สงครามที่ไร้กลิ่นดินปืน
“ข้าเคยมาที่นี่แค่ 2 ครั้ง และนั่นมันก็กว่า 3 ปีมาแล้ว…ข้าจะไปจำได้แม่นยำได้ยังไง”
ต้วนหลิงเทียนตอบตี้จิ่วไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
หลังจากที่ตอบตี้จิ่วไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็แสร้งบินวนไปมาอีก 2 สามรอบ สุดท้ายพอเหินไปถึงจุดหนึ่ง เขาก็โพล่งผ่านปราณแท้ออกมา “ใช่แล้ว! ตรงนี้ล่ะ!!”
ฟังจากน้ำเสียงตื่นเต้นดังกล่าว ทำราวกับพบทวีปใหม่ก็ไม่ปาน
เรื่องนี้นับว่าดึงดูดความสนใจของตี้จิ่วได้ไม่น้อย
หลังจากนั้นตี้จิ่วก็เห็นว่าต้วนหลิงเทียน เดินแหวกกลุ่มส่าหร่ายใต้ทะเลลึกไป ก่อนที่จะกระทืบเท้าลงไปยังพื้นก้นเหวใต้ทะเลลึกอย่างไร้เหตุผล
ปึงงง!!
เสียงสนั่นดังออกใต้เวิ้งน้ำ แรงกระแทกจากการกระทืบเท้ายังทำให้บังเกิดเป็นคลื่นน้ำรุนแรงซัดกวาดออกไป ใต้ทะเลปั่นป่วนไปพักใหญ่กว่าจะค่อยๆสงบลง
อย่างไรก็ตามตอนนี้ตี้จิ่วไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น
สายตาของมันจับจ้องมองไปยังพื้นที่ว่างห่างออกไป เจดีย์ประหลาดหนึ่งอยู่ๆก็ผุดโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า! พาลให้น้ำทะเลกวาดซัดออกมาอีกรอบ!
มวลน้ำมหาศาลซัดมาตีปะทะเข้าร่างตี้จิ่วไม่หยุด หากทว่าตี้จิ่วไม่ได้แยแสอะไรแม้แต่น้อย เพราะสองตาของมันถูกเจดีย์ประหลาดที่อยู่ๆก็ผุดโผล่ขึ้นมาดึงความสนใจไปเสียสิ้น!
เจดีย์ประหลาดนั่นมีทั้งสิ้น 7 ชั้น ตั้งตระหง่านปานอสุรกายโบราณตัวเขื่อง!
ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ตี้จิ่วสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมาจากตัวหอคอยชัดเจนดี!
กลิ่นอายพลังนี้เก่าแก่โบราณ อีกทั้งยั้งลึกล้ำสุดที่ตี้จิ่วจะหยั่งถึง!
“เป็นเจดีย์หลังนี้ล่ะ!”
ตอนนี้เองเสียงต้วนหลิงเทียนพลันดังขึ้น “ตอนแรกที่ข้ากับตี้ยงเข้าไป ด้วยความที่มันมีกลิ่นอายพลังประหลาดน่ากลัวมาก พวกเราจึงไม่กล้าเข้าไปลึก… แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็พบศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียน 3 ดาวไว้เป็นจำนวนมาก…”
“และสถานที่พวกเราเข้าไปสำรวจ ก็เป็นแค่พื้นที่ใกล้ๆทางเข้าของเจดีย์เท่านั้น…เพราะข้ารู้สึกถึงอันตรายจึงไม่กล้าเข้าไปลึกกว่านั้น ตี้ยงเองก็บอกข้าว่ามันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายเช่นกัน และนั่นทำให้มันคิดว่าข้างในน่าจะมีสมบัติเลิศล้ำอยู่เป็นแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวบอกตี้จิ่วผ่านปราณแท้
“เจ้ารู้ความเป็นมาของเจดีย์หลังนี้หรือไม่?”
