บทที่ 1011 จิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม โดย Ink Stone_Fantasy
แต่ไม่นานก็มุมออกมาอีก วิ่งกลับเข้าไปในโพรงไม้แล้ว เขาถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก คุ้ยดินโคลนที่ตัวเองใส่ไว้ในแหวนเก็บสมบัติตอนขุดโพรงถ้ำเมื่อครู่นี้ออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นผสมน้ำแล้วรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปั้นเป็นรูปคนนั่งขัดสมาธิอย่างรวดเร็ว
มนุษย์ดินปั้นสวมเสื้อผ้าของเขา มองจากข้างหลังก็ยังเหมือนคน แต่ส่วนศีรษะที่เป็นโคลนเด่นชัดเกินไป ดังนั้นเขาจึงเพิ่มของที่ใช้ยามปลอมตัวเข้าไป แปะพวกผมปลอมเข้าไปอย่างรวดเร็ว ช่องว่างในโพรงไม้ไม่ได้ใหญ่ อย่างมากก็รองรับคนหมุนตัวได้สองคน เหมียวอี้โผล่ออกมาจากโพรงไม้ แล้วยื่นศีรษะเข้าไปดูขณะที่ตัวอยู่ด้านนอก ถ้ามองจากข้างหลังโดยไม่สังเกตก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ตอนนี้เขาถึงได้โผล่ออกมา แล้วกลับเข้าไปในโพรงถ้ำที่ตัวเองขุด คิดไปคิดมาก็เตรียมตัวเพิ่มอีกชั้น สวมเกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้ แล้วปล่อยตั๊กแตนสิบสิบห้าตัวจากยี่สิบห้าที่นำมาด้วยออกมา
การที่เขาทำท่าเหมือนจะต้องเผชิญศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล สิ่งที่เจิ้งหรูหลงบอกก็มีเหตุผลจริงๆ การไปครั้งนี้อาจจะต้องเผชิญกับยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า พลังระดับบงกชทองขั้นเก้า ใช่ว่าเหมียวอี้จะไม่คยเจอมาก่อน ในปีนั้นที่ปีศาจโลหิตกับจงหลีค่วยสู้กัน ความแตกต่างระหว่างทั้งสองไม่ใช่น้อยๆ นางโจมตีจนจงหลีค่วยต้องพาเขาหนีหัวซุกหัวซุน นักพรตบงกชทองขั้นหนึ่งอย่างเขาไม่สะดวกจะไปด้วยจริงๆ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นต้องหนีไม่ทันแน่นอน
แต่พวกเขาสี่คนก็ออกไปด้วยกันอีก นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว เขาเคลือบแคลงใจอย่างหนักมาตั้งแต่แรก จะไม่ให้สงสัยก็คงยาก แล้วอีกอย่าง นี่ก็คือการลงสนามครั้งแรก ยังไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่เจิ้งหรูหลงก็ประกาศแล้วว่าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายท้าทายยอดฝีมือบงกชทองขั้นเก้า ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่แบบนี้ ถ้าจะไม่ให้สงสัยก็คงไม่ได้
ไม่ว่าจะจริงหรือปลอม เขาก็ไม่ได้ต่อต้าน แต่ทำตามความคิดของทุกคน แต่อีกประเดี๋ยวก็เตรียมการอีกอย่างไว้แล้ว ระวังตัวไว้จะดีกว่า ตอนที่ยังไม่รู้ชัดว่าคนกลุ่มนี้คิดจะทำอะไรกันแน่ เขาก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
นี่คือสิ่งที่ช่วยไม่ได้ ต่อให้เจ้าถามอีกฝ่ายอย่างจริงใจ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจปิดบังเจ้า อีกฝ่ายก็ไม่ยอมบอกเจ้าอยู่ดี ดังนั้นตัวเองเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
เขาปล่อยตั๊กแตนสิบห้าตัวออกมาคอยควบคุมสังเกตความเคลื่อนไหวรอบข้าง หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เขาถึงได้ปล่อยชายชราที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ออกมา
อาการของชายชราเปลี่ยนเป็นอ่อนแอผิดปกติ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เหมียวอี้จะถอนเปลวเพลิงไร้รูปร่างในร่างกายออกไปแล้ว แต่เมื่อผ่านการทรมานจากเปลวเพลิงไร้รูปร่างมา ชีวิตของชายชราก็เหมือนเสียหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ต้องทรมานจนอีกฝ่ายหมดกำลังโต้ตอบถึงจะดี
