บทที่ 38 การเป็นลมของคุณปู่โม่

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 38
การเป็นลมของคุณปู่โม่

ครู่ต่อมา ชุดรายงานการสอบสวนของโม่จื่อเหวินก็มาถึงมือของชางกวนโม่

ทหารผ่านศึก, ผลงานเยี่ยม ไม่แปลกใจเลยที่ฝีมือดี และสู้เขาได้นานขนาดนี้ แต่ตอนนี้เป็นแค่บอดี้การ์ดงั้นเหรอ?! นั่นไม่ใช่การอยู่ร่วมกัน! เป็นเพียงการป้องกันส่วนบุคคล เขารู้สึกดีขึ้นมาทันทีเมื่อได้อ่านรายงานอย่างเป็นทางการที่อยู่ตรงหน้า

ฮึบ! ไม่ว่านายจะเก่งแค่ไหน แต่ตอนนี้นายก็เป็นแค่บอดี้การ์ดเท่านั้น! เขากล้าที่จะบุกเข้ามาในอาณาเขตของเขาอย่างกล้าหาญแบบนั้นได้ยังไง ถ้าวันนี้เขาไม่รีบไปจากที่นี่ทันที เขาจะไม่มีวันได้กลับไปอีกเลย

เช้าสดใสของวันใหม่
มู่หรงเสวี่ยยืดร่างกาย เมื่อคืนเธอนอนหลับสบายมาก บางทีเธออาจมีอาการซึมเศร้าน้อยลงหลังจากที่ได้ร้องไห้ไป ซึ่งทำให้เธอนอนหลับได้อย่างสบายมาก

หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนอนแล้วเธอก็ไปเตรียมทำอาหารเช้า เธอกะไว้ว่าจะเดินข้ามห้องนั่งเล่นอย่างระมัดระวัง แต่เธอไม่คิดว่าโม่จื่อเหวินจะตื่นเช้าและยุ่งอยู่ในครัว

โม่จื่อเหวินกำลังยุ่งอยู่ในครัวโดยสวมผ้ากันเปื้อนลายการ์ตูนน่ารักของเธออยู่
ขณะนี้มีเสียงเคาะประตูที่ด้านนอก
โดยไม่ต้องคิดเลยก็รู้ว่ามันคือชูอี้เสิ่น
ใบหน้าที่ไร้คำพูดวิ่งไปเปิดประตู ทั้งที่ก็ไม่ได้เต็มใจที่จะเปิดเท่าไร
“เสี่ยวเสวี่ย เจอฉันตอนเช้าโดยไม่ทักอะไรเลยได้ยังไง โอ้ ฉันรู้แล้ว เธอต้องมีความสุขมากจนพูดไม่ออกแน่เลย ฮ่า ฮ่า” ชูอี้เสิ่นจับประตูอย่างมีความสุขและไม่สนใจมู่หรงเสวี่ยเลย

หะ อะไรน่ะ !!? ไอ้ทุเรศ!! ทำเป็นไม่สนใจ!

“เอ๊ะ ทำไมวันนี้โม่จื่อเหวินทำอาหารเช้าล่ะ? ฮ่า ๆ ฉันบอกแล้วว่าผู้ชายที่หน้าสวยเหมือนผู้หญิงและเขาก็คงเกิดมาผิดร่างแน่ๆ!” !!! ฮ่าฮ่า รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วยิ่งกว้างขึ้นไปอีก

มู่หรงเสวี่ยก็พูดไม่ออก คนอะไรยโสได้ขนาดนี้ พ่อแม่ไม่เคยสอนบ้างหรือไงนะ?!

“นายมาทำอะไรที่นี่?! อาหารเช้าพวกนี้ไม่ใช่ของนาย!” โม่จื่อเหวินที่ออกมาพร้อมอาหารเช้าก็ได้ยินคำเยาะเย้ยน่าขำของชูอี้เสิ่นและพูดออกมาด้วยใบหน้านิ่ง

“เสี่ยวเสวี่ย มาทานอาหารเช้ากันเถอะ ไม่รู้อร่อยหรือเปล่า คุณลองมาชิมดูก่อนสิ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนช่างแตกต่างจากเมื่อกี้

ในความเป็นจริงฝีมือการทำอาหารของโม่จื่อเหวินนั้นถือว่าใช้ได้เลย แต่เขาเพียงพูดเพื่อเจียมเนื้อเจียมตัวเพราะเขากับน้องชาย เพื่อที่จะทำให้น้องชายกินอาหารให้มากขึ้น เขาจึงต้องพัฒนาทักษะการทำอาหารซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าฝีมือของ มู่หรงเสวี่ยเลย แต่ฝีมือของเสี่ยวเสวี่ยและอาหารของเธอพิเศษกว่ามาก

