ตอนที่ 583 นี่เป็นการข่มขู่

 

 

“แม้จะยอมรับผิดแล้ว แต่เรื่องที่ไม่เจียมตัวต่อหน้าข้าก่อนหน้านี้ไม่อาจปล่อยไปได้ จูเฉิง ถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไป โบยซูหลีสี่สิบครั้ง!”

 

 

โบยสี่สิบครั้ง!

 

 

ซูหลีรูปร่างบางเล็กเช่นนี้ หากโดนโบยลงไปสี่สิบครั้ง เกรงว่าคงจะไม่เหลือแม้ครึ่งชีวิต!

 

 

นางไม่ใช่หวังเฮ่อผู้นั้นที่หนังหยาบเนื้อหนาไม่หวาดหวั่นยามถูกตี

 

 

“ก่อนหน้าที่ไทเฮาเหนียงเหนียงจะทรงโบยข้าน้อย โปรดทรงให้ข้าน้อยพูดสักสองสามประโยคจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ซูหลีได้ยินดังนั้นกลับฉีกยิ้มออกมา สีหน้าของนางกลับไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ไม่แม้กระทั่งจะมีริ้วของความหวาดกลัว

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาที่ลุ่มลึกปราดหนึ่ง

 

 

“พูดออกมา!” ไทเฮารู้สึกรังเกียจซูหลีผู้นี้เป็นอย่างมาก ทว่าเพราะคำพูดก่อนหน้านี้ของซูหลี นางขอร้องเช่นนี้ ไทเฮาไม่อาจปฏิเสธนางได้ทันที ไทเฮาทรงรับสั่งให้ซูหลีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นยะเยียบ

 

 

“ไทเฮาเหนียงเหนียง ของที่อยู่ใต้ร่างข้าน้อยนี้ เรียกว่าเก้าอี้รถเข็นพ่ะย่ะค่ะ” เดิมไทเฮาทรงคิดว่าซูหลีผู้นี้จะร้องขอความเมตตาให้กับตนเอง เพราะคำพูดที่ซูหลีเอ่ยขึ้นเมื่อครู่นี้ ฟังดูแล้วเหมือนจะหมายความว่าเช่นนั้น

 

 

คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ปริปากพูด กลับพูดเรื่องที่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องและเป็นใจความสำคัญออกมา

 

 

ไทเฮาจ้องซูหลีตาเขม็ง สีหน้าไม่ค่อยน่ามองเท่าไรนัก

 

 

“เก้าอี้รถเข็นตัวนี้ หากจะให้พูดอย่างละเอียดก็มีประโยชน์เพียงประการเดียวเท่านั้น นั่นก็คือสามารถทำให้ผู้ที่ท่อนขาทั้งสองข้างพิการหลุดพ้นจากการนอนอยู่บนเตียง เพียงมีของสิ่งนี้อยู่…” ซูหลีหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ยกมือชี้ไปที่เย่ว์ลั่วที่อยู่ด้านข้าง “แม้จะเป็นสาวใช้ร่างบอบบางเช่นนี้ ก็สามารถเข็นผู้ที่ขาพิการทั้งสองให้เคลื่อนไปที่ใดก็ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

เดิมไทเฮามิได้ใส่ใจในคำพูดของซูหลีมากนัก ทว่าคำพูดต่อมาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของนาง ทำให้อารมณ์ที่แสดงออกทางสีหน้าของไทเฮาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แม้แต่สายพระเนตรที่จับจ้องซูหลีก็ยังแปรเปลี่ยนไป

 

 

ไทเฮาทอดพระเนตรมองซูหลีด้วยสายพระเนตรไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ตรัสอย่างเลื่อนลอยว่า “ของสิ่งนี้สามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือ”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงยิ้มอย่างไม่พูดไม่จา จากนั้นเอ่ยว่า “เย่ว์ลั่ว”

 

 

เย่ว์ลั่วรีบลุกขึ้นยืน และเดินเข็นซูหลีไปมาเหมือนกับตอนที่เพิ่งเข้ามาในวังหลวง

 

 

ท่าทางของนางดูสบายๆ แม้จะเข็นคนร่างใหญ่เท่ากับซูหลีกลับไม่รู้สึกเปลืองแรงเกินไป ในทางกลับกันสีหน้ากลับนิ่งเฉย เดินได้อย่างนุ่มนวลไม่ช้าไม่เร็ว

 

 

เย่ว์ลั่วเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง นางไม่เพียงแต่เข็นซูหลีเคลื่อนที่ไปมา อีกทั้งยังเดินวนไปทั่วสารทิศอยู่หลายครา เป็นการแสดงให้เห็นว่า เก้าอี้รถเข็นตัวนี้สามารถพาซูหลีไปได้ทุกหนทุกแห่ง

 

 

“พอแล้ว” ซูหลีค่อยๆ ยกมือขึ้นสื่อให้เย่ว์ลั่วหยุดเดิน นางถอนสายบัวให้กับซูหลีเล็กน้อย จากนั้นถอยกลับไปยืนด้านข้าง

