ราชันเร้นลับ 391 : ยอดนักเดินเรือโรซายล์ โดย Ink Stone_Fantasy
ฉันรู้…!
ดวงตาออเดรย์พลันเปล่งปลั่ง ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เด็กสาวมองทแยงไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างมีความสุข ปลายสายตาจดจ้องเสาหินต้นใหญ่ซึ่งคอยค้ำจุนโดมสูงของพระราชวังคนยักษ์สักพัก
ก่อนจะดึงสายตากลับมามองแฮงแมนเพื่อรอดูท่าทีตื่นตะลึงของอีกฝ่าย
ในเวลาเดียวกัน ฟอร์สได้ทราบความจริงอันน่าตกตะลึงหนึ่งเรื่อง : ไดอารีโรซายล์ในความหมายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ สามารถใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลกับเดอะฟูลได้ หรือแม้กระทั่งใช้แลกเปลี่ยนเป็นวัตถุบางชนิด!
ไดอารีโรซายล์…? หมายถึงสมุดบันทึกของจักรพรรดิโรซายล์ซึ่งเต็มไปด้วยอักษรพิเศษน่ะหรือ?
แผ่นกระดาษเหล่านั้นคือไดอารี?
น้ำเสียงของมิสเตอร์แฮงแมนมิได้แฝงความเคลือบแคลงแม้แต่น้อย และมิสเตอร์ฟูลก็มิได้โต้แย้ง…
เราเคยพบไดอารีพวกนั้นหลายแผ่น แต่ไม่เคยใส่ใจจะรวบรวมเลยสักครั้ง…
จริงสิ! คุณหนูออเดรย์มีสมุดบันทึกของจักรพรรดิโรซายล์ตั้งหลายหน้าเลยไม่ใช่หรือ?
ต…แต่ว่าสุนัขของเธอ… เมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่สิ อาจเป็นสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เราเองก็จำไม่ได้แล้ว… แต่สรุปได้ว่า สุนัขของเธอกัดหนังสือและกระดาษของโรซายล์ขาดกระจุยกระจายจนไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีก…
ความประหลาดใจปนผิดหวังพรั่งพรูออกมาอย่างท่วมท้น จนฟอร์สรู้สึกว่าตนอยากนำสองมือขึ้นมาปิดหน้าและกรี๊ดดังๆ
แต่นั่นก็ยังไม่มากพอจะทำให้หัวใจแสนเจ็บช้ำของเธอถูกเยียวยา!
ฉันเกลียดหมา! ฟอร์สขบกรามกรอด
ว่ากันตามตรง ข้อแลกเปลี่ยนของแฮงแมนค่อนข้างผิดคาดไคลน์ แต่นั่นกลับเป็นเรื่องดี เพราะไม่มีการแลกเปลี่ยนใดสะดวกสบายไปกว่านี้อีกแล้ว
“ตกลง… เจ้าต้องการได้ทุกคนได้ยินพร้อมกัน หรือต้องการฟังตามลำพัง”
อัลเจอร์ปราศจากความลังเล :
“ตามลำพังขอรับ”
มันไม่เคยมีจิตวิญญาณของผู้เสียสละมาตั้งแต่แรกแล้ว!
ไคลน์อมยิ้มพลางปิดกันประสาทสัมผัสของทุกคนยกเว้นแฮงแมน สิ่งนี้ทำให้จัสติสรู้สึกผิดหวังอย่างมาก เธอต้องการจะเห็นท่าทีตอบสนองอันตื่นตระหนกของแฮงแมนด้วยตาตัวเอง ราวกับเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต
แต่แฮงแมนน่ารังเกียจคนนั้นกลับพรากความสุขของเราไป…!
ออเดรย์พึมพำอย่างโกรธเคือง
แน่นอน เธอเข้าใจแจ่มแจ้งว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์จะแลกเปลี่ยนตามลำพัง
แต่ในเมื่อเรารู้คำตอบอยู่แล้ว ขอเห็นหน้าสักหน่อยไม่ได้หรือไง…
เด็กสาวเม้มปากอย่างเจ็บใจ
ขณะเดียวกัน ไคลน์พลิกไพ่เย้ยเทพตั้งตรงและหันหน้าเข้าหาแฮงแมน เผยให้อีกฝ่ายเห็นโรซายล์ในมาดสวมชุดเกราะและมงกุฎดำ
เนื่องจากภาพวาดของโรซายล์กระจายอยู่ทั่วทั้งทวีป อัลเจอร์จึงจดจำได้ทันที และเหนือสิ่งอื่นใด กึ่งกลางไพ่มีข้อความเขียนไว้ว่า :
“ลำดับ 0 จักรพรรดิมืด”
คิดไว้แล้วไม่มีผิด! สิ่งนี้คือไพ่บรรจุเส้นทางแห่งการเป็นเทพซึ่งสร้างโดยฝีมือโรซายล์! แถมยังเป็นต้นแบบของไพ่ทาโรต์ในยุคปัจจุบัน…
ลำดับ 0 จักรพรรดิมืด…
เส้นทางสมบูรณ์ของนักกฎหมาย?
ปลายทางคือตัวตนระดับเทพ?
เข้าใจแล้ว มิสเตอร์ฟูลพยายามรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพื่อหาเบาะแสของไพ่เย้ยเทพ และภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ท่านสามารถหามาครองได้แล้วหนึ่งใบ…
อัลเจอร์ทั้งประหลาดใจและโล่งอก
มันพลันมองเห็นอนาคตอันสดใสของชุมนุมทาโรต์ขึ้นมาทันที
ก่อนหน้านี้ มันเพียงรู้สึกเคารพนับถือในความยิ่งใหญ่ของเดอะฟูล แต่มิได้ผูกพันกับชุมนุมทาโรต์มากนัก มองเป็นแค่จุดแลกเปลี่ยนข้อมูลและวัตถุดิบโอสถ อย่างไรก็ตาม ความคิดในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง มันกำลังจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ยุคบุกเบิกบ้าง หากเดอะฟูลทำการรวบรวมไพ่เย้ยเทพครบทุกใบ
เมื่อถึงตอนนั้น ชุมนุมทาโรต์ก็จะกลายเป็นองค์กรลับอันดับหนึ่งของโลก!
อัลเจอร์เริ่มวาดฝันอนาคตของตัวเองร่วมกับทุกคน
ไคลน์เปล่งเสียงอย่างเชื่องช้า
“สิ่งนี้คือไพ่เย้ยเทพ”
ตามด้วยการลบผนึกบนตัวสมาชิกคนอื่น
ในวินาทีได้รับประสาทสัมผัสกลับคืน เด็กสาวจัสติสรีบจ้องมองแฮงแมนฝั่งตรงข้ามทันที โดยท่ามกลางร่างมายาไม่คมชัด เธอสามารถ ‘อ่าน’ ได้อย่างเลือนรางว่าอีกฝ่ายกำลังยินดี ตะลึง และวาดฝันบางสิ่ง
ต้องอย่างนั้น!
เด็กสาวพึงพอใจสุดขีด
ไพ่เย้ยเทพ… ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับแผ่นศิลาเย้ยเทพอย่างแน่นอน…
อัลเจอร์ก้มศีรษะให้เดอะฟูลนานสองวินาที ก่อนจะเพ่งสมาธิเขียนไดอารีจำนวนสามหน้า
เพียงไม่กี่อึดใจ กระดาษหนังสีน้ำตาลอมเหลืองได้ปรากฏขึ้นบนมือไคลน์
ชายหนุ่มบรรจงอ่านอย่างไม่รีบร้อน
“15 มีนาคม เราคือตัวเอกของโลกใบนี้อย่างแท้จริง! ด้วยความรู้ด้านโบราณคดีและตำนานพื้นเมือง เราสามารถค้นพบเรือผีสิงของจักรวรรดิโซโมลอนในทะเลหมอกใกล้กับหมู่เกาะอัลเดิร์ก ชื่อของมันคือ ‘บัลลังก์มืด’! เท่ชะมัด!”
“ภายในเรือมีหนังสือโบราณหลายเล่ม รวมถึงลายแทงสมบัติระบุพิกัดไปยังเกาะร้างบางแห่ง! เราสันนิษฐานว่าจุดดังกล่าวคือถิ่นฐานสุดท้ายของขุนนางจักรวรรดิโซโลมอนผู้พ่ายแพ้และหนีออกไปจากทวีปเหนือ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาอยู่บนเกาะแห่งนั้น!”
“19 มีนาคม หลังจากไตร่ตรองและพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เราตัดสินใจออกเดินเรือเป็นเวลานาน จากนั้นก็จะกลับมาเข้าร่วมกองทัพเรือในฐานะนายพล! โอกาสล้ำค่าแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว”
“เอ็ดเวิร์ดและกริมม์ต้องการเสี่ยงบุกตะลุยทะเลสายหมอกไปพร้อมกับเราด้วย”
“ว่ากันตามตรง นอกจากสมบัติแล้ว เรายังต้องการพิสูจน์บางเรื่อง : ไม่ว่าจะดวงอาทิตย์ จันทร์แดง การโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้า หรือฤดูกาลทั้งสี่ ปัจจัยทั้งหมดบ่งบอกว่าโลกปัจจุบันมีลักษณะเป็นดาวเคราะห์ทรงกลม และถ้าเป็นเช่นนั้น หมายความว่าต้องไม่ได้มีแค่ทวีปเหนือและใต้ จากข้อมูลอ้างอิงจำนวนมาก ผืนดินทั้งสองยังกินอาณาเขตไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของโลกด้วยซ้ำ หมายความว่า อีกกว่าเก้าส่วนจะเป็นทะเลและหมู่เกาะทั้งหมดเลยหรือ?”
“ฝั่งตะวันตกของทวีปเหนือใต้คือทะเลหมอก และฝั่งตะวันออกคือทะเลโซเนีย เราเชื่อว่าต้องมีผืนทวีปซ่อนอยู่หลังจากสุดเขตทะเลทั้งสองแห่งแน่ เฉกเช่นการค้นพบทวีปใต้หลังจากล่องเรือไปยังสุดทะเลคลั่ง!”
“บางที เราอาจกลายเป็นผู้ค้นพบทวีปใหม่”
“ทวีปตะวันตก!”
“โรซายล์·โคลัมบัส·แม็กเจนแลน·กุสตาฟ เจ้าจงออกไปพิสูจน์ความจริงให้กระจ่าง!”
จักรพรรดิในวัยหนุ่มช่างหุนหัน กล้าดียังไงถึงคิดล่องเรือเพียงเพราะได้รับลายแทงสมบัติซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นของจริงหรือไม่… ไม่สิ อาการหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ติดตัวมาจนถึงยามแก่ ไพ่เย้ยเทพคือหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี…
ไคลน์รำพันติดตลก
ไดอารีหน้าเมื่อครู่เชื่อมต่อกับหนึ่งถึงสองหน้าก่อนซึ่งตนเคยอ่านมาแล้ว บางทีอาจมีหน้าคั่นอีกเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ ไคลน์จึงมั่นใจว่าโรซายล์ทำการเดินเรือเป็นระยะทางไกลจริง แต่เกิดหลงและบังเอิญพบกับเกาะโบราณใกล้กับเส้นทางเดินเรือปลอดภัย โดยเกาะดังกล่าวเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษจำนวนมาก อีกทั้ง โรซายล์ยังได้มอบตำแหน่งชวนหัวเราะให้เอ็ดวาร์ดและกริมม์เป็น ‘จตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก’ รวมถึงการกล่าวติดตลกว่าตนจะกลายเป็นราชาโจรสลัด
แต่หลังจากนั้น กริมม์ ผู้ถูกโรซายล์ยกย่องว่ามีสติปัญญาสูงกว่าใครในหมู่คนสนิท กลับเริ่มแปลกไปหลังจากค้นพบเกาะสัตว์วิเศษ และหลังจากนั้นได้เสียชีวิตภายในทะเลหมอก
อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีโลกกลมของโรซายล์เริ่มถูกทั่วโลกยอมรับในเวลาถัดมา…
ไคลน์พลิกไปยังหน้าสองของไดอารี
“18 เมษายน เราค้นพบวลี ‘ทวีปตะวันตก’ ภายในหนังสือโบราณจากเรือบัลลังก์มืด! ทวีปตะวันตกมีอยู่จริง!”
“ทว่า แม้แต่ยุคสมัยที่สี่ซึ่งเหล่าทวยเทพเดินเพ่นพ่านบนโลก ดินแดนทวีปตะวันตกก็เป็นได้เพียงตำนานปรัมปรา กล่าวกันว่าเป็นถิ่นอาศัยของเผ่าเอลฟ์ และเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับเทพบรรพกาลนามว่า ‘ซอนญาทริมม์’”
“หลังจากนั้น บรรดาเอลฟ์ได้อพยพไปอยู่บนเกาะโซเนียและกระจัดกระจายตามแนวภูเขากับทะเล โดยตำนานยังกล่าวอีกว่า เหล่าเอลฟ์มิได้คิดจะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดอย่างทวีปตะวันตกสักเท่าไร”
“สรุปโดยสั้นคือ สุดเขตทะเลหมอกอาจมีทวีปตะวันตกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ถ้าอย่างนั้น สุดเขตทะเลโซเนียจะมีดินแดนใดรออยู่? หรือจะเป็นดินแดนเทพทอดทิ้งตามตำนานปรัมปราอีกเช่นกัน?”
