ตอนที่ 429 หยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์แล้ว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่สิบ
กองกำลังพันธมิตรชายแดนตะวันออกของราชวงศ์หยูได้บุกเมืองฮั่วหลานทางชายแดนของแคว้นอี๋
วันที่สิบห้า เดือนสิบ องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและหยูชุนชิวบัญชาการกองกำลังพันธมิตรทั้งสามแสนนายเดินทัพไปทางตะวันออก เข้าประชิดจุดยุทธศาสตร์ต้าชิวที่อยู่ทางตะวันออกของแคว้นอี๋
ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาทของปืนใหญ่หงอีนับร้อยกระบอก วันที่สิบหก เดือนสิบ ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เมืองต้าชิวก็ได้แตกพ่าย
ทหาร 300,000 นายของราชวงศ์หยูกับกองทัพ 500,000 นายที่แคว้นอี๋ระดมพลมาได้เปิดศึกกันอย่างดุเดือดที่ต้าชิว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่ยี่สิบห้า เป็นเวลากว่าสิบวันแล้วที่ธงของกองทัพชายแดนตะวันออกได้ปักอยู่บนกำแพงของต้าชิว กองทัพใหญ่ 500,000 นายของแคว้นอี๋พ่ายแพ้อย่างราบคาบ
แคว้นอี๋ได้สั่นสะเทือนไปทั่วทุกฝ่าย ความโศกเศร้าแผ่ไปทั่วทุกหนแห่ง
สงครามที่ต้าชิว แคว้นอี๋มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากถึง 220,000นาย บาดเจ็บอีกหนึ่งแสนกว่านาย ส่วนราชวงศ์หยูมีจำนวนผู้เสียชีวิต 100,000 นาย บาดเจ็บ 60,000 นาย
ทัพใหญ่ของแคว้นหยูตั้งรกรากอยู่ที่ต้าชิว เดิมทีแคว้นฮวงคิดว่ากองกำลังพันธมิตรทางตะวันออกของราชวงศ์หยูจะพักเท้ากันที่ต้าชิว แต่คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นเทียนจะพักอยู่ที่ต้าชิวเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น
วันที่หนึ่ง เดือนสิบเอ็ด คาดมิถึงว่ากองพันธมิตรตะวันออกที่มีทหารมากกว่าหนึ่งแสนนายจะรุกคืบไปทางตะวันออก !
ท้ายที่สุดจักรพรรดิของแคว้นอี๋ก็ได้ตกอยู่ภายใต้การกดดันของทหารทั้งสองราชวงศ์ และได้ส่งสารเจรจาขอสงบศึกไปให้กับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู กองกำลังพันธมิตรตะวันออกได้ถอยกลับไปยังต้าชิว รอให้การเจรจาขอสงบศึกสิ้นสุดแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่หรือถอนกองกำลังออกไป
ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงได้รวมอำนาจมาไว้ในมือทั้งหมดแล้ว และได้บูรณาการทหารราบแห่งแคว้นฮวงทั้งแปดธง จัดระเบียบกองทหารทั้งสี่แสนใหม่อีกครา และประทานนามให้ว่า…ดาบสวรรค์ !
เขามิได้ให้ดาบสวรรค์ลงไปทางใต้ แต่ได้สั่งให้แม่ทัพใหญ่ท่าป๋าป้าเทียนคนสนิทของเขาฝึกฝนทหารทั้งสี่แสนนายในดินแดนที่หนาวเหน็บนี้ ทั้งยังได้เชิญช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงของแคว้นฮวงมายังเมืองหลวง จัดตั้งสำนักอาวุธปืนขึ้นมา เพื่อวิจัยสิ่งที่เรียกว่าปืนคาบศิลา
และในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ถังเชียนจวินจากราชวงศ์อู๋ก็ได้มาถึงชายแดนของแคว้นฮวงพร้อมด้วยองครักษ์ชุดแดง 10,000 นาย แต่กลับได้รับข่าวคราวว่าดาบเทวะได้ถอนกองกำลังกลับราชวงศ์หยูไปแล้ว
ถังเชียนจวินตรงไปยังด่านภูเขาเยี่ยน มอบเอกสารของจักรพรรดินีให้ จากนั้นก็ได้พาแม่ทัพทั้งสองและเหวินรัวซีควบมาเร็วไปทางจินหลิงของราชวงศ์หยู
ยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งกลับมาถึงซีซานที่หลินเจียง และได้รับข่าวที่ชวนตกตะลึงว่า… หยูเวิ่นหวินได้ตั้งครรภ์บุตรของเขาแล้ว !
เมื่อคำนวณเวลา ก็ครบ 3 เดือนแล้ว !