 

 

“นะ นี่…” สีหน้าของไทเฮาแปรเปลี่ยนไปมา สายพระเนตรที่จ้องมาซูหลีนั้นเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

 

 

เรื่องนี้แม้แต่ซูหลีกับฉินมู่ปิงก็ยังคิดได้ ไทเฮาในฐานะที่เป็นพระมารดาของจิ้งหนานอ๋อง โดยเฉพาะจิ้งหนานอ๋องเป็นพระโอรสที่นางทรงรักมาตลอดหลายปี แน่นอนว่านางพอจะคิดถึงเรื่องนี้ได้

 

 

“กระดาษภาพของสิ่งนี้ ข้าน้อยเป็นคนวาดกับมือ ทันทีที่วาดออกมาก็ถูกจิ้งหนานอ๋องซื่อจื่อคว้าไป ซื่อจื่อได้เฟ้นหาช่างมีฝีมือจำนวนมาก ถึงจะสามารถทำเก้าอี้รถเข็นที่ข้าน้อยนั่งอยู่ออกมาได้” ซูหลีใช้น้ำเสียงที่เรียบเฉยที่สุดเอ่ยประโยคนี้ออกมา

 

 

“ที่ข้าน้อยเข้าวังหลวงในครานี้ก็เพื่อนำของสิ่งนี้ถวายให้กับฮ่องเต้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงรวบรวมนายช่างที่เก่งกาจเผยแพร่ของสิ่งนี้ให้กับราษฎร เพื่อให้สามัญชนสามารถใช้ของสิ่งนี้ได้”

 

 

ขณะที่ซูหลีเอ่ยก็ชำเลืองมองฉินเย่หาน สีหน้าของฉินเย่หานยังไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ภายในดวงตาลุ่มลึกมองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

 

 

“เดิมข้าน้อยคิดว่าจะมอบของที่ดีชิ้นนี้ให้แด่ไทเฮาเป็นคนแรก เพื่อถวายให้แด่จิ้งหนานอ๋อง ทว่าดูแล้ว…” ขณะที่ซูหลีพูด กลับไม่เอ่ยอะไรออกมาให้มากความ ในทางกลับกันกลับก้มหัวสนใจที่แขนเสื้อของตน

 

 

นี่นางกำลังจะข่มขู่หรือ!?

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 584 ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่อนขาที่ไม่แข็งแรง

 

 

ที่จริงแล้ว ซูหลีได้มอบกระดาษภาพนี้ให้กับฉินมู่ปิงแล้ว อีกทั้งฉินมู่ปิงได้สั่งให้คนทำของสิ่งนี้ขึ้นมาแล้ว

 

 

นางไม่มีส่วนร่วมอะไรทั้งสิ้น

 

 

ทว่าดีที่ขณะที่ซูหลีมอบกระดาษภาพนี้ให้กับฉินมู่ปิงมีคนจำนวนมากจ้องมองอยู่ หากนางกล่าวว่าไม่มอบให้จริงๆ ฉินมู่ปิงก็สามารถสั่งให้คนเลียนแบบและสร้างขึ้นมาได้ ทว่าหากวันหน้ามีคนรับรู้ ก็คงถูกผู้คนตำหนิ

 

 

ดังนั้นซูหลีจึงไม่ยี่หระ วันนี้นางจึงกล้านั่งลงเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีที่พึ่ง

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับฉินเย่หานนั้นไม่ดีมาโดยตลอด หรือนางจะยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับฉินเฮ่าซึ่งเป็นพระโอรสคนโตของนางอีกหรือ?

 

 

“ข้าน้อยพูดจบแล้ว จูกงกงเชิญโบยข้าน้อยได้แล้วขอรับ” ซูหลีเอ่ยอย่างสบายๆ และกวาดตามองจูเฉิงปราดหนึ่ง

 

 

ในชั่วขณะนี้จูเฉิงไม่แม้แต่จะกล้าแตะต้องนาง!

 

 

“จูกงกง!” ซูหลีเห็นดังนั้นจึงเลิกคิ้วและพูดเตือนสติจูเฉิงผู้นั้นประโยคหนึ่ง

 

 

“…พอแล้ว!” คิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ตอบคำถามของนางจะเป็นไทเฮา

 

 

ไทเฮามองซูหลีด้วยสายพระเนตรที่ซับซ้อน แม้แต่ราชนิกุลผู้สูงส่งก็ยังไม่มีหลักการที่จะฆ่าลาเมื่อเสร็จงาน[1] ซูหลีมอบสิ่งของชั้นดีเช่นนี้ นางกลับสั่งให้คนโบยซูหลี…

 

 

หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ผู้อื่นยังจะคิดว่านางเป็นไทเฮาแบบใดกัน! ทั้งยังจะมีหน้าไปมองจิ้งหนานอ๋องได้อย่างไร…

 

 

ไทเฮาขมวดมองซูหลีผู้นี้อย่างอดไม่ได้ ไทเฮทรงคิดไม่ถึงว่าคนอย่างซูหลีนี้จะสามารถทำของเหนือธรรมชาติเช่นนี้ขึ้นมาได้ เรื่องในโลกใบนี้ช่างน่าอัศจรรย์โดยแท้!

