พื้นข้างเตียงหยก หญิงสาวคนหนึ่งนอนคว่ำอยู่ ผมขาวทั้งศีรษะแผ่กระจายอย่างยุ่งเหยิง เนื่องจากเลอะโลหิต ผมขาวจึงพันกันเป็นกระจุก ทรุดโทรมเป็นอย่างยิ่ง
มือข้างหนึ่งของนางยื่นออก คล้ายไร้เรี่ยวแรงยันพื้น ผิวหนังที่มือแห้งเหี่ยว มีรอยย่น ดูไม่มีสง่าราศีแต่อย่างใด
ที่ข้อมือ มีกำไลลูกปัดสีม่วงคล้องอยู่
เยี่ยเทียนหยวนหน้าเปลี่ยนสี นั่งยองๆ ลงไปช้าๆ พร้อมใบหน้าเครียดขึ้ง
หลัวอวี้เฉิงกลับเก็บเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปเงียบๆ ยืนนิ่ง กำมือแน่น
เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออก อุ้มหญิงสาวที่กำลังนอนคว่ำเข้ามากอด พอพลิกตัวมา ที่เผยให้เห็นกลับไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นเคย แต่เป็นใบหน้าของหญิงชราอายุราวร้อยปี ที่มีรอยเหี่ยวย่นไปทั่ว
“ศิษย์น้อง!” เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินที่สลบไสลไม่ตื่นไว้แน่น พลางพึมพำ “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…”
หลัวอวี้เฉิงในที่สุดก็ทนไม่ไหว ก้าวเข้ามา ยื่นมือทาบไปที่ข้อมือของมั่วชิงเฉิน พลางมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็มองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง แววตาบอกไม่ถูกว่าเจ็บปวดหรือโกรธเคือง
“สหายมั่วนาง…ใช้อิทธิฤทธิ์คืนโฉม”
เยี่ยเทียนหยวนยิ่งกอดคนในอ้อมอกไว้แน่น “ดังนั้น ข้าจึงสามารถตายแล้วฟื้นได้อย่างนั้นหรือ”
หลัวอวี้เฉิงชะงักเล็กน้อย ค่อยผงกศีรษะ “ใช่ อิทธิฤทธิ์คืนโฉม เหนือเกินกว่ากฎเกณฑ์ที่มีอยู่ จากระดับบำเพ็ญเพียรของสหายมั่ว ไม่มีทางทำให้คนตายแล้วฟื้นคืนได้ ถึงนางอยู่ในระดับถอดดวงจิต ก็ไม่มีทางทำได้ ดังนั้น…”
“ดังนั้น นางจึงต้องอุทิศเลือดหัวใจกับไฟชีวิตของตัวเองบางส่วน ซึ่งก็คืออุทิศศักยภาพของชีวิต จึงกลายเป็นเช่นนี้ในพริบตาเดียว” เยี่ยเทียนหยวนสำรวจสภาพของมั่วชิงเฉินแล้วพูดต่อ พร้อมใบหน้าที่ซีดเซียวและเศร้าหมอง
หลัวอวี้เฉิงเหลือบมองเขา แล้วหลุบตาลง ส่งเสียงอืมเบาๆ ออกมา
เยี่ยเทียนหยวนกอดมั่วชิงเฉินนิ่งไม่พูดจา ลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขรุขระของนางไปมา พลางพูดกับตัวเอง “ข้าเป็นคนไร้ค่าจริงๆ แม้แต่ภรรยาตัวเองก็ยังปกป้องไม่ได้!”
มือของหลัวอวี้เฉิงที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่ง “สหายเยี่ย ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษตัวเอง สหายมั่วอุทิศอายุขัยให้ สามารถแก่ชราเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ เราต้องคิดหาวิธีช่วยชีวิตนาง”
พูดพลางมองหน้าเยี่ยเทียนหยวน ก่อนยิ้มขมขื่น “สหายมั่วสามารถดึงข้า…ดึงเจ้ากลับมาจากความตายได้ พวกเราถ้ากระทั่งคนเป็นคนหนึ่ง ยังรักษาไม่ได้ ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายก็ทิ้งไปได้เลย”
เยี่ยเทียนหยวนจึงคืนความเยือกเย็น จ้องมั่วชิงเฉินนิ่ง “ขอบคุณสหายหลัวที่เตือนสติ สภาพเช่นนี้ของชิงเฉิน เกรงว่าต้องใช้โอสถวิเศษ พืชหรือแร่วิเศษ มาบรรเทา…”
พูดถึงตรงนี้ก็ชะงักสักพัก แล้วโพล่งออกมา “ผลแย่งลิขิต!”
