บทที่ 61 ผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่า (1) (ส่วนที่ 7)
เผ่าอาร์คาน่าเคยเป็นชนเผ่าที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปต้นกำเนิด มีความโดดเด่นเกินเผ่าไหน ๆ มามากกว่าสามหมื่นปี ทว่าสุดท้ายก็ถูกเทพอสูรบรรพกาลที่ตื่นขึ้นจากการจำศีลทำลายลง
เผ่าอาร์คาน่าเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่ผงาดขึ้นมาโดดเด่นเหนือใครหลังจากสามารถปลุกสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเซียนขึ้นมาได้
พวกเขามีลำตัวเล็ก หัวใหญ่ ถึงรูปร่างมองไกล ๆ จะดูเหมือนมนุษย์ ทว่าตามตำนานแล้วนั้น ชนเผ่านี้มีสี่ตา สองตาแรกใช้มองโลกในมุมมองที่เล็กจนตาเปล่ามองไม่เห็น อีกสองตาที่เหลือใช้มองโลกในมุมปกติธรรมดา พวกเขาเป็นชนเผ่าที่สืบเชื้อสายบางส่วนมาจากสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลวานรนัยน์ตาเซียน ดังนั้นจึงมีสายตาที่มองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก นอกจากมีดวงตาที่เห็นทุกสิ่งอย่างได้อย่างชัดเจนแล้ว พวกมันยังสามารถสร้างเครื่องมือต้นกำเนิดอันสุดลึกลับพิสดารขึ้นมาได้อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันสามารถก่อตั้งอาณาจักรอาร์คาน่าอันทรงอำนาจขึ้นมาได้
หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรอาร์คาน่า สมาชิกที่เหลืออยู่ของชนเผ่ายังไม่ยอมแพ้ ต้องการจะก่อตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ ในที่สุดก็สามารถก่อตั้งอาณาจักรอาร์คาน่าแห่งที่สองขึ้นมาได้หลังจากเจ็ดอาณาจักรของเผ่ามนุษย์ได้มีเวลาพัฒนาเผ่าพันธุ์ตนมากยิ่งขึ้น ทว่าในครั้งนี้ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเผ่าอื่น ๆ ไม่ยอมให้พวกมันได้กุมอำนาจ อาณาจักรอาร์คาน่าแห่งที่สองนี้ก่อตั้งขึ้นได้เพียงสามพันปีก่อนจะถูกเผ่าสมุทร เผ่ามนุษย์ และเผ่าวิญญาณร่วมมือกันทำลายสิ้น
สมาชิกที่เหลือรอดของเผ่าอาร์คาน่าพากันหลบซ่อนตัว ใช้ชีวิตจมปลักอยู่กับการวางแผนร้ายต่าง ๆ
เมื่อลิ้มรสกับความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงมาครั้งหนึ่งแล้ว เผ่าอาร์คาน่าในปัจจุบันจึงกลายเป็นชนเผ่าที่เร้นกายอยู่ในเงามืด
พวกมันไม่ชอบการเผชิญหน้า มักใช้เล่ห์กลในการค้า วางแผน วางอุบาย และใช้วิธีเปิดเผยความลับของอีกฝ่ายเพื่อบ่อนทำลายเผ่าใหญ่ทั้งห้าแทน
พวกมันใช้ความสามารถเฉพาะตัวของเผ่าในการปลอมตัวแทรกซึมไปยังเผ่าใหญ่ทุกเผ่า สร้างกลุ่มลับขึ้นเพื่อปลุกปั่นภายในให้เกิดความขัดแย้ง ผลักดันให้เผ่าใหญ่ทั้งห้าทำการต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูร ส่วนตนเองนั่งรอเวลาที่เหมาะสมอย่างเงียบเชียบ พวกมันพยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่ภายในเงามืดเพื่อก่อตั้งอาณาจักรอาร์คาน่าแห่งที่สามขึ้นมา
แน่นอนว่าเล่ห์เหลี่ยมเหล่านั้นไร้ผล ทว่าก็สร้างปัญหาให้หลาย ๆ อาณาจักรเช่นกัน
สมาชิกเหล่านี้ของเผ่าอาร์คาน่ารู้จักกันในนาม ผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่า
หากซูเฉินคาดการณ์ไม่ผิดองค์กรของเยี่ยเม่ยเองก็เป็นหนึ่งในองค์กรประเภทนั้นด้วยเช่นกัน จากครั้งก่อนที่เยี่ยเม่ยเผลอเอ่ยคำว่า “อาราม” ออกมา ซูเฉินจึงเดาได้ว่าองค์กรแห่งนี้น่าจะคืออารามชีวิตนิรันดร์ที่ก่อตั้งโดยเฉียวตี๋ขุยเอ้อร์ในปีที่หนึ่งหมื่นสี่พันของยุคดาราใหม่ นับเป็นองค์กรอาชญากรเก่าแก่ที่มีมานานกว่าพันปี
แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ ในตอนนี้นับว่ายังไม่สำคัญ ไม่ว่าองค์กรที่เยี่ยเม่ยทำงานให้จะคือที่แห่งไหน ศัตรูตรงหน้าเขาอย่างไรก็คือผู้เหลือรอดจากเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดไม่ผิดแน่
ในการต่อสู้กับเผ่าอาร์คาน่า วิธีที่ง่ายที่สุดคือพุ่งเข้าโจมตีและตัดหัวทิ้งเสีย ด้วยชนเผ่านี้ไม่เก่งกาจด้านการต่อสู้ระยะประชิด
หลังจากหลบการโจมตีบอลเพลิงขนาดยักษ์มาแล้วสองลูกติดต่อกัน ซูเฉินก็ตวัดมีดหมาป่ากลืนจันทร์เข้าใส่ผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่าด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าแลบ
ด้วยความที่มันเป็นผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่า วิชาที่ใช้จึงเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่า เมื่อมันเห็นว่าซูเฉินกำลังพุ่งเข้ามา ก็แกว่งไม้เท้าเวทย์ในมือ “จงรับบทลงโทษเป็นพลังซัดนี้ไปเสีย!”
ซูเฉินเห็นแสงจ้าสว่างวาบออกมาจากมือชายชรา จากนั้นก็รู้สึกราวกับมีคนกำลังปิดแสงไว้ แสงสีขาวทำท่าราวกับถูกคนกำให้มีรูปร่างกลม กลายเป็นลูกบอลแสงสีขาว
นั่นมัน…..
“กระสุนพลังต้นกำเนิด!” ซูเฉินร้องเสียงดังออกมา
เด็กหนุ่มเคยเห็นทักษะพลังต้นกำเนิดนี้มาแล้วตอนที่ เยี่ยเม่ยนำทักษะพลังต้นกำเนิดมาให้เขา เป็นทักษะพลังต้นกำเนิดที่ทรงพลังและน่ากลัวไม่ใช่น้อย สามารถปล่อยกระสุนต้นกำเนิดออกมาโจมตีคู่ต่อสู้ได้เป็นสิบหรือเป็นร้อย ๆ นัด ถึงเทียบกับลูกบอลเพลิงแล้วอาจจะมีพลังทำลายล้างน้อยกว่าแต่ก็มีจำนวนมากกว่า
เห็นได้ชัดว่าผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่าผู้นี้รู้ว่ามันไม่ควรปล่อยให้ซูเฉินเข้าประชิดตัวได้เมื่อเห็นความเร็วของซูเฉิน ดังนั้นจึงใช้ทักษะพลังต้นกำเนิดที่สามารถโจมตีเป็นวงกว้างมาต่อสู้กับเขา
ซูเฉินจึงไม่ยั้งมืออีกต่อไป มีดหมาป่ากลืนจันทร์ถูกหมุนอย่างรวดเร็วเพื่อปัดป้องกระสุนพลังต้นกำเนิดที่ซัดเข้ามา เป็นอีกครั้งที่ร่างของมันแวบหายไปดั่งแสงวาบ โชคดีที่นัยน์ตาจับความเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มสามารถมองเห็นสิ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วได้ ดังนั้นซูเฉินจึงคำนวณทิศทางที่จะสามารถหลบการโจมตีให้ได้มากที่สุดออกภายในพริบตา ในเวลาเดียวกันก็พยายามปัดและเปลี่ยนทิศทางของกระสุนด้วย แต่กระนั้นก็ยังมีกระสุนลูกหนึ่งซัดมาที่อกจนได้
ชุดเกราะพลอยม่วงไม่สามารถใช้ทักษะป้องกันการโจมตีจากด้านหน้าได้ กระสุนลูกนี้โจมตีมาแรงมาก ถึงตัวเกราะจะสามารถป้องกันได้บางส่วน ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดระลอกหนึ่งที่แล่นขึ้นมาในทันที
แต่อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถปัดป้องหรือหลบห่ากระสุนระลอกนี้ได้
ชายชราเผ่าอาร์คาน่าไม่คิดว่าซูเฉินจะสามารถหลบห่ากระสุนนี้ได้พ้น อีกฝ่ายยังยืนทำหน้าตาราวกับไม่เชื่อสายตาในขณะที่ซูเฉินเตรียมพุ่งเข้าไปแล้ว
การเคลื่อนที่ของซูเฉินเร็วอย่างน่าประหลาดใจ เด็กหนุ่มใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษและใช้ทักษะของรองเท้าย่ำเมฆีไปปรากฏอยู่ตรงหน้าชายชราในพริบตา ส่วนมีดหมาป่ากลืนจันทร์ก็ตวัดโจมตีไปที่หัวของชายแก่ พลันเกิดเสียงราวสายฟ้าฟาดดังแสบแก้วหูขึ้น
คือดาบอสุนีบาต!
