189 ยุทธภพในต่างแดน

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’ s palm 189 ยุทธภพในต่างแดน

 

การแสดงออกของหร่วนชิงในชุดคลุมสีน้ำเงินเปลี่ยนไป จิตใจตีกันอยู่ภายในอย่างรุนแรง

 

เขาเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าซูฉินคงมีหนทางจะสังหารเขาไม่ต้องพูดถึงความสามารถในการอาบสายฟ้าฟาด เพียงกลิ่นอายแค่เล็กน้อยของอีกฝ่ายที่ปลดปล่อยออกมา ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้หร่วนชิงรู้สึกเหมือนเผชิญหน้าอยู่กับผืนนภาอันกว้างใหญ่

 

ในท้ายที่สุด ความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดของหร่วนชิงก็ชนะทุกสิ่ง และคํานับลงที่เบื้องหน้าซูฉินพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะเป็นมือเป็นเท้าให้ผู้อาวุโสเอง”

 

“ดี”

 

“อย่าได้ต่อต้าน”

 

ซูฉินบังคับจิตของตนเอง แยกจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาส่วนหนึ่งแล้วแฝงเข้าไปในตัวของชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน

 

เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้เป็นวิธีการที่ซูฉินต่อยอดมาจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ปีศาจในหลักวิชากลมารฟ้า

 

สามารถหยั่งรากลึกลงไปในจิตใจของหร่วนชิง

 

ในอนาคต ตราบใดที่หร่วนชิงสะสมความไม่พอใจเอาไว้ เศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันนี้จะระเบิดออกทันที และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จะถูกทําลาย แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่อาจดํารงอยู่ต่อไปได้

 

แน่นอนว่าหร่วนชิงย่อมมีทางแก้ไข หากหร่วนชิงมีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าซูฉิน เขาจะสามารถระงับเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ได้ชั่วคราว

 

แต่ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะของซูฉินนั้น

 

วิธีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

“นายท่าน…”

 

หร่วนชิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลกๆ ที่แทรกซึมเข้าไปในจิตใจ เขาถอนหายใจเบาๆ มองไปทางซูฉินด้วยความเคารพ

 

ในความเป็นจริง การที่หร่วนชิงรอดมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับเป็นโชคอย่างยิ่งแล้ว และตอนนี้เขาก็ยอมจํานนอย่างสมบูรณ์

 

“ไม่เป็นไร”

 

“พวกเราค่อยคุยกันต่อที่หลัง”

 

ซูฉินเหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้หมู่เมฆเคลื่อนผ่านไปแล้ว ฟ้ากลับมาสว่างอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นแบบนี้ซูฉินก็พาหร่วนชิงกลับไปที่พระราชวังตะวันออก

 

ทันที่ที่เข้ามาในพระราชวังตะวันออก โลกก็เปลี่ยนไป ปราณชีวิตจํานวนมหาศาล พลังงานเต็มเปี่ยม ราวกับว่าเขามาอยู่บนสรวงสวรรค์ที่มีอยู่จริงบนพื้นพิภพ

 

“นี่คือ?”

 

หร่วนชิงเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น

 

“ค่ายกลฟ้าดินหลายสิบชั้นซ้อนทับกัน เป็นการวางผังที่ยอดเยี่ยมมาก ลงตัวและสมบูรณ์แบบ วิธีการก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ แม้แต่ปรมาจารย์จากต่างดินแดนก็ยังด้อยกว่าอยู่มากโข..”

 

หร่วนชิงตกใจอย่างมาก

 

ตอนที่เขาเข้ามาในวังหลวงก่อนหน้านี้ เขาสังเกตเห็นว่าวังตะวันออกถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่

 

แต่ตอนนี้ยามเมื่อเข้ามาอยู่ในค่ายกลฟ้าดิน หร่วนชิงก็ตกตะลึงอย่างมาก

 

เดิมที่เขาคิดว่าซูฉินเก่งกาจแค่ด้านสายฟ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าความสามารถด้านค่ายกลของซูฉินก็มาถึงจุดที่คาดไม่ถึง

 

ต้องรู้ว่าพลังฟ้าดินแถวนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เพราะมีความต่างระหว่างชั้นฟ้ากับผืนปฐพีจึงเกิดความขัดแย้งกัน แต่ซูฉินผสมผสานค่ายกลฟ้าดินนับสิบโดยปราศจากความขัดแย้งใดๆ นี้มันช่างน่าเหลือเชื่อ