ตี้จิ่วกล่าวถาม
“เรื่องนี้ข้าพอมีเบาะแส”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “หลังจากที่ข้ากับตี้ยงค่อยๆสำรวจอย่างระวัง พวกเราก็พบร่องรอยของแผ่นหินโบราณบางอย่าง ดูไปคล้ายศิลาจารึกที่บันทึกประวัติศาสตร์อะไรเอาไว้…”
“ดูเหมือนคนที่ทิ้งเจดีย์หลังนี้ไว้ จะเป็นคนที่ชื่อฟงชิงหยาง อ่า…ดูเหมือนมันจะเรียกตัวเองว่าเซียนกระบี่ ฟงชิงหยางอันใดนี่ล่ะ “
วาจาครึ่งท้ายประโยคต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ พอขมวดคิ้วครุ่นคิดพักหนึ่งก็กล่าวต่อจนจบ
ฟงชิงหยาง?
เซียนกระบี่?
“เซียนกระบี่ ฟงชิงหยาง!?”
ได้ยินวาจานี้ของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตี้จิ่วหดเล็กลงโดยพลัน ร่างยังสะท้านไปทันใด “จะ…เจ้าแน่ใจหรือ ว่าผู้ที่ทิ้งนามไว้บนจารึกนั่นคือ เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง”
“ไม่ผิดแน่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยแววตาสงสัย “เจ้ารู้จักมันด้วยเหรอ?”
เมื่อเห็นแววตาสงสัยทั้งวาจากล่าวถามคล้ายไม่รู้ประสีประสาของต้วนหลิงเทียน ตี้จิ่วอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดด้วยความโง่เขลาของอีกฝ่าย หากแต่มันก็ไม่ได้รีบตอบคำอะไรกลับมา เพราะตอนนี้สองตามันทอประกายจ้า จับจ้องเจดีย์เบื้องหน้าไม่วางตา
“เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง…จริงๆหรือ! นี่เป็นสิ่งที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางเหลือทิ้งไว้! ตำนานกล่าวไว้ว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเคยเป็นสุดยอดฝีมือไร้เทียมทานเป็นหนึ่งไม่มีสองของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ในยุคสมัยนั้นไร้ผู้ใดหาญกล้าต่อกรเพลงกระบี่ของฟงชิงหยางแม้แต่คนเดียว!”
ตอนนี้หัวใจของตี้จิ่วยิ่งมายิ่งเต้นถี่ระรัว ยากที่จะระงับอาการตื่นเต้นเอาไว้ได้
มันไม่ได้แปลกใจกับความโง่เขลาของต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จัก เซียนกระบี่ฟงชิงหยาง
เพราะกระทั่งมันยังรู้จักเซียนกระบี่ฟงชิงหยางผ่านบันทึกที่สืบทอดกันมาของผู้นำเผ่าพันธุ์มังกรแต่ละรุ่น นั่นทำให้มันรู้ว่านามนี้คือนามของตัวตนที่สะท้านแดนดิน หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พิชิตทั่วหล้า ไร้ผู้ใดหาญกล้าต่อกร!
มีข่าวลือกันหนาหูว่า ก่อนที่จะเยื้องย่างสู่สวรรค์เบื้องบน เซียนกระบี่ได้ทิ้ง มรดก เอาไว้ในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า เพื่อหวังให้ชนรุ่นหลังสืบสานเพลงกระบี่อันไร้เทียมทานของมัน
“เจดีย์นี่…ที่แท้เป็นมรดกที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางทิ้งเอาไว้หรือ!?”
ตี้จิ่วมองเจดีย์เบื้องหน้าด้วยสายตาเป็นประกาย ประหนึ่งนักล่าพบพานเหยื่ออันโอชะ
‘ดูเหมือนว่ามันเองก็เคยได้ยินเรื่องราวของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางมาเหมือนกัน’
เห็นการแสดงออกของตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะโล่งใจ
การเดิมพันครั้งนี้สำเร็จแล้ว!