“ผลแย่งลิขิต?” หลัวอวี้เฉิงฟังแล้วก็หรี่ตาลง ข้อมูลส่วนหนึ่งวาบเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว จึงตบมือแล้วว่า “ไม่เลว ถ้ามีผลแย่งลิขิตจริงๆ อย่างน้อยก็สามารถโอบอุ้มร่างกายที่กำลังจะทรุดโทรมของสหายมั่วไว้ได้”
มั่วชิงเฉินอุทิศไฟชีวิตให้ ตอนนี้จึงมีสภาพพอๆ กับคนแก่ชราไม้ใกล้ฝั่ง ร่างกายอ่อนแอสุดๆ อาจถูกชนเบาๆ ก็สามารถทำให้ร่างกายที่ชราจนชราไม่ได้อีกของนางทรุดลง
เช่นนี้ ก็เป็นอันต้องกลับบ้านเก่าแล้วจริงๆ
“สหายเยี่ยรู้เรื่องผลแย่งลิขิตด้วยหรือ จากบันทึกในสมัยโบราณ ผลแย่งลิขิตเป็นผลไม้ในแดนเซียน ส่วนในโลกมนุษย์สูญพันธุ์ไปนานแล้ว”
เยี่ยเทียนหยวนทอประกายตาขึ้นวาบหนึ่ง “สหายหลัวพูดไม่ผิด ผลแย่งลิขิตสูญพันธุ์ไปแล้วแน่ๆ ในทวีปแห่งเทพเรา แต่ในจงหลางกลับยังดำรงอยู่!”
จากนั้นก็เล่าเรื่องของเหมาเถาให้ฟัง
หลัวอวี้เฉิงเม้มริมฝีปาก “เช่นนี้ ที่สหายเยี่ยกับสหายมั่วจะไปมหาสมุทรส่วนนอก ก็เพราะผลแย่งลิขิตนี้หรือ”
“ถูกต้อง” เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่ารอช้า เราออกเดินทางกันเถอะ” หลัวอวี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมั่วชิงเฉิน ก่อนลุกขึ้นยืน
เยี่ยเทียนหยวนอุ้มมั่วชิงเฉินอย่างระมัดระวัง แต่เดินไปสองก้าวก็หยุดกะทันหัน ถามอย่างประหลาดใจ “สหายหลัว เจ้ารุดมาตอนไหน”
หลัวอวี้เฉินชะงักฝีเท้า ไม่ได้หันกลับไปมอง “ตอนข้ารุดมาถึง สหายมั่วกับเจ้าปีศาจกำลังประมือกัน”
“แล้วเจ้าปีศาจเล่า สหายหลัวก็ถูกเจ้าปีศาจทำร้ายหรือ” เยี่ยเทียนหยวนไม่โง่ นึกถึงตอนที่ทั้งสองตื่นขึ้นพร้อมกันบนเตียงหยก แต่มั่วชิงเฉินกลับกลายสภาพเป็นเช่นนี้ ในใจมีความรู้สึกที่พูดไม่ออกชนิดหนึ่ง
หลัวอวี้เฉิงเดินอยู่ข้างหน้าตลอด มิได้หันกลับ จึงรีบหวนนึก
เมื่อชิงเฉินมีโอกาสใช้อิทธิฤทธิ์คืนโฉมช่วยชีวิตพวกเขา เจ้าปีศาจก็ต้องมีจุดจบไม่กี่อย่าง
หนี แต่จากความสามารถของเจ้าปีศาจ แม้ถูกเยี่ยเทียนหยวนทำให้บาดเจ็บก่อน ต่อมาอาการบาดเจ็บก็ถูกเขาสะกิดอีก ถ้าชิงเฉินคิดจู่โจมให้เขาพ่ายแพ้จนกระวีกระวาดหนีไป ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
ส่วนตายนั้น ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้
เช่นนั้น ที่ชิงเฉินมีโอกาสรอดชีวิต เหลือเพียงตัวแปรเดียว…ตู้รั่ว