“โอเคค่ะพี่จื่อเหวิน นั่งเลยค่ะ” จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ

ในขณะที่มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นชูอี้เสิ่นก็เห็นร่องรอยบนคอของมู่หรงเสวี่ย แน่นอนเขารู้ว่ารอยนั้นคืออะไร?! จากนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่วันนี้โม่จื่อเหวินทำอาหารเช้าและใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปจากครั้งที่แล้วด้วย

ไอ้สารเลว เสี่ยวเสวี่ยอายุแค่ 15 เอง เขากำหมัดแน่น ทันใดนั้นหมัดก็พุ่งตรงเข้าไปที่หน้าของโม่จื่อ “ไอ้สารเลว!”

โม่จื่อเหวินที่ไม่ได้สนใจ ถูกชกเข้าที่มุมปาก ทันใดนั้นความโกรธก็พุ่งขึ้นทันทีพร้อมกำปั้นขึ้นมา “ เป็นบ้าหรือไง ทำไมอะไรเนี่ย?”

เขากล้าที่จะสู้กลับ “เมื่อวานนายทำอะไรเสี่ยวเสวี่ย?!” ไอ้เลว
เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อวานโม่จื่อเหวินตำหนิตัวเองและหยุดกำปั้นของเขา
ทันทีที่ชูอี้เสิ่นเห็นท่าทางตำหนิตัวเอง เขาเข้าใจผิดในทันที เลวจริงๆ!!! หมัดที่รุนแรงกว่าเดิมพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง

มู่หรงเสวี่ยพูดไม่ออก สองคนนี้กำลังทำอะไรกัน? เธอไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันและทันใดนั้นก็ทะเลาะกัน เธอต้องวิ่งเข้าไปห้าม

“ หยุดสู้กันได้แล้ว ทำอะไรกันเนี่ย?””

ชูอี้เสิ่นกลัวที่จะทำร้ายมู่หรงเสวี่ยจึงหยุดมือ “เสี่ยวเสวี่ย คนเลวแบบนี้ เธอยังจะไปปกป้องมันอีกเหรอ!”

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยดูสับสน “พี่จื่อเหวินทำอะไรผิดเหรอ? ทำไมถึงไปด่าพี่เขาแบบนั้น?”

“เธออายุแค่ 15 ปี และสิ่งที่มันทำกับเธอเมื่อคืน … ฉันเห็นรอยที่คอเธอหมดแล้ว … ” แม้ว่าชูอี้เสิ่นจะเศร้า แต่ก็รู้สึกกระวนกระวายใจมากยิ่งกว่า
“อ่า!” มู่หรงเสวี่ยแตะที่คอของเธอและหน้าก็เริ่มแดง เธอตอบไปว่า

“พี่ชู พี่เข้าใจผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่จื่อเหวินเลย”

ชูอี้เสิ่นยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “จะยังปกป้องมันอีกทำไม?”

มู่หรงเสวี่ยไม่อยากให้พี่จื่อเหวินถูกด่า เธอจึงอธิบายไปว่า

“มันไม่เกี่ยวกับพี่จื่อเหวิน จริงๆเมื่อวานนี้ฉันถูกลักพาตัว และพี่จื่อเหวินก็ช่วยฉันไว้”

“อะไรนะ!? มันคือใคร?! ตระกูลมู่หรงไม่ใช่ตระกูลธรรมดาๆของเมือง A เลยนะ ใครจะกล้ามาลักพาตัวเธอ?”

มู่หรงเสวี่ยอาย เธอไม่อยากบอกว่าเธอกลัวสถานะของชางกวนโม่ และเธอไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าทำไมชางกวนโม่ถึงปฏิบัติกับเธอเช่นนั้น เดิมทีเธอคิดว่าเป็นเสี่ยวเข่อลี่ที่จ้างชายร่างใหญ่เพื่อให้มาจัดการกับเธอ
แต่หลังจากได้เห็นชางกวนโม่ เธอก็รู้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ ชางกวนโม่ไม่ใช่คนที่จะถูกคนอื่นจูงจมูกได้ง่ายๆ เธอเองทำให้เขาขุ่นเคืองงั้นเหรอ? แต่การสัมผัสเมื่อวานดูเหมือนจะไม่ได้เป็นการลงโทษ แม้ว่าเธอจะหน้าตาดี แต่แล้วสถานะของชางกวนโม่ล่ะ? เขาหาผู้หญิงสวยๆคนอื่นไม่ได้แล้วหรือไง? มันเป็นแค่เกมของเจ้าชายหนุ่มงั้นเหรอ?! นี่เป็นเหตุผลเดียวที่พอจะมีเหตุผล