ในตอนนั้นเอง เงาร่างวิญญาณหมาป่าก็ปรากฏขึ้นบนตัวมีดแล้วพุ่งเข้าใส่ชายชรา
ชายแก่เปล่งเสียงร้องดังออกมาก่อนจะเปิดผ้าคลุมหัวสีดำออก นัยน์สีเขียวดั่งหยกคู่หนึ่งจ้องไปที่ซูเฉินจนมันรู้สึกมึนงงไป การโจมตีที่กำลังจะฟาดลงไปเมื่อครู่กลับชะงักลงเล็กน้อย เมื่อซูเฉินจะฟาดมีดลงไปใหม่ ร่างทั้งร่างของชายชราก็บังเกิดแสงสว่างปกคลุม ป้องกันการโจมตีของซูเฉินไว้ วิญญาณหมาป่าเองก็ไม่สามารถทะลุเกราะแสงนี้ไปได้เช่นกัน มันทำเพียงวนเวียนซ้ายขวาก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนเกราะ ส่งผลให้เกราะแสงส่องแสงวูบวาบไม่หยุด
มีดในมือขวาของเด็กหนุ่มยังคงไม่ขยับ หากแต่มือซ้ายของซูเฉินดึงมีดอีกเล่มออกมา
คือมีดสั้นริ้วดำ!
คมของมีดสั้นริ้วดำปักอยู่ที่เกราะแสงของชายชรา แสงสีเลือดสว่างวาบขึ้นจากตัวมีดก่อนที่ชายชราจะเปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ร่างของอีกฝ่ายเลือนหายไปในอากาศ เหลือเพียงสีแดงอ่อน ๆ จากลายสลักเลือดที่ส่องแสงเรืองอยู่
“บัดซบ! บังอาจทำข้าบาดเจ็บ!” น้ำเสียงดังขึ้นเบื้องหลังของซูเฉิน
ซูเฉินรีบหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น ก่อนจะเห็นว่าแขนข้างซ้ายของชายชรามีรอยแผลอยู่
ลายสลักเลือดสามารถทะลวงผ่านเกราะแสงและโจมตีโดนมันได้ ทว่าบาดแผลดูไม่ร้ายแรงมากนัก
นั่นทำให้ซูเฉินรู้สึกเคืองใจ
ในตอนนั้นเอง ชายชราก็สร้างลูกบอลเพลิงขึ้นมาอีกสองลูก กระสุนพลังต้นกำเนิด การโจมตีวิญญาณ เกราะแสง และพลังต้นกำเนิดที่ใช้ในการเคลื่อนที่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นี่แสดงให้เห็นว่าตาเฒ่าคนนี้ก็แข็งแกร่งอยู่พอตัว ซูเฉินทำอีกฝ่ายบาดเจ็บได้เป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว หากเขาต้องการโจมตีอีกคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ทว่าชายชราเผ่าอาร์คาน่าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย
ชายชราเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง
“ไอ้ระยำ เจ้าต้องชดใช้ แล้วไอ้ด้วงขยะนี่ เหตุใดยังไม่จัดการมันอีกเล่า!?” ประโยคสุดท้าย ชายชราหันไปพูดกับเจ้าด้วง
แย่แล้ว!