ปีนั้นเจ้าปีศาจสังหารชิงเฉิน เขาไล่ล่ามันอย่างไม่ลดละ ใช่ว่ารนหาที่ แต่อยากฉวยโอกาสที่เจ้าปีศาจเพิ่งรวมจิตวิญญาณกับตู้รั่ว จิตยังไม่นิ่ง ฝังหนามหนึ่งท่อนให้มัน
ซึ่งหนามท่อนนี้ ก็คือตู้รั่ว
หาไม่แล้ว จากจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของเจ้าปีศาจ จิตตู้รั่วนี้ ย่อมถูกทำลายแต่แรก
เมื่อมันทำร้ายชีวิตชิงเฉิน เหตุใดเขาต้องปล่อยให้มันได้เปรียบด้วย ต่อให้ไม่สามารถเอาชีวิตมันได้ ก็ต้องทำให้มันได้ลิ้มรสความยากลำบากในวันข้างหน้า
ดูไปแล้ว ในที่สุดตู้รั่วก็มีบทบาทจนได้
ถ้าเป็นเช่นนี้ จากนิสัยของชิงเฉิน แม้ตู้รั่วยอมมอบตัว ชิงเฉินก็ไม่มีทางเอาชีวิตเขา
เมื่อคิดเรื่องเหล่านี้ออก น้ำเสียงของหลัวอวี้เฉิงก็สงบนิ่ง “เจ้าปีศาจถูกตู้รั่วพลิกกลับมาเป็นนายแทน ดังนั้นจึงยอมให้ชิงเฉินจับ ส่วนข้า…ตอนนั้นบาดเจ็บ สติเลอะเลือนไปบ้าง และต่อมาก็น่าจะถูกสหายมั่วพามารักษาที่นี่พร้อมกัน”
“เป็นเราสามีภรรยาทำสหายหลัวเดือดร้อนแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนทอดถอนใจ
หลัวอวี้เฉิงหันหลังให้เขาอยู่ จึงยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มเยาะตนเอง ก่อนพูดเสียงเบา “ไม่หรอก สหายมีภัย จะให้อวี้เฉิงเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดายได้อย่างไรกัน สหายเยี่ย พวกเราออกไปกันเถอะ”
พูดจบก็ก้าวเท้าออกนอกถ้ำไป แต่ต้นจนจบไม่หันกลับไปอีก ทว่ารอยยิ้มขมขื่นนั่นกลับลึกขึ้นเรื่อยๆ
แม้ความรักดำเนินต่อ แต่เขาต้องห่อตัวเองไว้ในรังไหม อย่างไรเขาก็เป็นแค่คนนอก ไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องเหล่านี้กับสหายเยี่ย เพิ่มปมในใจให้เขาไปเปล่าๆ
พริบตาที่ออกจากถ้ำ หลัวอวี้เฉิงก็อดไม่ได้ที่จะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สดใส แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
เขาในชาติก่อน ต้องติดค้างอะไรนางแน่ๆ ชาตินี้ถึงต้องวนเวียนอยู่รอบๆ หนีไม่พ้นสักที
พอเห็นหลัวอวี้เฉิงเดินออกมา อีกาไฟก็ยินดีปรีดา “อวี้เฉิงเจินจวิน ท่าน…”
หลัวอวี้เฉิงรีบส่งเสียงปราม
อีกาไฟเห็นเยี่ยเทียนหยวนเดินตามติดมาด้านหลังเขา ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าให้หลัวอวี้เฉิง จากนั้นก็ปรี่เข้าไป “ลั่วหยางเจินจวิน นายท่านนี่…นี่เกิดอะไรขึ้น!”