ในเมื่อตี้จิ่วรู้ดีว่าเซียนกระบี่ฟงชิงหยางเป็นตัวตนเยี่ยงไร โอกาสที่มันจะตกหลุมพรางที่เขาวางไว้ก็สูงขึ้นทันตาเห็น
‘โอกาส’ นี้เป็นผู้เฒ่าหั่ววางแผนขึ้นมาได้ทันกาล!
การกระทำทั้งหมด รวมถึงวาจาที่กล่าวออก ล้วนชักนำให้ตี้จิ่วถลำลึก เพื่อให้มันเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติให้ผู้เฒ่าหั่วจัดการ!
ตอนนี้พลังฝึกปรือของผู้เฒ่าหั่วฟื้นคืนมาแล้วเล็กน้อย ถึงแม้จะห่างไกลจากช่วงรุ่งโรจน์หลายขุม แต่พลังอำนาจที่มีก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตี้จิ่วเลย
‘หลุมพราง’ นี้ฟังแล้วง่ายดาย
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ตี้จิ่วหลงเชื่อ เพราะหากอีกฝ่ายมีความแคลงใจแม้แต่นิดเดียว ทั้งหมดเป็นต้องล้มเหลว!
เพราะหากมันมีความแคลงใจและไม่ยินยอมพร้อมใจเต็มสิบส่วน เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติย่อมไม่อาจดึงร่างมันเข้าไปได้
และหากมันไม่ถูกดึงเข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ แผนการนี้แน่นอนว่าต้องล่มไม่เป็นท่า คราวนี้ต้วนหลิงเทียนคงได้ตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นไร้หนทางรอดแล้วจริงๆ
ในระหว่างทางต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวหว่านล้อมให้ตี้จิ่วเชื่อใจ เพื่อที่จะดึงมันเข้าไปด้านในเจดีย์
กระทั่งยังชักแม่น้ำทั้ง 5 กล่าวถึงสาเหตุการตายของตี้ยง ว่าอาจจะเป็นเพราะอันตรายในเจดีย์
นอกจากนั้นยังกล่าวถึงเรื่องสมบัติออกมา
ทุกอย่างเพียงให้ตี้จิ่วถลำลึกลงไปในหลุมพราง!
และเพื่อเพิ่มน้ำหนักในวาจาที่กล่าวออก เขาจึงยกอ้างนามของเซียนกระบี่ฟงชิงหยางออกมา และนี่ยังเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่อีกด้วยว่าตี้จิ่วจะเคยได้ยินนามนี้มาหรือไม่
ปรากฏว่าเดิมพันนี้เขาชนะ!
ตี้จิ่วล่วงรู้ถึงตัวตนของเซียนกระบี่ฟงชิงหยาง!
“เจ้ากล่าวว่ายามเจ้าเข้าไปในเจดีย์นี่ เจ้าพบศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวที่บริเวณทางเข้าใช่หรือไม่?”
ตี้จิ่วมองถามต้วนหลิงเทียนตาเขม็ง
ตี้จิ่วย่อมระวังตัวไม่น้อย
ต้วนหลิงเทียนเองก็ระวังท่าที มองสบตาตี้จิ่วพร้อมพยักหน้า ก่อนที่จะสะบัดมือเรียกศาสตราเซียนที่อาวุโสฝ่ายในอย่างจ้าวเฟิงของสำนักจันทร์จรัสแสงพกติดตัวไว้ออกมา ก่อนที่จะส่งมอบไปให้ตี้จิ่วดู “นี่เป็นศาสตราเซียนที่ว่า ในนั้นมีอาคมเซียน 3 ดาว 2 ดาว และ 1 ดาวจารึกเอาไว้”
ตี้จิ่วรับศาสตราเซียนอันเป็น พลองสั้น มาตรวจสอบดูทันที “อืม เป็นศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียน 3 ดาวจารึกเอาไว้จริงๆ…แต่เจ้าได้รับมันมาจากด้านในเจดีย์แน่หรือ?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะส่งของเป็นการพิสูจน์แล้ว แต่ตี้จิ่วยังคงระแวงอยู่ดี
เผ่าพันธุ์มังกรเดิมทีก็เป็นพวกขี้ระแวงอยู่แล้ว
ในฐานะที่ตี้จิ่วเป็นมังกรเทพยาดาสีทอง 5 กรงเล็บ สายเลือดที่ไหลเวียนในกายของมันนับว่าบริสุทธิ์กว่าใครในเผ่า มันย่อมขี้ระแวงกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว
“ข้ามาจากทวีปมนุษย์ แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะมีปัญญาไปเอาศาสตราเซียนที่จารึกอาคมเซียนระดับ 3 ดาวแบบนี้มาจากไหน?”
