ตอนที่ 175

Legend of the mythological genes

ในยุคดวงดาว การบ่มเพาะคือจุดสนใจหลักของมนุษยชาติ

แตไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพรสวรรค์และความสามารถที่จะเข้ามหาวิทยาลัยดวงดาวและได้รับการศึกษาอย่างดี

หลายคนลังเลที่จะยอมแพ้ต่อความฝันในการบ่มเพาะและทำได้แค่พึ่งพาตัวเองเพื่อยืนหยัดต่อไป โดยปราศจากวิชายุทธ์ยีน น้ำยายีน วิชาบ่มเพาะ…พวกเขาจะไร้ทรัพยากรใดและทำได้แค่พึ่งพาตัวเอง!”

คนเหล่านี้คือผู้บ่มเพาะดวงดาวไร้สังกัด

ในความเป็นจริง ภูมิภาคล้าหลังส่วนใหญ่ในอวกาศ มีเพียงส่วนน้อยที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยดวงดาวได้ และท่ามกลางพวกเขา ส่วนใหญ่คือผู้บ่มเพาะดวงดาว

โลก ในฐานะดาวแม่ของมนุษยชาติย่อมมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมให้มนุษย์อาศัยอยู่สุด แม้มันจะไม่ใช่ดาวที่ใหญ่สุดในระบบสุริยะ มันก็มีประชากรสูงสุด ส่งผลให้มีผู้บ่มเพาะไร้สังกัดจำนวนมาก

การบ่มเพาะมีความลึกซึ้งอย่างยิ่งและก็ไม่มีใครสามารถบ่มเพาะได้ลำพัง พวกเขาต้องการเงื่อนไขภายนอกทุกประเภทเพื่อกระตุ้น

มีหลากหลายวิธี ทั้งดำลงไปในน้ำลึก ใช้แรงดันน้ำเพื่อกระตุ้นร่างกาย หรือแช่ลาวาเพื่อกลั่นกระดูกตัวเอง มีทุกวิธีการ

และยังเป็นขั้วโลกที่สามของโลก เทือกเขาหิมาลัยก็เหมือนดินแดนแห่งความตายของมนุษย์โบราณ แต่สภาพแวดล้อมไม่มีผลอะไรต่อผู้บ่มเพาะ ในความเป็นจริง มันเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เลยก็ว่าได้เพราะมีสภาพแวดล้อมสุดพิเศษ ซึ่งช่วยให้มนุษย์ฝึกสถานะทางกายและจิตใจ นี่ทำให้ผู้บ่มเพาะไร้สังกัดหลายคนชอบมาที่นี่และฝึก

เฟิงหลินออกจากยานพาหนะบินและเห็นลำธารมนุษย์เคลื่อนขึ้นและลงเทือกเขาหิมาลัย ที่เชิงเขา สามารถมองเห็นเมืองเล็กๆส่งเสียงจอแจ

 

“ถ้ำภูเขาหิมะคุณภาพสูง ให้เช่าแค่พันเหรียญดาราต่อวัน สภาพ : สะดวกสบายมาก มันจะช่วยเพิ่มความเร็วการบ่มเพาะ!”

“น้ำพุหิมะ 5000เหรียญดาราต่อคน สามารถใช้อุณหภูมิเย็นเยือกเพื่อเสริมสร้างร่างกาย!”

“อพาร์ทเมนท์สุดหรูบนยอดเขาหิมาลัย เพลิดเพลินกับทัศนียภาพที่สวยงามเพื่อฟื้นฟูจิตใจและจิตวิญญาณ!’

เสียงตะโกนดังไม่หยุด เหมือนไกด์นำเที่ยว

เฟิงหลินไม่สนใจ เขารู้ว่าตัวแทนของบริษัทบางแห่งได้ผูกขาดตำแหน่งสูงสุดบางแห่งในเทือกเขาหิมาลัยและรับเหรียญาดาราจากผู้บ่มเพาะที่ไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขา

ในเมื่อมันเป็นการบ่มเพาะ มันก็ต้องฝึกหัวใจและจิตใจ

อะไรคือประเด็นของการเพลิดเพลินกับชีวิตในช่วงบ่มเพาะ?

มันมีความหมายอะไร?