ลมหมุนพัดผ่าน สองหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบห้าก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเยี่ยเทียนหยวน
หนุ่มผมดำจ้องมองผู้ที่เยี่ยเทียนหยวนอุ้มเขม็ง ไม่กะพริบตา
แต่หนุ่มผมทองกลับกระโจนเข้าไป กอดและลูบแขนมั่วชิงเฉินตามความเคยชิน พลางตะโกนเบาๆ “นายท่าน…”
เยี่ยเทียนหยวนทำหน้านิ่ง
อีกาไฟโผล่เข้ามา ใช้ปีกจับหูของเขาน้อยแล้วลากออกมาด้านนอก “เขาน้อย เจ้าต้องระวังหน่อย ตอนนี้เจ้าเป็นคน เป็นคนนะ ไม่ใช่ม้าแล้ว!”
เขาน้อยกะพริบตาที่ชื้นแฉะปริบๆ รู้สึกไม่เป็นธรรม “เมื่อก่อนเขาน้อยก็ไม่ใช่ม้าสักหน่อย…”
หมาป่าน้อยไม่ได้มองอีกาไฟกับเขาน้อยพูดคุยกัน เอ่ยปากขึ้นอย่างเย็นชา “เจินจวิน ลักษณะเช่นนี้ของนายท่าน พวกเราสามารถทำอะไรได้บ้าง”
เยี่ยเทียนหยวนยกมือขึ้น พาหนะเหินหาวรูปใบไม้ปรากฏกลางอากาศ เขาค่อยๆ วางมั่วชิงเฉินลงไป แล้วว่า “ไปมหาสมุทรส่วนนอก เสาะหาผลแย่งลิขิต”
จากนั้นก็หยิบน้ำเต้าออกมา ทำตามวิธีที่มั่วชิงเฉินเคยสอนเขา พลิกขวดไปมา แสงสว่างกลุ่มหนึ่งหลุดออกจากขวด
เห็นจิตดั้งเดิมที่รูปร่างสมบูรณ์หน่อยปรากฏกลางอากาศ ทุกคนพากันนิ่งค้าง
เยี่ยเทียนหยวนกวาดตามองเหมาเถาอย่างเยือกเย็น “สหายเหมา พาพวกเราไปเสาะหาผลแย่งลิขิตเถิด อยู่ที่หุบเขาไป่กั่วใช่ไหม”
จู่ๆ ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับคนมากมาย แถมล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอีก เหมาเถาจึงตัวสั่นเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ พอเห็นมั่วชิงเฉินในอ้อมอกของเยี่ยเทียนหยวนก็สะดุ้งตกใจ พูดเสียงแหบแห้ง “นี่คือสหายมั่วหรือ”
ในน้ำเต้า ถ้ามั่วชิงเฉินไม่ปลดปล่อยเขาออกมา เขาก็ไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ภายนอกได้
เยี่ยเทียนหยวนกวาดตามองเขา “เรื่องเหล่านี้เจ้าไม่ต้องถามให้มากความ แค่พาพวกเราไปก็พอ”
เหมาเถาเก็บสายตาคืนกลับ ตั้งสติให้มั่นแล้วว่า “หุบเขาไป่กั่วไม่มีผลแย่งลิขิตนะ แต่ถ้าอยากได้ผลแย่งลิขิต ก็จำเป็นต้องไปหุบเขาไป่กั่วยืมของวิเศษอย่างหนึ่ง…จอบไร้ฝุ่น ต้องใช้จอบไร้ฝุ่นเท่านั้น จึงจะสามารถขุดผลแย่งลิขิตออกมา โดยรักษาความสดไว้ได้”
เยี่ยเทียนหยวนเก็บเหมาเถาเข้าไปในน้ำเต้าดังเดิม แล้วเหยียบพาหนะเหินหาวนำ “สหายหลัว เราออกเดินทางกันเถอะ อู๋เย่ว์ พวกเจ้าทั้งสามก็ขึ้นมาสิ”
หมาป่าน้อยกับเขาน้อยกระโดดขึ้นพาหนะเหินหาวรูปใบไม้พร้อมกัน ส่วนอีกาไฟส่ายศีรษะ แล้วไปลากเจ้าปีศาจที่ยัดไว้ในมุมหนึ่งออกมา ก้าวเข้าหาเยี่ยเทียนหยวน ยิ้มแห้งๆ แล้วว่า “ลั่วหยางเจินจวิน เขา…”