แม้ว่าชางกวนโม่จะดีที่สุด แต่เธอก็ไม่อยากเป็นเป้าหมายในเกมของเขา เมื่อได้เห็นท่าทางของเขาเมื่อวาน เธอกลัวว่ามันคงจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดแน่ๆ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกปวดหัวมากกับปัญหาที่เธอบังเอิญเข้าไปยุ่งด้วย

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าชางกวนโม่ต้องการเล่นเกมนี้จริงๆ เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เธอไม่ได้ตัวคนเดียว เธอต้องคิดถึงตระกูลมู่หรงด้วย ตระกูลมู่หรงสู้กับความโกรธของเจ้าชายแห่งเมืองหลวงไม่ได้หรอก

“ไม่รู้ ทานอาหารเช้าก่อนเถอะ เดี๋ยวมีเรียนต่อ ไม่ต้องถามแล้วนะพี่ชู ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้”

เดิมทีชูอี้เสิ่นอยากที่จะถามต่อให้รู้เรื่อง แต่เมื่อเห็น มู่หรงเสวี่ยมีสีหน้าที่ดูหดหู่และรู้สึกไม่พอใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ถามต่อ แต่เขาจะไปสืบด้วยตัวเอง! ให้ตายเถอะ จะต้องสืบให้รู้และตามหาตัวมันให้เจอ เพื่อเสี่ยวเสวี่ยที่น่ารักเขาทำได้

สามคนทานอาหารเช้ากันด้วยความเงียบ โดยปกติแล้วถ้าเสี่ยวหลินอยู่เขามักจะพูดคุยแบบไม่หยุดหย่อน ทำให้มื้อเช้าเป็นมื้อที่มีชีวิตชีวาอย่างมาก ตอนนี้เสี่ยวหลินพักอยู่ที่บ้านของตระกูลมู่หรง เมื่อไม่มีคำพูดที่น่าฟังของเขาและมู่หรงเสวี่ยก็ไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุย เช้านี้จึงดูเหมือนบรรยากาศจะเงียบมาก

หลังอาหารเช้ามู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนชุดที่มีคอปกสูงเพื่อปกปิดร่องรอยบนคอของเธอก่อนที่เธอจะกล้าไปโรงเรียน

หลังจากมาถึงโรงเรียน มู่หรงเสวี่ยกำลังจะลงจากรถและเธอก็ได้ยินโม่จื่อเหวิน พูดว่า “เดี๋ยวก่อน”

โม่จื่อเหวินปลดเข็มขัดนิรภัยอย่างรวดเร็วและออกจากรถ จากนั้นเขาก็ไปช่วยมู่หรงเสวี่ยเปิดประตูและเดินพาเธอไปส่งที่ประตูโรงเรียนก่อนจะขับรถออกไป
มู่หรงเสวี่ยเห็นท่าทางที่ระมัดระวังของโม่จื่อเหวินและรู้ว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้เขายังคงโทษตัวเองอยู่ อันที่จริงมันไม่ใช่ความผิดของจื่อเหวินเลย เขาสามารถหาที่อยู่ของเธอได้อย่างรวดเร็วแล้ว

มู่หรงเสวี่ยเข้าไปในห้องเรียนพยายามทักทายโม่อ้ายลี่แต่พบว่าเธอกำลังนอนร้องไห้อยู่กับโต๊ะเรียน

เกิดอะไรขึ้น? มีเรื่องอะไรกัน?! โม่อ้ายลี่ไม่ใช่คนที่ร้องไห้เพราะเรื่องเล็ก ๆ มู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนสีหน้าและเดินไปที่ที่นั่งอย่างรวดเร็ว “อ้ายลี่เกิดเรื่องอะไรเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างกังวล

โม่อ้ายลี่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นมู่หรงเสวี่ยจึงร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาของเธอแดงและบวม “เสี่ยวเสวี่ย…หื้ออ…คุณปู่ของฉันท่านเป็นลมหมดสติ…หื้อออ… ”

มู่หรงเสวี่ยลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบใจเธอ “ไม่ร้องไห้แล้ว ไม่ร้องไห้นะ… ทำไมคุณปู่ของเธอถึงเป็นลม… ”

“ฉันไม่รู้…หื้อ… ท่านเป็นลมไปเมื่อคืน …ตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเลย… ” โม่อ้ายลี่รู้สึกกลัวเมื่อเธอนึกถึงใบหน้าที่เป็นลมและซีดของคุณปู่ พ่อแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่ตอนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจและเธอก็ได้รับการเลี้ยงดูจากคุณปู่มาโดยตลอด วันนี้เธออยากจะดูแลคุณปู่ของตัวเอง แต่พี่ชายบอกเธอว่าไม่มีประโยชน์ที่เธอจะไปเฝ้าที่โรงพยาบาล เขาจะดูแลท่านเป็นอย่างดีเอง และให้คนขับรถพาเธอมาส่งที่โรงเรียนท่ามกลางรถติด