……
……
ณ เมืองหลวงแห่งราชวงศ์หยู วังเตี๋ยอี๋
ภายในวังได้จุดไฟขึ้นมาสี่กอง จึงอบอุ่นราวกับกำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งนั่งลงตรงข้ามกับหยูเวิ่นหวิน และด้านข้างได้หมอมีหลวงท่านหนึ่งยืนอยู่ด้วยความประหม่า
ฮองเฮาซั่งยากที่จะเชื่อ นางหันไปมองหมอหลวงผู้นั้น “มิผิดแน่นะ ? ”
หมอหลวงโค้งคำนับอย่างร้อนรนและกล่าวว่า “ทูลองค์ฮองเฮา กระหม่อมได้วินิจฉัยถึงหกครา มิผิดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“อือ… เจ้าออกไปเถิด จงจำไว้ว่า หากหลุดออกไปแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะสั่งประหารเจ้าเก้าชั่วโคตร ! ”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หมอหลวงได้ถอยเท้าแล้วเดินออกไป บนใบหน้าของฮองเฮาซั่งได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้เขาอยู่ที่ใดกัน ? ”
หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นไปมองมารดาด้วยความขลาดเขิน และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เกรงว่า…เกรงว่าจะยังอยู่ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ณ หย่งหนิงโจว… หรือบางทีอาจกลับซีซานแล้วก็เป็นได้เพคะ”
ฮ่องเต้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “เขายังมีชีวิตอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เพคะ…” เสียงของหยูเวิ่นหวินเบาราวกับแมลงหวี่ “เขา…เขากลับมาที่ซีซานเมื่อเดือนแปด วันที่สิบห้าเพคะ”
“ดังนั้นการจู่โจมกงเซินจ่าง การพาองค์หญิงสามกลับมาและรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ต่างก็เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เพคะ” หยูเวิ่นหวินพยักหน้า
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน และเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง “เจ้าเด็กนี่ เขาเป็นถึงขุนนางของข้า บุตรเขยของข้า คาดมิถึงว่ากลับมาแล้วจะมิทักทายกันสักนิด ทำให้ความกังวลของข้าที่มีต่อเขามาเนิ่นนานนั้นสูญเปล่าไปเสียได้… บัดนี้ต้องรีบตามหาเขาให้พบ ! ”
หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นมา “เสด็จพ่อเพคะ เขา…เกรงว่าเขาจะมิยินยอมปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน”
“นี่มิใช่เพื่อให้อู๋จ้าวสามารถครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง ข้าหาได้สนใจเรื่องวุ่นวายของเขาไม่ ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ตอนนี้เจ้าได้ตั้งครรภ์แล้ว ในอีกมิช้าก็คงจะปกปิดไว้มิอยู่ หากเขายังมีความรับผิดชอบ เยี่ยงนั้นก็ต้องอภิเษกกับเจ้าอย่างสมเกียรติ ! ”
หยูเวิ่นหวินก้มหน้าลงอีกครา เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในใจอย่างมหาศาล
เป็นบุตรของเขาที่อยู่ในครรภ์ นั่นทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก แต่เขาเคยกล่าวไว้แล้วว่ามิอาจปรากฏตัวได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เยี่ยงนั้นหากให้เขาประโคมเรื่องงานอภิเษกสมรสกับตนเองในเวลานี้ เขาย่อมต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างเลี่ยงมิได้
แต่หากยังมิอภิเสกสมรส… ในแต่ละวันท้องก็จะยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ น่ะสิ
ฮองเฮาซั่งกุมมือของหยูเวิ่นหวิน และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือการดูแลครรภ์อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ปล่อยให้แม่และเสด็จพ่อของลูกจัดการเอง เดิมทีเขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ หลบหนีไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ก็มิอาจหลบไปได้ชั่วชีวิต ส่วนเรื่องข่าวของเขาที่จะแพร่ไปถึงราชวงศ์อู๋นั้น ราชวงศ์อู๋ย่อมมีท่าทีตอบกลับมา เรื่องเหล่านี้ให้เขาเป็นผู้เลือกด้วยตนเองเมื่อถึงเวลาเถิด”
“ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุด คืองานอภิสมรสของพวกเจ้า ต้องจัดการโดยด่วน และต้องตามหาฟู่เสี่ยวกวนให้พบ เขาต้องมาที่จินหลิงโดยเร็วที่สุด”
…..
เรือนซีซาน
ต่งชูหลานเบะปากน้อย ๆ ด้วยจิตใจที่มิสงบเท่าใดนัก
คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นหวินจะตั้งครรภ์แล้ว !