 

อย่างน้อยหร่วนชิงก็ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับปรมาจารย์ด้านค่ายกลระดับนี้ในต่างดินแดน

 

“พลังชีวิตแข็งแกร่งมาก ปราณฉีกระจายเต็มไปหมดแทบจะไม่ต่างไปจากต่างดินแดนเลย…”

 

หร่วนชิงยิ่งดูก็ยิ่งตกใจ

 

รู้หรือไม่ว่าเหตุผลที่ต่างดินแดนมีความเจริญรุ่งเรืองและให้กําเนิดตํานานยุทธออกมาตลอดนั่นก็เพราะพลังชีวิตและปราณฉีที่แข็งแกร่ง

 

แต่ตอนนี้หร่วนชิงค้นพบว่าพระราชวังตะวันออกปกคลุมไปด้วยพลังฟ้าดินมากมาย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโลกยุทธภพในต่างแดนขนาดย่อมเลยก็ว่าได้

 

“ดูพอหรือยัง?”

 

ซูฉินเหลือบมองหร่วนชิงที่กําลังตกตะลึง แล้วกล่าวถามออกมาเบาๆ

 

“นายท่าน ข้า ข้าดูพอแล้วขอรับ”

 

ใบหน้าของหร่วนชิงซีดเซียวและยืนโค้งคํานับอยู่อย่างนั้น

 

“ในเมื่อดูพอแล้ว ข้ามีคําถามสักสองสามข้อจะไถ่ถามเจ้าสักหน่อย”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้นบรรยากาศในทุกทิศทางก็เริ่มบิดเบี้ยวแยกตัวออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

 

จุดประสงค์ที่ซูฉินปราบหร่วนชิง นอกจากความแข็งแกร่งของหร่วนชิงแล้วก็เป็นเพราะอีกฝ่ายคือจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธจากต่างดินแดน

 

“ตอนนี้ที่ต่างแดนเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”

 

ซูฉินถามอย่างสบายๆ

 

“นายท่านหมายถึงสิ่งใดหรือ?” หร่วนชิงถามอย่างระมัดระวัง

 

“ก็แค่ลองพูดมา” ซูฉินกล่าวคําแผ่วเบา

 

“เอ่อ”

 

หร่วนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนกําลังเรียบเรียงคําพูด “ทุกวันนี้ทรัพยากรส่วนใหญ่ในยุทธภพต่างดินแดนถูกควบคุมเอาไว้โดยเหล่าสุดยอดพรรคหรือสํานักระดับสูง และนอกเหนือจากนิกายใหญ่เหล่านั้นก็ยังมีผู้ฝึกยุทธอิสระอีกมากมาย”

 

“ผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายใหญ่ ไม่ต้องการจะทํางานหนักให้กับพวกนั้น จึงกลายมาเป็นกองกําลังฝ่ายอิสระ”

 

“แต่เมื่อไม่นานมานี้ สํานักชะตาฟ้าในยุคนี้ได้ทํานายว่ากระแสปราณฉีจะฟื้นคืนในไม่ช้า และชีตําแหน่งจุดตัดจุดที่ใหญ่ที่สุดของกระแสปราณฉีเอาไว้”

 

เมื่อหร่วนชิงพูดเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซูฉินก่อนจะพูดต่อว่า “แม้ว่าคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าจะแพร่กระจายไปทั่วโลก แต่ก็ไม่มีใครคิดเชื่อถือ แต่เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยผ่านไปที่เกาะแห่งหนึ่ง พบข้อความที่หลงเหลือไว้จากผู้แข็งแกร่งนอกดินแดน จึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าคําทํานายของสํานักชะตาฟ้าอาจเป็นจริง ข้าจึงได้ดั้นด้นเดินทางมายังทวีปแห่งนี้”

 

“เจ้าหมายความว่า ทวีปนี้คือจุดตัดจุดที่ใหญ่ที่สุดอย่างนั้นหรือ?” ซูฉินถามพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นจึงถามต่อไป

 

“ถูกต้องขอรับ”

 

หร่วนชิงโค้งคํานับ

 