เมื่อเห็นเหมียวอี้อีกครั้ง ชายชราก็นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก เสียใจขอเงินค่าถามทาง ดวงไม่ดีมาตกอยู่ในมือของตำหนักสวรรค์เสียได้ คนของตำหนักสวรรค์โหดไม่ธรรมดาจริงๆ! ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโบราณกล่าวไว้ว่า ‘โจรกับขุนนางเป็นพวกเดียวกัน’ อย่างน้อยโจรก็ยังเลือกเป้าหมายที่จะลงมือ ถ้าไม่รวยก็ไม่ปล้น ปล้นแต่คนมีเงิน แต่ขุนนางกลับไม่ปล่อยไปแม้แต่คนจน ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่าใครมีคุณธรรมมากกว่า
“ขุนนางสวรรค์ เจ้าจะเอายังไงกันแน่?” ชายชราที่สีหน้าอ่อนเพลียมองดูเชือกมัดเซียนที่มัดตัวเองไว้ไม่ยอมปล่อย พร้อมถามอย่างจนใจว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย! ปล่อยข้าไปไม่ได้เหรอ?”
“บังอาจขู่กรรโชกขุนนางที่ได้รับบัญชาจากตำหนักสวรรค์ ยังกล้าบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอีกเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ชายชราหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้ายอมรับผิดแล้ว! แต่ว่า…การถามทางน่ะ เป็นเรื่องที่เจ้ากับข้าต้องยินยอมด้วยกันทั้งสองฝ่าย เจ้าไม่ให้เงินข้า ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้ขู่บังคับด้วย ทำไมกลายเป็นขู่กรรโชกได้ล่ะ?”
“จะขู่กรรโชกหรือไม่ขู่กรรโชก รอข้าคุมตัวเจ้ากลับไปสืบสวน เดี๋ยวตำหนักสวรรค์ก็มาตัดสินเจ้าเองว่าเป็นการขู่กรรโชกหรือเปล่า”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง! แค่เรื่องเล็กๆ ต้องรบกวนให้เจ้าคุมตัวกลับไปสืบสวยด้วยเหรอ? ขุนนางสวรรค์ ตาแก่คนนี้อยู่มาทั้งชีวิต ใช่ว่าจะไม่เคยเจอคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าจับตัวกันแบบนี้ ยังไม่ทันแยกแยะถูกผิดด้วยซ้ำ นับว่าข้าดวงซวยตกอยู่ในมือของเจ้า ข้ายอมแพ้แล้วตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้ตบหน้าผากเขาฉาดหนึ่ง “อยู่มาทั้งชีวิตแล้วยังไง? เจ้าเคยเห็นคนของตำหนักสวรรค์มาแล้วกี่คน? เดี๋ยวกลับไปข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักคนที่โหดกว่า ขนาดข้ายังต้องเรียกเขาท่านปู่เลย!” เขาหมายถึงเซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเทียบกับท่านนั้นแล้ว ตนยังต้องทอดถอนใจที่สู้ไม่ไหว เรียกได้ว่าเหมือนหมอผีรุ่นเล็กเจอกับหมอผีรุ่นใหญ่จริงๆ
“ไม่ต้อง ไม่ต้องแนะนำแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องเอาเรื่องจับตัวมาขู่ให้ข้ากลัว ตาแก่คนนี้ดูโง่ขนาดนั้นเชียวเหรอ? เจ้าบอกมาตรงๆเลย เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
ชายชราขี้เกียจจะอ้อมค้อม และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายวางยาพิษอะไรตัวเอง รสชาติแบบนั้นน่ากลัวเกินไป ทรมานจนเขาอยากจะหนีแต่ก็ไม่มีทางหนีได้ เขาอยู่ในสภาพนี้แล้ว ชีวิตก็โดนบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ทรัพย์สมบัติบนตัวก็โดยอีกฝ่ายค้นเอาไปรอบนึ่ง ถ้าต้องการจะฆ่าเขาจริงๆ ก็คงจะลงมือกับเขาไปตรงๆ ให้สิ้นเรื่องไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว ที่บอกว่าจะจับตัวกลับไปสืบสวน ล้วนเป็นคำพูดเหลวไหลทั้งนั้น ชัดเจนว่าต้องการจะขู่ จะต้องมีเจตนาอื่นแน่นอน
“คุยกับคนฉลาดมันก็ลดความยุ่งยากได้แบบนี้แหละ งั้นข้าจะไม่พูดมากแล้ว ตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ปราณปีศาจเต็มตัวแบบนี้ เจ้าเป็นปีศาจอะไรกันแน่?”