ได้ยินคำถามของตี้จิ่ว ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับพร้อมหัวเราะแห้งๆ
แน่นอนว่านี่เป็นท่าทีที่แสร้งแสดงผิวเผินเท่านั้น ในใจยังอดเครียดไปเสียไม่ได้ เพราะตี้จิ่วมันขี้ระแวงเหลือเกิน
กระทั่งเขายกเซียนกระบี่ฟงชิงหยางขึ้นมากล่าวอ้าง มันยังมีสติไม่ถูกเรื่องนี้ครอบงำใจโดยสมบูรณ์ นับว่ามันเชื่อคนยากไม่น้อย
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจว่าตอนนี้เขายิ่งต้องใจเย็นให้มาก และแสดงสีหน้าท่าทางให้แนบเนียนที่สุด
หากมีพิรุธแม้เพียงจุดเดียว เกรงว่าจะล่มทั้งกระดาน
ในขณะที่กล่าวถาม ตี้จิ่วก็จับจ้องมองต้วนหลิงเทียนเขม็งคล้ายจะสังเกตทีท่าอาการต้วนหลิงเทียนว่าโกหกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คล้ายโกหกกระทั่งยังหัวเราะเยาะตัวเอง มันก็พยักหน้ารับเบาๆ ในใจก็ลอบเห็นด้วย
ที่มาของต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากที่มันมาถึงเกาะป้านเยว่มันก็สืบทราบชัดแล้ว
“อันที่จริงกระทั่งด่านพลังฝึกปรือของข้าในตอนนี้ ก็ต้องขอบคุณสมุนไพรวิเศษในเจดีย์เช่นกัน…ตอนนั้นเมื่อ 3 ปีที่แล้วข้ากับตี้ยงเองก็ลองกินเข้าไปทั้งคู่ ทำให้ด่านพลังฝึกปรือของข้าก้าวหน้าขึ้นไปมาก ถึงขั้นบรรลุสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้อย่างอัศจรรย์…”
“ถ้าตี้ยงลูกเจ้ายังอยู่ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของมันป่านนี้คงบรรลุขอบเขตเซียนไปแล้วล่ะ”
กล่าวถึงประโยคสุดท้าย ต้วนหลิงเทียนก็ระบายลมหายใจออกมาด้วยความทอดถอน
“มิน่าแปลกใจเลยที่พลังฝึกปรือของเจ้ากลับก้าวหน้ารวดเร็วนัก!”
ตี้จิ่วที่มองต้วนหลิงเทียนยามนี้ในแววตาเผยประกายลึกซึ้งไม่น้อย มันอดไม่ได้ที่จะอิจฉาต้วนหลิงเทียนเรื่องนี้จริงๆ อีกทั้งในใจยังบังเกิดความปรารถนาอันแรงกล้า
สมุนไพรวิเศษนั่น อาจจะช่วยยกระดับพลังฝึกปรือให้มันได้เช่นกัน!