“คําทํานายของสํานักชะตาฟ้านั้นคลุมเครือ แต่ข้าได้ตรวจสอบจากคัมภีร์โบราณจํานวนนับไม่ถ้วน และมองหาทวีปที่เข้าข่ายมากที่สุดจากหลายๆ ทวีป ข้านั้นไม่คาดคิดเลยว่านายท่านจะยิ่งใหญ่คับฟ้า สามารถค้นพบสถานที่แห่งนี้มานานแล้ว”

 

หร่วนเชิงกล่าวด้วยความเคารพ

 

ภายในใจของหร่วนชิงปักธงไว้แล้วว่าซูฉินจะต้องรู้อะไรบางอย่างมาก่อนแน่ และรีบมาที่ทวีปนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ

 

มิฉะนั้นด้วยความสามารถของซูฉิน แม้แต่ในโลกยุทธภพต่างดินแดนก็ต้องได้รับข้อเสนอให้เข้าร่วมกับนิกายใหญ่ทั้งหลาย เป็นไปได้เช่นไรที่จะมาจมปลักอยู่ในทวีปนี้?

 

“หลายทวีป?”

 

ซูฉินกล่าวทวน

 

“ขอรับนายท่าน”

 

“อย่างไรก็ตามทวีปเหล่านั้นเกือบทั้งหมดนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้อยกว่าโลกยุทธภพในต่างดินแดนอย่างมาก

 

หร่วนชิงตอบรับทันที

 

“จุดแข็งของพวกนิกายใหญ่เหล่านั้นคืออะไร และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นแข็งแกร่งเพียงไหน?” ซูฉินถามกลับไปทันทีที่ได้รับคําตอบ

 

นี่คือสิ่งที่ซูฉินอยากรู้มาโดยตลอด

 

ในตอนแรกเขาคิดว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต่างดินแดนน่าจะอยู่ที่ระดับนภาชั้นที่ห้าไม่ก็นภาชั้นที่หก แต่เมื่อฟังคํากล่าวของหร่วนชิงแล้ว โลกยุทธภพในต่างดินแดนดูเหมือนจะเจริญรุ่งเรืองกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

 

“นายท่าน”

 

“เหล่านิกายใหญ่ในต่างแดนมีมรดกตกทอดที่สืบต่อกันมานับพันปี มีจอมยุทธขอบเขตตํานานยุทธมากมาย รองประมุขพรรคและผู้อาวุโสเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่สี่ ส่วนประมุขพรรคนั้นต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้าเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตําแหน่งนี้”

 

“นภาชั้นที่ห้า?”

 

“อ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ?”

 

การแสดงออกของซูฉินยังคงไม่แปรเปลี่ยน

 

“มีอะไรอีกไหม?”

 

ซูฉินยังคงถามต่อไป

 

“นอกจากนี้ยังกล่าวกันว่าในส่วนลึกของนิกายใหญ่ยังมีบรรพชนหลับใหลอยู่ ด้วยความแข็งแกร่งของบรรพชนเหล่านี้ก็เหมือนกับเป็นรากฐานอันสําคัญของแต่ละพรรคแต่ละสํานัก ถ้าไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกบรรพชนเหล่านี้ให้ตื่นจากการหลับใหล”

 

หร่วนชิงกล่าวออกมาตามความจริง

 

เมื่อยามที่เขาเห็นซูฉินครั้งแรก เขายังนึกไปว่าซูฉินคงเป็นบรรพบุรุษของนิกายเทพเจ้าสายฟ้า

 

แต่ยามนี้เหมือนว่าหร่วนชิงคงต้องทิ้งความคิดนั้นไปเสีย

 

เนื่องจากบรรพชนของนิกายใหญ่ทั้งหลายนั้นต่างประสบกับช่วงใกล้สิ้นอายุขัย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีพลังทัดเทียมกับซูฉิน

 

“เป็นเช่นนี้นี่เอง”

 

ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย

 

จากนั้นซูฉินจึงถามถึงความแข็งแกร่งของบรรพชนเหล่านี้ แต่หร่วนชิงเองก็มิทราบความ สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือคนเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็มากกว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่ห้า

 

ในที่สุดซูฉินก็ปรับอารมณ์ให้ดูเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย มองไปที่หร่วนชิง และถามด้วยน้ำเสียงอันลึกล้ำ

 

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่า ในต่างดินแดนมีเซียนเทพปฐพีอยู่หรือไม่?”