สำหรับผู้บ่มเพาะโบราณเหล่านั้น สหายพวกเขาคือภูเขาและแม่น้ำก็เหมือนเตียงและผ้าห่มของพวกเขา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาหารมื้อต่อไปจะเป็นอะไร แต่ก็ยังพอใจกับชีวิต แม้พวกเขาจะไม่มีความสามารถเหนือธรรมชาติ และวิถีชีวิตพวกเขาก็อาจเป็นรูปแบบหนึ่งของการฝึกฝนจิตใจ

หากผู้บ่มเพาะไร้สังกัดเหล่านี้อยากเพลิดเพลินกับชีวิต ทำไมพวกเขาต้องมายังขั้วโลกที่สามของโลก?ต่อให้พวกเขาจะปลุกยีนขึ้น ความคิดพวกเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าผู้บ่มเพาะปลอม!
หัวใจคือเต๋า พลังคือกฏ

ทั้งสองเหล่านี้มอาจพูดได้ว่ารวมเป็นหนึ่งเดียว

เฟิงหลินไม่หยุดเดินและเดินต่อไป

 

“พ่อหนุ่ม รอก่อน เธอมาที่นี่เพื่อบ่มเพาะสินะ?ฉันมีห้องบ่มเพาะชั้นเลิศที่มีเตียงน้ำแข็งและน้ำพุเย็น แม้กระทั่งถ้ำสมาธิและหุบเขาลมแรงก็ยังมี อยากลองดูหน่อยไหม?”ตัวแทนวิ่งมา ดวงตาเขาเป็นประกายเมื่อเห็นเฟิงหลิน

หวือ-

ลมเย็นพัดวูบ

เฟิงหลินไม่หยุด เขาเพิ่มความเร็วและเปลี่ยนเป็นภาพติดต่อ ทำให้เกิดกระแสลมขณะเร่งความเร็ว ในชั่วพริบตา เขาก็หายไป

ปลายเท้าเขาแตะกับพื้นเบาๆ รักษาความเร็วไว้แม้พื้นจะลาดเอียง

ลมและหิมะตัดกัน ลมหนาวขมขื่นโถมมา ให้ความรู้สึกแหลมเหมือนดาบ อากาศค่อยๆลดบาง ทำให้รู้สึกหายใจลำบากขึ้น

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ย่อมเป็นแดนต้องห้ามสำหรับมนุษย์โบราณ

แต่ทว่า เฟิงหลินไม่สนใจ

ต้องรู้ว่าผู้บ่มเพาะนั้นจะมีชีวิตยืนยาว และยังสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมรุนแรงได้ทุกประเภท

สภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้ไม่มีอะไรนอกจากแค่ภูเขาน้ำแข็ง

เฟิงหลินยังคงเดินทางและอยุ่ที่ความสูง6พันเมตรเหนือระดับน้ำทะเล

เขาต้องมองขอบฟ้า เห็นภูเขาหิมะที่ทอดยาวออกไป ฉากดังกล่าวทำให้เขาตื่นตกใจและรู้สึกยอมจำนนต่อธรรมชาติ

ระหว่างทางขึน้มา เขาสามารถเห็นอาคารประดิษฐ์มากมายรอบๆ คนเหล่านี้ที่พักล้วนเป็นผู้บ่มเพาะดวงดาว มนุษย์ธรรมดาย่อมไม่มาที่นี่เพื่อทรมานตัวเอง

เฟิงหลินยังไม่พอใจกับระดับความสูงนี้

หากเขาสามารถไปถึงระดับความสูงที่ไร้เมฆบดบัง พลังงานดวงดาวก็จะยิ่งสูง

เขายังคงวิ่งขึ้นไปด้วยความเร็วสูง รอยเท้าเขาถูกกลบด้วยหิมะที่ตกลงมา ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ด้านหลังเลย

ลมหนาวกู่ร้อง แม้กระทั่งเฟิงหลินก็ยังรู้สึกหนาวเข้ากระดูก แต่นี่ไม่พอจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเขา

นับตั้งแต่ยุคโลกโบราณ ภูเขาเอเวอเรสต์ของเทือกเขาหิมาลัยก็มีความสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านไปนับหมื่นปี ความสูงมันก็ทะลุหมื่นเมตรไปแล้ว

แม้แต่คนอย่างเฟิงหลินก็ยังต้องใช้เวลากว่าชั่วโมงเพื่อไปให้ถึงยอดมัน

เมื่อมาถึงยอดเขา เขาก็รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวราวกับเขาเป็นคนเดียวบนโลกใบนี้