‘ก้นบึ้ง’ ของต้วนหลิงเทียนนั้น มันตรวจสอบมาโดยละเอียดแล้ว นั่นทำให้มันรู้ดี ว่าก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากเกาะป้านเยว่ อีกฝ่ายยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ด้วยซ้ำ!
ทว่า 3 ปีผ่านไป ผู้ฝึกยุทธ์จากทวีปมนุษย์ที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ กลับบรรลุขอบเขตสู่เซียนขั้นสมบูรณ์แบบได้อย่างอัศจรรย์!
อันที่จริงตอนมันเห็นต้วนหลิงเทียนครั้งแรกแล้วตรวจสอบพลังฝึกปรืออีกฝ่าย มันยังรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
ทว่าความจริงตั้งอยู่ตรงหน้า ไหนเลยยังไม่เชื่อได้
ตอนนั้นมันคิดไปว่าต้วนหลิงเทียนคงประสบโชควาสนาบางประการ
ดูเมือนว่าที่แท้ เจดีย์ประหลาดเบื้องหน้านี่ จะเป็นโชควาสนาของอีกฝ่าย
มาตอนนี้ความสงสัยในใจของตี้จิ่วจึงคลายลงไปมาก
แน่นอนว่าที่เป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้เผยพิรุธใดๆออกมา
ทุกวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวดั่งสายลมที่คอยผลักใบเรือ ล้วนคลายข้อสงสัยในใจตี้จิ่วได้อย่างแยบคาย
แน่นอนว่าตี้จิ่วไม่เคยเผยข้อสงสัยใดๆออกมา เป็นต้วนหลิงเทียนคาดเดาแล้วเลือกที่จะชิงกล่าวออกมาก่อนทั้งสิ้น
ตอนนี้สงครามระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตี้จิ่วนั้นไร้กลิ่นดินปืนอะไร เพียงทำสงครามจิตวิทยากันเท่านั้น
“โชคร้ายที่ถึงแม้จะมีสมุนไพรมากมายหลายชนิด แต่ข้ากับตี้ยงมาพบเอาทีหลังว่ามีเพียงต้นแรกที่พวกเรากินของชนิดนั้นๆเท่านั้นถึงจะมีผลเลิศล้ำที่สุด ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงกินอย่างเสียเปล่าไปหลายสิบต้นเช่นกัน ในนั้นจึงเหลือสมุนไพรแค่ไม่กี่สิบต้นเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นประกายแห่งความโลภที่อยู่ลึกลงไปในแววตาของตี้จิ่ว พลันส่งแรงผลักเรือตามกระแสมาอีกรอบ
พอได้ยินคำนี้ของต้วนหลิงเทียน ลูกตาตี้จิ่วทอประกายวาบขึ้นมายังลอบด่าต้วนหลิงเทียนในใจ ‘ตัวโง่งมเอ๊ย!’
ตอนที่ตี้จิ่วมาถึงเกาะป้านเยว่ครั้งแรก มันโกรธแค้นจนแทบสิ้นสติ มันจึงเข่นฆ่าสังหารและทำลายทุกสิ่งอย่างเพื่อระบายอารมณ์ หวังให้มนุษย์เหล่านี้กลบฝังไปพร้อมบุตรชายมัน
หลังจากนั้นพออารมณ์มันสงบลง ทำให้แม้จะเห็นพวกเฟิ่งหวู่เต้าย้อนกลับมามันก็ไม่ได้ออกมาลงมือเข่นฆ่าแต่อย่างไร เพียงลอบฟังและเก็บข้อมูลเท่านั้น
เป็นเวลาเกือบปีที่มันเฝ้ารออย่างอดทน
จนพอได้รับฟังอะไรหลายๆอย่างสติมันก็แจ่มใส และคิดที่จะสืบหาสาเหตุการตายของบุตรชายมัน
แน่นอนว่าหากบุตรชายมันถูกฆ่าจริงๆ มันย่อมไม่มีวันปล่อยให้มือสังหารรอดไปได้!