ไม่รอให้พูดจบ เยี่ยเทียนหยวนก็ตัดบท “ข้าเข้าใจ พาเขาขึ้นมาด้วยก็แล้วกัน”
อีกาไฟออกแรง จับเจ้าปีศาจโยนขึ้นไป จากนั้นก็กางปีกบิน ลังเลเล็กน้อย ก่อนร่อนลงบนศีรษะของหมาป่าน้อย
หมาป่าน้อยงุนงงชั่วขณะ “ท่านแม่ ทำอะไรน่ะ”
ดวงตาเล็กๆ ของอีกาไฟปิดลงครึ่งหนึ่ง ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “พักผ่อน”
จากนั้นก็ส่งเสียงเบาๆ “เด็กบ้า ขืนเรียกข้าว่าท่านแม่อีก ต่อไปข้าก็จะนั่งพักผ่อนบนหัวเจ้าตลอด”
หมาป่าน้อยเงียบไปครึ่งค่อนวัน ค่อยตอบ “อย่างนั้นท่านแม่ก็พักผ่อนดีๆ แล้วกัน”
เสียง ตุบ ร่างท้วมๆ ของอีกาไฟหล่นลงจากศีรษะของหมาป่าน้อย
หมาป่าน้อยยื่นมือเข้าช้อนอีกาไฟขึ้นอย่างไร้อารมณ์ มาวางบนศีรษะตนเอง
เยี่ยเทียนหยวนหยิบห่วงกลมออกมาคู่หนึ่ง สวมข้อมือข้อเท้าเจ้าปีศาจ แล้วจึงกระตุ้นพาหนะเหินหาวให้เหาะไปยังดินแดนอันไกลโพ้น
สามวันให้หลัง ป่าเขาที่คืนสู่ความเงียบสงบ มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งเหาะลงมา ในอ้อมอกหญิงสาวยังอุ้มเด็กน้อยอายุสี่ห้าขวบไว้ด้วย
เด็กน้อยอ้วนท้วนสมบูรณ์ หว่างคิ้วแต้มหนึ่งจุดแดง ที่แปลกกว่าก็คือ บนศีรษะยังมีหูพยัคฆ์คู่หนึ่งตั้งชันดูไปแล้วน่ารักจริงๆ
“แม่เสือ ที่นี่แหละไม่ผิดแน่ กลิ่นอายของอสูรปีศาจแปลงกายลอยมาจากที่นี่ ยังมีกลิ่นอายของเจ้าปีศาจอีก” หลังจากอาชิงยืนมั่นแล้ว ก็หันมองไปรอบๆ
มั่วหร่านอีขมวดคิ้วแน่น “เจ้าปีศาจทำไมถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”
หลายปีมานี้ พวกเขาตามหาเบาะแสของพวกมั่วชิงเฉินไปทั่ว แต่ก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ มาตลอด และยังต้องคอยหลบซ่อนพวกผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงอีก สถานการณ์ลำบากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ก็มีโรคปัจจุบันทันด่วนที่ต้องเร่หาหมอรักษา พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าปีศาจ จึงอดรนทนไม่ไหว ต้องมาสำรวจดูสักหน่อย
“แม่เสือ ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” อาชิงสำรวจดูโดยรอบ เห็นร่องรอยของการต่อสู้ ก็แอบตกใจ
มั่วหร่านอีขมวดคิ้วพลางว่า “เราก็พักอาศัยกันในบริเวณนี้ แล้วค่อยๆ สืบค้นสักหน่อย อาจได้ร่องรอยพวกน้องสิบหก”
อีกด้านหนึ่ง พวกเยี่ยเทียนหยวนกำลังเหาะอยู่กลางทะเลโดยไม่หยุดพัก และในที่สุด หลังจากผ่านไปครึ่งปี ก็เหาะมาถึงหมู่เกาะที่ตั้งของหุบเขาไป่กั่วจนได้