วิสัยทัศน์เขามีแต่ธรรมชาติ ทำให้หัวใจเขาสงบ มันเหมือนสภาพจิตใจเขาได้รับการชำระล้าง

เมื่อเขาไปถึงยอด มันก็เป็นช่วงเวลาค่ำแล้ว

กลุ่มดาวส่องแสงสดใสลงมาอย่างไร้สิ่งบดบัง

แสงดาวไร้ขอบเขตส่องมาบนตัวเฟิงหลิน ทำเขารู้สึกถึงความเย็น

จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่ในอากาศ ส่องสว่างทั่วท้องฟ้า ความเงียบปกคลุมทั่ว

เฟิงหลินสงบจิตสงบใจ ทิ้งความคิดฟุ้งว่าน รูขุมขนบนตัวเขาเปิดออกและร่างเขาก็เหมือนหลุมดำที่ดูดซับพลังงานจากดาวฤกษ์ไม่หยุดยั้ง

กลุ่มดาวเสียสีพวกมัน มันเหมือนภาพวาดบนท้องฟ้าที่ถูกกลืนหายไปโดยสัตว์ประหลาดระหว่างดวงดาวแสนน่ากลัว ท้องฟ้าไม่งดงามอีกต่อไป เหมือนมีหลุมเปล่า

ในรัศมีพันเมตร พลังงานดาวของกลุ่มดาวเปลี่ยนเป็นเส้นพลังงานสีเงินที่ถูกดึงลงมา สิ่งนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

พลังงานแห่งดาวดวงถูกดูดซับผ่านรูขุมขนเขาและไหลเวียนไปทั่ว บำรุงร่างกายทุกส่วน

ดูเหมือนจะมีสายลมเย็นพัดผ่านจิตใจและความคิดเขา เฟิงหลินรู้สึกถึงความสดชื่น จิตวิญญาณเขาดูสดใสขึ้น

มันเหมือนกับว่าจิตวิญญาณเขาเพิ่งบริโภคสารอาหารคุณภาพสูงเข้าไปและตอนนี้ก็เหมือนมีน้ำท่วมไหลอยุ่ทั่วร่างกาย

สภาพจิตใจเขาได้รับการปลดปล่อยอย่างสมบูรณ์ มันรู้สึกเหมือนเขากำลังลอยในอวกาศ เป็นอิสระและไร้กังวล สัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดิน

มันไม่เหมือนการรับรู้เขาที่สัมผัสได้แค่สิ่งภายนอก ตอนนี้พลังงานจิตเขาถูกขับเคลื่อนโดยพลังวิญญาณและเปลี่ยนเป็นพลังงานประเภทที่สามารถส่งผลต่อสิ่งต่างๆ

ครื่น!

ฟ้าร้องดังกึกก้อง

พลังงานวิญญาณปั่นป่วนในอากาศดุจพายุ

พลังงานไร้รูปร่างกวาดออกมา ลมแรงยิ่งทวีความดุร้าย ชั้นหิมะบนพื้นถูกพัดขึ้นไปในพายุหิมะ ทำให้เกิดเสียงหวีดหวิว

เฟิงหลินนั่งไม่ขยับ และพายุหิมะก็หมุนวนเหนือหัวเขา กลายเป็นปรากฏการณ์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

จากนั้นพายุหิมะก็แยกตัว ออกเป็นกลุ่มเมฆหิมะที่ลอยเหนือหัวเขาและไม่ตกมาเป็นเวลานาน

ในฐานะผู้สร้างพลังนี้ เฟิงหลินไม่สังเกตเห็น

ตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะพิเศษที่สวรรค์และคนรวมเป็นหนึ่ง มันรู้สึกเหมือนเขาได้หลอมรวมเข้ากับจักรวาล จิตวิญญาณเขาขยายอย่างไร้ขอบเขต และดาวทุกดวงในท้องฟ้าก็เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ห่างไกล แม้กระทั่งจังหวะการเต้นหัวใจเขาก็ยังตรงกับความถี่ชีพจรของโลก

พลังวิญญาณเขาก่อตัวเป็นลูกเห็บ กวาดลงไป ทุกสิ่งที่มันกวาดผ่านจะกลายเป็นอลหม่าน