวิธี วันนี้รถขับเร็วมากถ้าจะกระโดดลงจากรถก็ดูจะเกินจริงไปหน่อย และถ้ากระโดดลงไปก่อนที่จะหนีได้เธอคงตายซะก่อน เธอทำได้เพียงมองเส้นทางก่อนที่จะวางแผน

ชายชุดดำสองคนดูเหมือนจะไม่ได้บังคับอะไรเธอเลยสักนิด ทำราวกับว่าเธอไม่สามารถหนีไปไหนได้ อื่ม! ไม่สนใจเธอเลย! เธออ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ?! คือ เธอหนีไม่ได้! ถ้าอยู่ดีๆเธอหายแวบเข้าไปในมิติลับและหายตัวไป สีหน้าของชายสองคนนี้คงจะตกใจกลัวเหมือนเห็นผีจนฉี่ราดแน่ๆ มู่หรงเสวี่ยคิดแผนการร้าย

แต่ก็เพียงแค่คิดเฉยๆ

“มีรถขับตามมาข้างหลัง” ชายคนที่นั่งฝั่งผู้โดยสารกล่าว
“นั่งดีๆนะ ฉันจะเร่งเครื่องแล้ว” ชายที่นั่งฝั่งคนขับเร่งเครื่องยนต์
มู่หรงเสวี่ยเริ่มอยากที่จะด่าออกมาแล้ว ทุกอย่างในรถนี้ดูไม่ปกติเลย เกือบจะเร็วแบบ “ความเร็วแสง” เลยด้วยซ้ำ

หลังจากที่มองไปที่รถ เธอก็พบว่ารถของโม่จื่อเหวินเหมือนจะหลุดเป็นชิ้นๆ มู่หรงเสวี่ยรู้ว่านี่ไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยีแต่เป็นเรื่องคุณภาพของรถ เดาว่ารถหรูนี่น่าจะถูกปรับแต่งมา ขนาดขับเร็วขนาดนี้ก็ยังรู้สึกสบายอยู่เลย ช่างเป็นรถที่ดีจริงๆ ส่วนเธอในฐานะคนที่ถูกลักพาตัวมา มู่หรงเสวี่ยยิ่งรู้สึกกังวลขึ้นไปอีก

เป็นเวลานานโม่จื่อเหวินที่ตัวสั่นเทิ้มก็จอดรถที่ข้างทางและนั่งโทษตัวเอง เขาน่าจะออกมาจากเร็วกว่านี้ วันนี้เขาช้าอะไรได้ขนาดนี้?! โชคดีที่เขาจดเลขทะเบียนรถไว้แล้ว โม่จื่อเหวินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขามีเพื่อนมากมาย “เฮ้ ช่วยเช็กทะเบียนรถให้ฉันทีสิ…”

ที่อีกด้าน ในที่สุดรถลีมูซีนก็มาจอดที่คฤหาสน์ เพียงแค่แวบเดียวก็รู้ได้เลยว่าคฤหาสน์นี้ใหญ่มโหฬารมาก ที่มากกว่านั้นคือมู่หรงเสวี่ยไม่คิดว่าพวกเขาจะพาเธอมาที่นี่ ที่นี่ไม่ไกลจากใจกลางเมืองแต่เป็นอำเภอใกล้ๆกัน ที่ดินราคาแพงกว่าของตระกูลมู่หรงซะอีกและถึงมีเงินก็ไม่สามารถซื้อที่นี่ได้

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเป็นเธอเพียงคนเดียว เธอก็สามารถหนีเข้าไปอยู่ในมิติลับตลอดไปได้แต่นี่ยังมีครอบครัวของเธออีก
“คุณมู่หรง เชิญลงมาจากรถด้วย!” หนึ่งในชายชุดดำเปิดประตูและเชิญเธอลงมาอย่างสุภาพ

ทำไมสุภาพจัง?! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย? นี่เป็นเวลาที่ต้องลากเธอเข้าไปในบ้านไม่ใช่เหรอ?!! ไม่ ไม่ ไม่สิ! เธอด่าตัวเองที่ปากไม่ดี

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆก้าวลงจากรถอย่างระวัง ดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายบอกเธอให้ลงจากรถอย่างสุภาพจริงๆ แล้วจึงเดินนิ่งๆตรงไป

“เจ้านายอยู่ข้างในแล้ว คุณมู่หรงเดินเข้าไปเองได้ไหมครับ?” ชายชุดดำทั้งสองคนหยุดอยู่ตรงหน้าประตูวิลล่าและบอกให้มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปเอง
นี่พวกเขาไม่ได้ลักพาตัวเธอมางั้นเหรอ? ทำไมล่ะ? นี่อะไรกัน?!!! มู่หรงที่กำลังสับสนเดินเข้าไปด้วยความกล้า

เพียงแค่แวบเดียว เธอก็เห็นชายร่างผอมที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เขาสูงประมาณ 1.85 เมตร ราวกับหุ่นของนายแบบ ซึ่งเพียงแค่ได้เห็นก็สามารถหลงใหลได้เลย

มู่หรงเสวี่ยไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมรูปร่างที่สวยงามนี้ เธอยังไม่ลืมว่าตัวเองถูกฉุดกระชากลากถูมา

ชายคนนั้นหันกลับมาราวกับเป็นการแสดง
หน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์หันมาต้องกับแสง งดงามเหลือเกิน!
เขานั่นเอง! ชางกวนโม่!
เป็นเขาไปได้ยังไง?! มู่หรงเสวี่ยตกใจอย่างมาก! ชางกวนโม่เป็นตัวอันตรายอันดับต้นๆเลย

มู่หรงเสวี่ยเริ่มคิดทบทวนอีกครั้งว่าเธอไปทำอะไรให้ชายคนนี้ไม่พอใจหรือเปล่า?!

จากครั้งที่แล้วที่เธอเจอกับเขาที่ลานการพนัน เขาช่วยเธอนิดหน่อยแล้วก็ซื้อหยกจากเธอแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะ

“มู่หรงเสวี่ย ฉันบอกแล้วว่าเราต้องได้เจอกัน” น้ำเสียงเย็นชาดังออกมา
มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งทื่อ เกือบจะตะลึงไปกับใบหน้าที่งดงามของเขาแล้วก็แกล้งทำเป็นสงบและตอบกลับไป “คุณชางกวน ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการให้ฉันทำอะไร?! ปกติแล้วคุณชางกวนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ ถ้าต้องการคนทำความสะอาดเพียงบอกทางตระกูลมู่หรงก็จะเตรียมแม่บ้านเพื่อมาคอยทำความสะอาดให้เวลาที่คุณมา ถ้าแบบนั้นแล้วคุณชางกวนจะให้ฉันมาที่นี่ทำไม”

น้ำเสียงของชางกวนยิ่งเย็นเยือกขึ้นไปอีก “ทำไม?! ฉันจะเชิญเธอมาไม่ได้เหรอถ้าเธอไม่โอเคเนี่ย!” เห็นได้ชัดว่านี่คือน้ำเสียงไม่พอใจ

หัวใจของมู่หรงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาโกรธงั้นเหรอ?! เรื่องหินหยกงั้นเหรอ?!! ท่าทางของเธอยังไม่ดีเท่าที่ควร เธอลดน้ำเสียงให้ต่ำลงอย่างมากและคำพูดที่พูดออกไปก็แสดงถึงการเคารพมากขึ้น

เพียงแค่ต้องการที่จะเข้าใจเหตุการณ์นี้ หัวใจของเธอสั่นระรัว อยู่ๆเธอก็ไม่กล้าที่จะพูดทำได้เพียงแค่ยิ้ม