แต่ท้องของตนกลับมิมีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย !
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานและดึงขึ้นมาเป่าลมให้ความอบอุ่นอยู่ชั่วครู่ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นเรื่องที่มิช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น เหตุใดต้องกังวลใจไปกัน”
“ตอนนี้เจ้าวางแผนจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”
“การอภิเสกสมรสคือเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ข้าย่อมตบแต่งพวกเจ้าเข้าตระกูลให้สมเกียรติอย่างแน่นอนอยู่แล้ว”
“แต่ถ้าทำเช่นนี้ ทางราชวงศ์อู๋ก็จะทราบข่าวที่ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“มิเป็นไร เมื่อเทียบกับการอภิเสกสมรสพวกเจ้ามาเป็นภรรยาแล้ว มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“หากราชวงศ์อู๋ต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นจักรพรรดิเล่า… ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปสองอึดใจ “หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง ก็ผลัดวันไปเสียก่อน การนำร่องของราชวงศ์หยูในตอนนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ปีหน้าจะต้องดำเนินการกันทั้งแคว้น นี่คือจุดสำคัญจุดหนึ่ง จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ต้องดูกันพรุ่งนี้แล้ว”
“ราชวงศ์หยูก็เป็นบ้านเกิดของข้าเช่นกัน จะทำอะไรส่งเดชแล้วสะบัดก้นเดินหนีไปได้เยี่ยงไร ยังมิต้องไปคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในตอนนี้ ต้องจัดการเรื่องงานอภิเสกสมรสให้เสร็จดีเสียก่อน นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเรา”
ต่งชูหลานแย้มยิ้ม “เยี่ยงนั้นจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด ? ”
“เจ้าเก็บของเถอะ ข้าขอวางแผนอีกสักเล็กน้อยก่อนจะออกเดินทาง”
“ได้”
ต่งชูหลานเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างอารมณ์ดี ฟู่เสี่ยวกวนเรียกชุนซิ่วให้มาหา ชุนซิ่วตกใจเสียยกใหญ่ “คุณชายหรือเจ้าคะ ? ”
“อือ”
“คุณชายยังมีชีวิตอยู่หรือเจ้าคะ ? ”
“…ข้าย่อมต้องมีชีวิตอยู่สิ ! ”
“ฟู่ว…” ชุนซิ่วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คุณชายยังมิสิ้น จวนฟู่ก็ย่อมมิล่มสลายไปโดยปริยาย !
มิใช่ จวนฟู่มิได้เกี่ยวข้องอันใด ขอเพียงแค่คุณชายยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น !
“ซิ่วเอ๋อร์”
“เจ้าคะ ? ”
“เจ้าคิดถึงข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ย่อมต้องคิดถึงเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนถือพู่กันและเขียนจดหมายอยู่หลายฉบับ
“คุณชายจะแต่งงานแล้ว”
“…บ่าวยินดีกับคุณชายด้วยเจ้าค่ะ”
“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้อั่งเปาซองใหญ่ ๆ แก่ซิ่วเอ๋อร์ ! ”
“…บ่าว ขอบพระคุณคุณชายยิ่ง”
“ขอบคุณอันใดกัน…” ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายเสร็จแล้ว
“ฉบับนี้ เจ้าจงส่งคนนำไปให้เฟิ๋งหล่าวซื่อที่ภูเขาเฟิ่งหลิน”
“ฉบับนี้ ให้ถังหลินของโรงกระเบื้อง”
“ฉบับนี้มอบให้กับหวางเอ้อ… ส่วนฉบับนี้ให้กับฉินเฉิงเย่… นอกจากนั้นเทียบเชิญอาจารย์ฉิน ไม่…ส่วนของอาจารย์ฉิน ข้าจะไปด้วยตนเอง เจ้าไปก่อนเถิด”
ชุนซิ่วรับจดหมายเหล่านั้นมาแต่ยังมิได้เดินออกไป นางเอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณชายจะแต่งงานแล้ว… แต่นายท่านก็ยังมิกลับมา บ่าวต้องติดตามคุณชายไปยังจินหลิงด้วยหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“ซิ่วเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าคือคนที่อยู่เคียงข้างข้า หากข้าและนายหญิงน้อยไปแล้ว ที่ซีซานแห่งนี้ ก็จะมิมีผู้ใดคอยดูแล”
“เจ้าค่ะ… บ่าวทราบแล้ว”
ชุนซิ่วเดินออกไป รู้สึกทุกข์ระทมในใจอยู่เล็กน้อย เป็นงานมงคลของคุณชายแท้ ๆ ข้าเป็นอันใดไปกัน ?