“สิงโต!”
“วรยุทธ์เท่าไร?”
“บงกชทองขั้นเจ็ด”
“จุจุ วรยุทธ์ไม่เลวเลย แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาฝ่าฝืนกฎ”
“ข้าไม่ได้ฝ่าฝืนกฎ!”
“ข้าบอกว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ ก็แปลว่าเจ้าฝ่าฝืนกฎ” เหมียวอี้เตะเขาทีหนึ่ง “เจ้าชื่ออะไร?”
“นับว่าเจ้าโหด! ชื่อหวงเสี้ยวเทียน”
“มาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
“ไม่กล้าอาจเอื้อมหรอก! มีใครเขาหาเพื่อนแบบเจ้าบ้าง? ยัดเยียดความผิดใส่ร้ายก่อน แล้วก็แทงข้าทวนหนึ่ง ทั้งยังปล่อยพิษใส่ ทั้งยังเก็บข้าเข้ากระเป๋าสัตว์ให้ตกใจกลัวเดรัจฉานสับปลับ จนถึงตอนนี้ยังมัดข้าไม่ยอมปล่อย ข้าไม่กล้าอาจเอื้อมจริงๆ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ ถ้ารู้สึกว่าข้าไม่มีค่าให้ใช้ประโยชน์แล้วก็ปล่อยข้าไป ตราบใดที่เจ้าไม่ข้ามแม่น้ำเสร็จแล้วรื้อสะพานทิ้ง ฆ่าปิดคนปิดปาก ตาแก่คนนี้ก็จะจุดธูปขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกับเจ้า จะฆ่าเจ้าไปทำไม? เออใช่ เจ้ารู้จักดาววิงวอนชีวิตนี้ดีแค่ไหน?”
“ข้านี้อยู่ที่นี่มาไม่กี่หมื่นปี ไม่นับว่ารู้จักดีหรอก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย เจ้าอยากรู้อะไรล่ะ?”
“เจ้ารู้จักป่าลืมทุกข์ดีขนาดไหน?” เหมียวอี้รู้สึกว่าฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลเกี่ยวกับป่าลืมทุกข์น้อยเกินไป บอกแค่ป่าลืมทุกข์คำเดียว บอกแค่ว่าเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะเข้าไปยุ่งกับป่าลืมทุกข์ได้ เวลาสั้นเกินไปจึงไม่สามารถสืบได้ละเอียด
“ไม่นับว่าเข้าใจดีหรอก แต่ก็เคยติดต่อกันอยู่บ้าง นั่นคืออาณาเขตของปานเยว่กง มีการป้องกันแน่นหนามาก ถ้าคนนอกบุกเข้าป่าลืมทุกข์ ก็จะถูกพบทันที คนที่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีใครได้ออกมาสักคน ได้ยินว่าขนาดยอดฝีมือบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังหายสาบสูบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร สรุปว่าที่นั่นแปลกประหลาดมาก ข้าก็เลยไม่ถึงขั้นรู้ชัดว่าเหตุการณ์ภายในเป็นอย่างไร”
เหมียวอี้ขมวดคิ้ว สงสัยการที่ข้อมูลของฮวาหูเตี๋ยมีไม่ครบจะมีสาเหตุแบบนี้ ขนาดปีศาจเฒ่าที่อยู่ที่นี่มาหลายหมื่นปียังไม่รู้สถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ชัดเจนเลย เขาถามอีกว่า “ได้ยินว่าฮูหยินของปานเยว่กงชื่อชิงเหมยเหรอ เจ้ารู้จักผู้หญิงคนนี้ดีขนาดไหน?”
หวงเสี้ยวเทียน “ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ! ตอนที่นางมาใหม่ๆ ข้าก็เคยเห็นอยู่นะ เป็นเรื่องเมื่อแปดร้อยกว่าปีก่อน ตอนที่เพิ่งมาโดนคนคนข่มเหงรังแก มีคนอยากจะให้อำนาจครอบครองนาง นางขัดขืนก็เลยเกือบเอาชีวิตไม่รอด ตอนหลังหนีเข้าป่าลืมทุกข์ไป ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงถูกใจปานเยว่กง เขาเลยแต่งงานรับนางเป็นฮูหยิน” เขาแปลกใจอยู่บ้าง “เจ้าถามถึงนางทำไมเหรอ?”
“ข้าจะบอกความจริงเจ้าให้นะ นางคือนักโทษหลบหนีของตำหนักสวรรค์ ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งให้มาจับตัวนาง” เหมียวอี้ตอบอย่างไม่อ้อมค้อม
หวงเสี้ยวเทียนทำสีหน้าครุ่นคิดทันที มองสำรวจเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วบอกว่า “สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง”
“ข่าวลืออะไร?” เหมียวอี้ถาม
หวงเสี้ยวเทียนตอบกลั้วหัวเราะว่า “เส้นทางที่สถานที่ไร้ชีวิตใช้ติดต่อกับภายนอกเพิ่งโดนตำหนักสวรรค์ควบคุมเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มีข่าวลือตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บอกว่าตำหนักสวรรค์ต้องการจับตัวนักโทษหลบหนี พอมาดูตอนนี้ สงสัยข่าวลือจะเป็นจริง”
เหมียวอี้ตะลึงค้าง ข่าวหลุดตั้งแต่ไม่กี่เดือนก่อนแล้วเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ไม่กี่เดือนก่อนข้ายังไม่ทันรู้เลยว่ามาที่นี่เพื่อทดสอบหัวข้ออะไร หน่วยงานรักษาความลับทำงานกันยังไงเนี่ย? เขาขมวดคิ้วถาม “จริงเหรอ?”
หวงเสี้ยวเทียนเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “มีอะไรน่าพูดโกหกล่ะ เจ้าลองเรียกคนรู้จักจากตลาดมืดมาถามสักคนสิ ปกติตลาดมืดก็เป็นจุดที่มีคนไปมาหาสู่ไม่ขาดสายอยู่แล้ว ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าขายของทั้งสถานที่ไร้ชีวิต ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าตลาดมืดได้ยังไง? ตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้ว ไม่ค่อยเห็นคนออกมาเดินเท่าไรเลย เงียบเหงามาก เพราะตกใจจนไปซ่อนตัวกันหมดแล้วไงล่ะ คนที่สามารถทิ้งความเจริญเฟื่องฟูในสังคมมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยทำความผิดมาทั้งนั้น พอมีข่าวหลุดออกมา ก็ไม่มีใครแน่ใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะจับตัวเองหรือไม่ ย่อมต้องซ่อนตัวก่อนอยู่แล้ว ส่วนคนที่รู้ตัวว่าจะไม่เป็นอะไรอย่างข้า ก็เดินเอ้อระเหยอยู่ข้างนอกต่อไป แต่ผลก็คือไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน พวกเจ้าจับแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ทำความผิด!”
“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์แบบนั้น ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าข้าเผยตัวตนว่าเป็นคนของตำหนักสวรรค์ แล้วไปขอตัวนางจากปานเยว่กงตรงๆ ปานเยว่กงจะมอบนางให้หรือเปล่า?”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? แต่เจ้าก็ลองคิดในทางกลับกันสิ ถ้ามีคนจะมาจับเมียเจ้าไป เจ้าจะปล่อยให้จับไปมั้ยล่ะ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ถ้ามีใครสั่งให้เขามอบอวิ๋นจือชิวให้ เขาก็ไม่ยอมแน่นอน อย่าว่าแต่อวิ๋นจือชิวเลย ต่อให้เป็นพวกฉินเวยเวยตนก็ไม่ตอบตกลงแน่ พอเป็นแบบนี้ก็ลำบากแล้ว สถานที่ที่แม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้าไปก็ยังออกมาไม่ได้ ยังจะไปจับตัวนักโทษอะไรได้อีกล่ะ!
“เจ้ามีหนทางที่จะช่วยข้าจับได้มั้ย?”
หวงเสี้ยวเทียนกลอกตา”งั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเถอะ! ข้าไปมีเรื่องกับป่าลืมทุกข์ไม่ไหวหรอก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปานเยว่กงด้วย ต่อให้เจาเอาชีวิตไปแลกกับเมียของเขา เขาก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี! ข้าจะมีหนทางอะไรได้ล่ะ”
ณ ป่าผืนหนึ่งที่หนาทึบราวกับโดนเมฆหมอกปกคลุม หมอกหนาลอยเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดนิ่ง ต้นไม้แปลกประหลาดที่มีกลิ่นอายของปีศาจปรากฏให้เห็นรางๆ
พอเจิ้งหรูหลงโบกมือ พวกเขาก็หยุดอยู่กับที่ หลังจากเขาจ้องสำรวจป่าลืมทุกข์พักหนึ่ง ก็หันกลับมาบอกคนทีเหลือว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเข้าไปสืบดูสถานการณ์ของป่าลืมทุกข์ ถ้าข้าล่อปานเยว่กงออกไปได้สำเร็จ ข้าค่อยส่งข่าวมาให้พวกเจ้าอีกที จากนั้นพวกเจ้าก็ค่อยลงมือ” พูดจบก็ถลันตัวออกไปคนเดียว บุกเข้าไปในป่าที่ถูกปิดผนึกด้วยหมอกหนาอย่างเงียบๆ
“เฮ้อ!” หยางไท่ถอนหายใจ “พวกเจ้าคิดว่าเขาจะทำสำเร็จหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าไม่สำเร็จอยู่แล้ว” มู่หรงซิงหัวแสยะยิ้ม
“ทำไมคิดอย่างนั้น?” หยางไท่
มู่หรงซิงหัวพูดเหน็บแนมว่า “ข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ? เขาไปทำอะไรพวกเจ้าสองคนก็รู้อยู่แก่ใจ”
หยางไท่กับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก ค่อนข้างอึดอัดทำตัวไม่ถูก
สวีถังหรานยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทั้งนั้น แต่ความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะจับซูลู่เอ๋อร์ก็ต้องรับมือกับปานเยว่กงนั่นก่อน แต่พลังของปานเยว่กงเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราก็ยังไม่รู้ชัด ในบรรดาพวกเรา คนที่เหมาะจะไปสืบความจริงก็แต่ผู้บัญชาการเจิ้งแล้ว แต่ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัว วรยุทธ์ต่างกันชัดเจนขนาดนั้น การดันดุรังเกินไปไม่ใช่วิธีที่ฉลาด แล้วอีกอย่าง เพิ่งจะเริ่มต้นก็เจอสถานการณ์แบบนี้แล้ว ในภายหลังก็ยังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรรอพวกเราอยู่ ข้าพอจะเข้าใจการกระทำของเจิ้งหรูหลงนะ ถึงอย่างไรทุกคนก็ไม่ได้ทำเพื่อความแค้นส่วนตัว ล้วนมีจิตใจที่เห็นแก่ส่วนรวม ทำเพื่อตำหนักสวรรค์กันทั้งนั้น!”
“พูดจามีเหตุผล!” หยางไท่พยักหน้า
ส่วนเจิ้งหรูหลง พอบุกเข้าป่าลืมทุกข์ไป หันกลับมาอีกทีก็เห็นหมอกหนาบดบังทัศนวิสัยข้างหลังแล้ว เขาไม่ได้เข้าลึกไปในป่า แล้วอ้อมไปแทน
…………………………