 

 

“เรื่องในวันนี้ ข้าเห็นแก่ท่อนขาที่ไม่แข็งแรงของเจ้า อีกทั้งคิดเพื่อราษฎร ข้าจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าแล้ว!” ตั้งแต่อยู่ในวังมาไทเฮาทรงเป็นผู้ที่ตรัสคำไหนคำนั้นมาตลอด ผู้ที่สามารถทำให้นางกลับคำได้ ซูหลีนั้นถือว่าเป็นคนแรก

 

 

นางได้ยินดังนั้น ริมฝีปากจึงฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นถึงผงกศีรษะให้กับไทเฮาและเอ่ยว่า “ข้าน้อยขอขอบพระทัยไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

กิริยาท่าทางเช่นนั้นไม่เหมือนกับคนที่ถูกลงโทษ ทว่ากลับเหมือนกันคนที่กุมชีวิตคนอื่นไว้อยู่ ทำให้ผู้ที่มองอยากจะจัดการกับนาง

 

 

สีหน้าของไทเฮาย่ำแย่เป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อกวาดสายตามองไปยังของที่อยู่ใต้ท่อนขานางแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นแย้มสรวลด้วยความปีติยินดี

 

 

ช่างดีเสียเหลือเกิน บุตรชายของนางนั้นเป็นผู้เก่งกาจมีพรสวรรค์ จะสามารถติดอยู่บนเตียงตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน เรื่องอื่นๆ ของซูหลีไม่จำเป็นต้องพูดถึง สำหรับของสิ่งนี้ นางถือว่าทำได้ดี!

 

 

“เล่อผิน ดูเหมือนว่าซูหลียังมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับฮ่องเต้ พวกเรากลับตำหนักชิงหนิงกันก่อนเถิด” เมื่อคิดได้เช่นนี้ แม้ไทเฮาจะทรงรังเกียจซูหลีถึงเพียงใด โทสะทั้งหมดก็โอนอ่อนผ่อนตามไป นางกวาดสายตามองซูหลีปราดหนึ่ง จากนั้นถึงตรัสด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

“…เพคะ” มีประกายความสับสนพาดผ่านในดวงตาของป๋ายถาน ป๋ายถานลุกขึ้นประคองพระหัตถ์ของไทเฮา และเดินออกไปจากตรงนี้

 

 

ทันทีที่พวกเขาเดินออกไป ซูหลีจึงผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้มังกรด้านหลังของตน

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหมุนกายเดินออกไป

 

 

สีหน้าของฉินเย่หานล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของหวงเผยซาน เขาจึงตะโกนร้องว่า แย่แล้ว อยู่ในใจ

 

 

เดิมทีเขาได้แต่ร้องรำพันถึงซูหลี คิดไม่ถึงว่านางจะปรากฏเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้สู้ให้นางไม่โผล่มาดีกว่า เขารู้สึกได้ว่าอารมณ์ของฮ่องเต้ทรงย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมแล้ว

 

 

“คุณชายซู เชิญขอรับ เต๋อเฉวียน รีบไปเข็นคุณชายเถิด” หวงเผยซานพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้มเจื่อนๆ บนใบหน้า เขากวักมือสื่อให้ขันทีคนหนึ่งมาเข็นร่างของซูหลี

 

 

“เฮ้อ ไม่ต้องแล้ว” ซูหลีโบกมือไปมา จากนั้นเด้งตัวไถลลงจากเก้าอี้รถเข็นตัวนั้น

 

 

จากนั้น…

 

 

ซูหลีก้าวเท้าเดินอย่างเป็นอิสระต่อหน้าทุกคนที่มีอาการอ้ำอึ้งไป อีกทั้งยังเดินตามหลังฉินเย่หานเข้าไปในห้องทรงอักษรอย่างปกติเกินจะเปรียบ

 

 

หวงเผยซานถึงกับตะลึงงัน…

 

 

ทุกคนในที่นั้นก็เช่นกัน…

 

 

คิดไม่ถึงว่าซูหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นนี้อยู่ตั้งนาน อีกทั้งยังล่วงเกินไทเฮาเพราะเรื่องนี้ เรื่อง ‘ท่อนขาที่ไม่แข็งแรง’ ของเขานี้คือการแสร้งทำหรอกหรือ

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฆ่าลาเมื่อเสร็จงาน เป็นสำนวน หมายถึง ผู้ที่มีส่วนสำคัญถูกจำกัดเมื่อมีผลประโยชน์ดังสำนวนไทยที่ว่า ‘เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล’