ภาคที่ 4 ตอนที่ 77 ข้าในตอนนี้ท่านจับไม่ได้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

วาจาพูดส่งเดชแล้วรึ? 

 

 

ฝูงชนไม่ได้ถูกคำเตือนของเขาทำให้กลัวตรงกันข้ามกลับหัวเราะครืนหนึ่ง 

 

 

ท่านชายจูจั้นแม้ดื้นรั้น แต่เทียบกับองครักษ์เสื้อแพรเข้าใกล้ง่ายกว่าแน่นอน 

 

 

“ไม่ได้พูดส่งเดช” 

 

 

“ถูกต้อง นี่ครั้งที่เท่าไรแล้ว?” 

 

 

“ครั้งก่อนทุบป้ายสำนักก็เป็นท่านชาย” 

 

 

“ครั้งนั้นรับอนุขอแต่งงานก็เป็นท่านชาย” 

 

 

“ครั้งนั้นไม่ใช่กระมัง? ครั้งนั้นไม่ใช่จอหงวนหนิงรึ?” 

 

 

“จอหงวนหนิงอยู่ ท่านชายก็อยู่ พูดขึ้นมาแล้วจอหงวนหนิงไม่ใช่ควรมาด้วยหรือ?” 

 

 

ฝูงชนคุยเล่นหัวเราะกันครึกครื้นพากันถกเถียง กวาดทีบรรยากาศหนักอึ้งชะงักนิ่งก่อนหน้านี้เดียวหายเกลี้ยง เต็มไปด้วยความสุขสันต์ 

 

 

จูจั้นได้ยินก็หน้าดำ คล้ายไม่อาจห้ามความคึกคักของคนเหล่านี้ได้ ได้แต่มองไปทางคุณหนูจวินอย่างติดจะโมโห 

 

 

“ล้วนเป็นเพราะเจ้า เดินเล่นบ้าบออะไร?” เขาตวาด “ให้คนดูเป็นเรื่องสนุก” 

 

 

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม 

 

 

“เจ้าค่ะ” นางเอ่ย 

 

 

ว่าง่ายปานนี้เชียว? เหมือนกับภรรยาตัวน้อย? 

 

 

สายตาของเฉินชีสลับกลับไปมาบนร่างพวกเขา หรือว่าเป็นภรรยาตัวน้อยจริงๆ แล้ว? ละครหลอกกลายเป็นเรื่องจริงแล้ว? หอริมน้ำได้จันทร์ก่อนประโยคนี้ถูกต้องแล้วจริงๆ คุณชายสิบหนิงที่น่าสงสาร 

 

 

ด้านนี้เขาคิดสารตะวุ่นวายอยู่ จูจั้นพลันโบกมืออย่างรำคาญแล้ว 

 

 

“ยังนิ่งอยู่ทำอะไร รีบเดิน รีบเดิน” เขาเอ่ย 

 

 

คุณหนูจวินพลิกกายขึ้นม้า เฉินชีรีบจูงสายบังเหียน ร้องเรียกเหล่าพนักงานให้เดินหน้า 

 

 

องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง จ่อดาบหาพวกเขา 

 

 

จูจั้นเหมือนเวลานี้เพิ่งเห็นพวกเขา สะบัดแขนเสื้อกว้างสีพร้อย 

 

 

“ไสหัวไป” เขาพ่นออกมาคำหนึ่ง 

 

 

แน่นอนเหล่าองครักษ์เสื้อแพรนิ่งไม่ขยับ 

 

 

“ท่านชาย อย่าขัดขวางพวกเราทำงาน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยนิ่งสนิท 

 

 

จูจั้นหันหน้ามองเขา 

 

 

“ข้าขวางแล้ว” เขาแสยะยิ้มเผยฟันขาว “เจ้าทำอะไรข้าได้?” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉียื่นมือ หัวหน้ากองพันเจียงลังเลชั่วครู่แต่ก็ยังส่งดาบในมือให้เขา 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีกำดาบก้าวยาวเดินไปหาจูจั้น 

 

 

สักประโยคเขาก็ไม่เอ่ย ทว่าเพียงก้าวเท้าทีละก้าวๆนี่ ผู้คนที่ครึกครื้นอยู่พริบตาก็เงียบลง กลั้นลมหายใจโดยไม่ทันรู้ตัว 

 

 

จูจั้นยกชุดหลอมโพรกบนร่างขึ้น คนที่ล้อมดูอยู่รู้สึว่าตาลายอีกครั้ง คล้ยมองเห็นเสื้อขาดวิ่น? 

 

 

เครื่องแต่งกายของบุตรชายเฉิงกั๋วกงช่างมีเอกลักษณ์จริงๆ 

 

 

แน่นอนนี่ไม่ใช่จุดสำคัญ ทุกคนเห็นจูจั้นชักดาบเล่มหนึ่งออกมาเหมือนกัน เทียบกับดาบปักวสันต์ของลู่อวิ๋นฉี ดาบของเขาสั้นและตรงคล้ายดาบใหญ่เล่มหนึ่งถูกหัก 

 

 

ถึงแม้เป็นเช่นนี้ กลิ่วคาวเลือดพริบตาก็โถมเข้ามาตรงหน้า ประชาชนที่ล้อมดูอดไม่ได้กัดมือถอยหลังพร้อมเพรียง 

 

 

นี่จะสู้กันจริงหรือ จะสู้กันเอาเป็นเอาตายแบบนั้น 

 

 

“พอแล้ว” 

 

 

เสียงสตรีดังขึ้นทำลายความนิ่งงัน ในเวลาเดียวกันคนก็ยืนอยู่ข้างกายจูจั้น ยื่นมือคว้าแขนเขาไว้ 

 

 

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่ง ชาวบ้านที่ล้อมมุงดูตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

“ทำอะไร? ยื้อๆ ยุดๆ ทำอะไร?” จูจั้นถลึงตาเอ่ย สะบัดมือคุณหนูจวินออกแล้วก็หยุดเท้าด้วย 

 

 

หยุดชั่ววูบนี้ ลู่อวิ๋นฉีก็มาถึงตรงหน้าแล้ว เขาไม่สนใจว่าเขาหยุด แล้วก็ไม่ได้สนใจคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง สะบัดมือฟันดาบมาทันที 

 

 

หนึ่งขยับหนึ่งหยุดแล้วหนึ่งขยับกะทันหันนี้ ทำให้ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตอบสอนงไม่ทันอยู่บ้าง ร้องขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว 

 

 

เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ดาบสั้นของจูจั้นปะทะกับดาบของลู่อวิ๋นฉี สักก้าวไม่ถอย ส่วนคุณหนูจวินก็สีหน้าราบเรียบยืนอยู่ที่เดิม คล้ายไม่เห็นว่าดาบสองเล่มปะทะกันอยู่ตรงหน้านาง 

 

 

“หัวหน้ากองพันเจียง ตอนนี้ท่านจับข้าไม่ได้” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้าไม่ใช่หมอที่เปิดร้านโรงหมอคนหนึ่งแล้ว ข้าคือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง” 

 

 

คำพูดนี้ออกมาประชาชนที่นั่นก็ฮือฮา 

 

 

เรื่องภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงพวกเขาก็ได้ยินมาเหมือนกัน แม่สามีลูกสะใภ้สองคนช่วยคุ้มครองประชาชนป้าโจวอะไร นำทหารบุกจู่โจมแผ่นดินจินช่วยเฉิงกั๋วกงอะไร วีรสตรีผู้นี้ทุกคนล้วนพากันคาดเดา แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณหนูจวิน 

 

 

ท่ามกลางเสียงฮือฮานี้ จูจั้นสีหน้ากรุ่นโกรธ ลู่อวิ๋นฉีกลับสีหน้านิ่งสงบ 

 

 

“นั่นแล้วอย่างไร?” เขาเอ่ยพลางมองคุณหนูจวิน ฉับพลันยิ้มนิดหนึ่ง รอยยิ้มนี้ทำให้ใบหน้ากับแววตาของเขากลายเป็นอ่อนโยน “ข้าไม่สน” 

 

 

“ท่านไม่สน ฮ่องเต้สน” คุณหนูจวินเอ่ย “ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังจัดงานเลี้ยงให้เฉิงกั๋วกงอยู่ในวัง ท่านกลับจับลูกสะใภ้ของเขาไป นี่ท่านตบหน้าฝ่าบาทนะ” 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง คุณหนูจวินก็ยิ้มนิดๆ ให้เขาด้วย ก้าวเท้าเดินไปหาเขา 

 

 

นี่เป็นครั้งที่สองที่นางเป็นฝ่ายเดินเข้าใกล้เขา 

 

 

“ใต้เท้าลู่ ท่านไม่สนหน้าตา ฝ่าบาทสนนะ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หนังผืนนี้ของท่านเป็นฝ่าบาทประทานให้ ท่านตบหน้าฝ่าบาท ระวังฝ่าบาทจะถลกหนังของท่าน” 

 

 

พูดถึงตรงนี้ก็ยืนนิ่งหน้าลู่อวิ๋นฉี 

 

 

แม้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้รูปร่างสูงใหญ่อย่างจูจั้น แต่เทียบกับคุณหนูจวินก็สูงกว่ามาก เด็กสาวคนนี้ตรงหน้าเงยหน้านิดๆ มองเขา ความรู้สึกกลับประหนึ่งก้มหน้ามองจากที่สูง 

 

 

“ท่านไม่มีหนังแล้ว ท่านยังจะจับข้าได้อย่างไร? แค่พบ ท่านก็พบข้าไม่ได้แล้ว” นางอมยิ้มเอ่ย 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง 

 

 

“พูดได้น่าฟังจริง” เขาเอ่ย “ยังมีอีกไหม” 

 

 

เป็นคนพูดน้อยจริงๆ 

 

 

คุณหนูจวินหุบยิ้ม สักประโยคก็ไม่พูดเพิ่มอีกหมุนตัวก้าวเท้า เดินมาถึงตรงหน้าจูจั้นคว้าแขนเสื้อของเขาไว้ 

 

 

“ไปเถอะ กลับบ้านกัน” นางว่า 

 

 

จูจั้นร่างกายแข็งทื่อ แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้สะบัดมือของนางออก 

 

 

“ก็ให้เจ้ากลับบ้านตั้งนานแล้ว เจ้าช้าเช่นนี้” เขากัดฟันเอ่ย 

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าเดินช้าไปแล้ว” คุณหนูจวินตอบเสียงอ่อนโยน น่ารักและว่าง่าย 

 

 

พวกเขาก้าวเดินไปข้างหน้า หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ไล่ตามแล้วก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม หัวหน้ากองพันเจียงโล่งอกโดยไม่รู้ตัว โบกมือให้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายที่ล้อมอยู่รอบด้านหลีกทางอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

เฉินชีก็พรูลมหายใจด้วย รีบจูงม้าเรียกเหล่าพนักงานให้ตามมา 

 

 

ประชาชนรอบด้านเห็นคุณหนูจวินกับจูจั้นเดินมาก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ถามพลางหัวเราะพลาง คุณหนูจวินก็อมยิ้มทักทายทีละคนๆ เมื่อนางเดิน ฝูงขนก็หลีกทางให้เองแล้วติดตามไปข้างหน้าด้วย 

 

 

ฝูงชนแห่แหนผ่านหน้าเหลาสุราไป หนิงสืออีถอนหายใจ 

 

 

“ยังคิดว่าจะตีกันบนถนนแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบา “สองคนนี้ล้วนเป็นพวกไม่กลัวตายกล้าเล่นกับความตาย” 

 

 

หนิงเหยียนมองทิศทางที่คุณหนูจวินจากไป ฝูงชนแห่แหนจนมองไม่เห็นร่างคุณหนูจวินนานแล้ว 

 

 

“ยังมีความสุขุมด้วย รู้รุกถอย” เขาเอ่ย 

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกมาจากปากหนิงเหยียน ไม่ใช่คำชมเล็กๆ เลย หนิงสืออีโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินบิดาชมตนเองเช่นนี้ 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านก็รู้สึกว่าคุณหนูจวินไม่เลวรึ?” เขาเอ่ยถาม 

 

 

ไม่เลวจริงๆ ไม่เลวมาก 

 

 

หนิงเหยียนคิด 

 

 

คนเช่นนี้คู่ควรกับหนิงอวิ๋นเจายิ่งนัก 

 

 

ช่าง… 

 

 

“น่าเสียดายแล้ว” เขาเอ่ย 

 

 

………………………………………………… 

 

 

ท่ามกลางชาวบ้านที่ล้อมดู คุณหนูจวินไม่ได้ไปจวนเฉิงกั๋วกงกับจูจั้น แต่เข้าไปในเหลาสุราหลังหนึ่ง 

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายย่อมไม่สะดวกตามเข้ามา รั้งอยู่นอกประตูคุยเล่นหัวเราะถกเถียง 

 

 

“ที่แท้ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงคือคุณหนูจวิน” 

 

 

“เฉิงกั๋วกงมีความชอบจริงๆ ไม่เช่นนั้นคุณหนูจวินไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลือ” 

 

 

“นี่เป็นคู่สร้างคู่สมแท้ๆ ข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าคุณหนูจวินกับท่านชายมีใจให้กัน” 

 

 

ได้ยินเสียงข้างนอกดังมา จูจั้นก็หันกลับมาถลึงตา 

 

 

“ตาบอดแท้ มองออกอย่างไร?” เขาเอ่ยพลางสะบัดมือคุณหนูจวินออก “น่าจะพอแล้วสินะ” 

 

 

คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจา 

 

 

“ไม่ต้องทนรอไม่ไหวอยากประกาศฐานะภรรยาบุตรชายเฉิงกั๋วกงของเจ้าปานนี้ก็ได้ เจ้าเป็นหรือไม่เป็นภรรยาของท่านชาย ข้าก็ไม่ให้เจ้าถูกจับไปได้” จูจั้นเอ่ยเรียบๆ 

 

 

คุณหนูจวินมองเขาแล้วยิ้ม ยื่นมือออกมา 

 

 

จูจั้นหลบอย่างว่องไว ไม่ให้นางตบแขนของตนเองอ ท่าทางระแวงมองนาง 

 

 

“ท่านคนประหนึ่งหยกงามเช่นนี้ไม่ควรไปรู่กระเบื้อง” คุณหนูจวินไม่ได้ยื่นมือมาอีกอมยิ้มเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นแค่นเสียงเหอะแล้ว 

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้ากระเบื้องแผ่นนี้ก็ตกตายไปด้วยกันกับลู่อวิ๋นฉีได้แล้วสิ?” เขาเอ่ย “อย่าลืมว่าเจ้ายังแขวนชื่อภรรยาท่านชายอยู่นะ พัวพันทำร้ายครอบครัวข้า” 

 

 

สิ้นเสียงคำของเขา ด้านในเสียงหัวเราะพรืดเสียงหนึ่งก็ดังมา 

 

 

คุณหนูจวินมองไป สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เห็นเสียนอ๋องที่สวมเพียงเสื้อตัวในเดินออกมา 

 

 

“พวกเจ้าสองคน ไม่ต้องรักใคร่กันปานนี้แล้ว” เขายิ้มตาหยีเอ่ย “คนฟังอายไปหมดแล้ว”