“ลุยเข้าไป โรซายล์! เจ้ากำลังจะถึงเป้าหมายในอีกไม่ช้า!”
ทวีปตะวันตก ทวีปตะวันออก… โรซายล์เดาว่าอย่างหลังคือดินแดนเทพทอดทิ้ง… จริงสิ มิสเตอร์แฮงแมนเคยเล่าว่า สมาชิกชุมนุมแสงเหนือพยายามค้นหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งพระผู้สร้างต้นกำเนิดภายในทะเลโซเนีย และเราสงสัยว่าดินแดนดังกล่าวจะเป็นอย่างเดียวกับดินแดนเทพทอดทิ้ง…
โลกใบนี้มีปริศนาซ่อนอยู่เต็มไปหมด…
ไคลน์ก้มศีรษะอ่านย่อหน้าสุดท้ายของแผ่นกระดาษ
“20 เมษายน ปัจจัยทั้งหมดกำลังบอกว่าเราเข้าใกล้ผืนทวีปแล้ว! คราวนี้ไม่ใช่เกาะเล็กๆ แต่เป็นผืนทวีปใหญ่!”
“นี่คือความโชคดีในความโชคร้ายหรือ? การหลงทางทำให้เราค้นพบทวีปตะวันตก!”
“21 เมษายน เราได้เห็น…”
“…ขุมนรก”
ขุมนรก?
เขาเห็นขุมนรกในแง่ของศาสตร์เร้นลับหรือเป็นเพียงคำเปรียบเปรย?
ตาดำไคลน์พลันหดเกร็ง มันรีบพลิกไดอารีไปยังหน้าถัดไปโดยไม่รีรอ
อย่างไรก็ตาม หน้าสามของไดอารีกลับทำให้ชายหนุ่มต้องนึกทบทวนว่าตนเรียนภาษาจีนกลางมาอย่างถูกต้องแล้วหรือไม่
เนื้อหาบนกระดาษเริ่มต้นด้วย :
“โอ้พระอาทิตย์หิวได้โปรดผู้ชายในบ้าน”
นี่มัน…
ไคลน์ทราบทันทีว่าเนื้อหาของหน้านี้เกิดจากความพยายามในการ ‘เลียนแบบ’ ไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ ใครบางคนได้นำตัวอักษรจีนกลางมาเรียงต่อกันอย่างส่งเดช
ชายหนุ่มต้องการสาปแช่งคนเลียนแบบด้วยถ้อยคำสุดหยาบคายเหนือพรรณนา
มันกำลังคาใจสุดขีดว่า ขุมนรกในความหมายของโรซายล์จะใช่ดินแดนแห่งความชั่วร้าย ดินแดนแห่งการเสื่อมทราม และดินแดนแห่งปีศาจตามหลักของศาสตร์เร้นลับหรือไม่
มีการกล่าวกันว่า ขุนนรกแท้จริงจะตั้งอยู่ในด้านมืดของเอกภพ แม้แต่ทวยเทพก็ยังถูกกัดกร่อนหากคิดย่างกรายเข้าไป และเฉกเช่นโลกวิญญาณ ขุมนรกเป็นดินแดนซึ่งแยกจากโลกความจริงโดยสมบูรณ์ อย่างน้อยข้อมูลเหล่านี้ก็มาจากหนังสือแห่งความลับ รวมถึงเอกสารลับของเหยี่ยวราตรี…
และถ้าไม่ใช่ขุมนรกในความหมายดังกล่าว แล้วจักรพรรดิโรซายล์กำลังหมายถึงขุมนรกใด?
ไคลน์ครุ่นคิดเป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบคำตอบ ข้อมูลประกอบมีน้อยเกินไป ส่งผลให้ชายหนุ่มกำลังฉุนเฉียวประหนึ่งอ่านนิยายมาถึงจุดสำคัญและพบว่าผู้แต่งดองยาว
แต่เพียงไม่นาน มันระงับสติตัวเองและปล่อยให้กระดาษหนังในมือสลายไป
“พวกเจ้าเริ่มได้” ไคลน์บนเก้าอี้ประธานใหญ่กล่าวพลางอมยิ้ม
อัลเจอร์รีบหันหน้าไปมองเดอะซันและซักถามเสียงเรียบ
“คุณรีดข้อมูลจากอดีตหัวหน้าทีมสำรวจได้มากน้อยแค่ไหน?”
……………………