“ไม่ต้องร้องไห้ คุณปู่ของเธอไม่เป็นอะไรไปง่ายๆหรอก ฉันจะขอลาตอนบ่ายแล้วไปหาคุณปู่กับเธอเองนะ มู่หรงเสวี่ยหยิบกระดาษทิชชูเพื่อมาเช็ดน้ำตาให้เธอ

“อืม … ” โม่อ้ายลี่พยักหน้า สำลักและพูดไม่ออก

การร้องไห้มากๆมักจะทำให้คนที่ร้องปวดหัวได้ ถ้าเธอทำได้เธอจะช่วยคุณปู่โม่อย่างสุดความสามารถ แต่คงต้องไปดูอาการก่อนเพราะก็ไม่แน่ใจว่าน้ำแห่งจิตวิญญาณจะช่วยได้หรือเปล่า?!

หลังเลิกเรียนมู่หรงเสวี่ยได้ส่งเอกสารขอลาช่วงบ่ายของเธอและของโม่อ้ายลี่ แล้วจึงโทรหาโม่จื่อเหวิน และขอให้เขามารับพวกเธอเพื่อไปที่โรงพยาบาลของปู่โม่ ผู้ป่วยทุกคนในโรงพยาบาลต่างก็มีชื่อเสียง โรงพยาบาลได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นโรงพยาบาลที่มีการปกป้องความเป็นส่วนตัวที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ป่วยที่ร่ำรวยเหล่านั้น แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถเข้าใช้บริการที่นี่ได้

ตลอดทางน้ำตาของโม่อ้ายลี่ไม่หยุดไหลเลยและ มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงปลอบใจเธอในความเงียบ

คำปลอบโยนทั้งหมดดูจะไม่เป็นผลอะไรเลย ยกเว้นก็แต่คุณปู่โม่จะอาการดีขึ้น
ไม่นานทั้งสามคนก็มาถึงทางเดินของห้องไอซียูของคุณปู่โม่

มองจากไกลๆก็สามารถเห็นร่างของโม่หลิวเฟิงที่เดินไปมาอย่างกระวนกระวายใจได้เลย
โม่อ้ายลี่รีบวิ่งเข้าไปและพูดว่า “พี่ชาย คุณปู่เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“น้อง?”
“ฉันไม่ไว้ใจคุณปู่ ฉันอยากมาดูแลเอง… ” เสียงแหบแห้งเล็กน้อยพูดจนสำลัก
ในเวลานี้มู่หรงเสวี่ยและโม่จื่อเหวินก็เดินเข้ามาหาโม่หลิวเฟิงด้วยเช่นกัน โม่หลิวเฟิงดูสีหน้าซีดเซียวและอ่อนเพลีย ที่ขอบตามีรอยดำคล้ำเหมือนกับว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืน

“ พี่โม่!”

โม่หลิวเฟิงมองมู่หรงเสวี่ยและคนอื่น “เสี่ยวเสวี่ย, จื่อเหวิน พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่?”

“อ้ายลี่ร้องไห้ที่โรงเรียนหนักมากจนฉันไม่สบายใจ เลยแวะมาเยี่ยมหน่อย คุณปู่โม่เป็นยังไงบ้างคะ?” นี่อยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ซึ่งก็ไม่น่าจะดีเท่าไร มู่หรงขมวดคิ้ว ถ้าคุณปู่โม่ไม่ฟื้น เธอก็คิดไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง อนิจจา!

“ไม่รู้สิ ตอนนี้กำลังรอผลอยู่” น้ำเสียงเป็นกังวลพูดออกมาอย่างไม่อาจปิดบังไว้ได้

“ไม่ต้องห่วงนะ คุณปู่โม่จะต้องอาการดีขึ้นแน่ค่ะ” มู่หรงเสวี่ยพูดเพื่อปลอบใจ

“อืม!”

หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก และต่างก็นั่งรอคุณหมอด้วยกัน

สองชั่วโมงผ่านไป สำหรับคนกลุ่มนี้ เวลาสองชั่วโมงที่ผ่านไปแต่มันกลับรู้สึกนานเหมือนหนึ่งศตวรรษ

ในที่สุดประตูก็เปิดออกและคนกลุ่มนี้ก็รีบลุกขึ้นพร้อมกันทันที