ซูเฉินถึงกับใจสะดุดไป
ถึงชายชราจะแข็งแกร่ง แต่ซูเฉินก็ยังมั่นใจว่าจะจัดการได้
ทว่าเจ้าดวงยักษ์ตัวนี้คงจัดการยากนัก เมื่อมองลำตัวที่ดูแข็งแรงป้องกันการโจมตีได้ดีเยี่ยมแล้ว ซูเฉินก็รู้ในทันทีว่ามันต้องมีความสามารถในการป้องกันสูงมากเป็นแน่ มันอาจจะแค่ยืนนิ่ง ๆ ให้ซูเฉินใช้ลายสลักเลือดสักสี่ถึงห้ารอบโดยไร้รอยขีดข่วนด้วยซ้ำ หากเจ้าด้วงและตาเฒ่าเผ่าอาร์คาน่าร่วมมือกันละก็ ตาเฒ่านั่นสามารถใช้เจ้าดวงเป็นเกราะและโจมตีซูเฉินจากด้านหลังมันแน่ เช่นนั้นแล้วเขาก็คงไม่อาจรอดชีวิต
เช่นนี้คือกลยุทธ์โดยทั่วไปของเผ่าอาร์คาน่า พวกมันทุกคนในเผ่าจะมีเกราะหรือโล่ส่วนตัวซึ่งก็คือสัตว์เลี้ยงของพวกมันที่จะคอยปกป้องพวกมันอยู่ด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าซูเฉินจงใจเลี้ยงดูเจ้าดวงตัวนี้เพื่อมาเป็นเกราะให้ตนอย่างแน่นอน
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากชายชรา เจ้าด้วงที่กำลังกัดกินแร่ดาราเงินอยู่ก็ค่อย ๆ หันตัวแล้วพุ่งเข้าใส่ซูเฉินอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
เมื่อเจ้าด้วงร่วมมือกับชายชรา ซูเฉินก็ตกที่นั่งลำบากทันที ถึงทั้งสองจะไม่ได้ร่วมมือกัน แต่แค่เจ้าด้วงตัวเดียวก็น่าเกรงขามมากพอแล้ว ซูเฉินเก็บมีดในมือซ้าย ก่อนมือขวาจะควงมีดหมาป่ากลืนจันทร์ขึ้นโจมตี ตัวมีดบินเข้าไปปัก หลังเจ้าด้วง มีเสียงดัง “เปรี๊ยะ” ดังขึ้นสองสามครั้ง เปลือกของมันแข็งมากจนดาบหมาป่ากลืนจันทร์ไม่อาจทำอะไรมันได้ มันใช้กรามขนาดยักษ์ของมันโจมตีเข้ามาทางซูเฉิน เกือบจะแยกร่างของเขาเป็นสองส่วน
ซูเฉินรีบดีดตัวถอยอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะได้โต้กลับ ก็มีลูกบอลเพลิงพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ทำให้ซูเฉินต้องกระโดดหลบอีกครา
ชนเผ่าอาร์คาน่าและเจ้าด้วงนี้เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าด้วงยักษ์ตัวนี้ ชายชราสามารถใช้พื้นที่ได้อย่างเต็มที่ อย่างในตอนนี้มันก็กำลังยิงลูกบอลเพลิงใส่ซูเฉิน โชคดีที่พอมีเจ้าด้วงมาคอยเป็นเกราะป้องกันให้แล้ว ชายชราจึงไม่ได้ใช้กระสุนพลังต้นกำเนิดอีก แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ฝืนตนเองถึงขั้นที่การเคลื่อนไหวสับสนไปจนหมดแล้ว
ปัง!
ลูกบอลเพลิงอีกลูกหนึ่งซัดเข้าโดนซูเฉินอีกครั้ง ซูเฉินกระโดดหลบมันก่อนจะเห็นว่าเจ้าด้วงพุ่งเข้าใส่อีกครา เด็กหนุ่มพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อหลบการโจมตีนี้ ผลคือสามารถหลบกรามของเจ้าด้วงได้อย่างฉิวเฉียด ทว่าพริบตาต่อมากลับถูกเจ้าด้วงเอาหัวพุ่งชนเขาจนร่างกระเด็นลอยไป ถึงเขาจะโต้กลับด้วยมีดไปที่หลังของเจ้าด้วง แต่การโจมตีสร้างเพียงรอยสีขาวจาง ๆ บนเปลือกของมันเท่านั้น แต่ตนเองกลับถูกกระแทกกระเด็นไปจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ชายชราเผ่าอาร์คาน่าหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้ายก่อนจะสร้างลูกบอลเพลิงขึ้นมาอีกครั้งหวังปลิดชีพซูเฉิน ทว่าพริบตานั้นก็มีเงาร่างร่างหนึ่งยิงบางอย่างเข้าใส่เขาจากมุมหนึ่ง นั่นก็คือกังเหยียน
ชายชราไม่คิดว่ากังเหยียนจะโจมตีตน ในจังหวะที่หมัดของกังเหยียนพุ่งเข้าใส่หน้าของชายแก่นั่นเอง มันก็ถุยฟันออกมาสองสามซี่
“ฟันข้า!” อาร์คาน่าเฒ่ามองดูฟันของตนที่ร่วงลงพื้นด้วยสายตาเจ็บปวดเหลือแสน