บทที่ 318 หนึ่งเดียวผู้ขัดขวางขุนนางใหญ่ (1)
“ครึ่งครึ่ง?”
ยายตัวร้ายกะพริบตาคู่สวย และพูดด้วยความประหลาดใจ “สุนัขรับใช้ เจ้ามั่นอกมั่นใจมากเหลือเกินนะ”
จากนั้นดวงตาผลท้อทรงเสน่ห์ก็เหลือบมองฮว๋ายชิ่งและพูดอุบอิบ “ถ้าเจ้าอยากเข้าไปในวังก็มาหาข้าสิ จะพาคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปด้วยทำไม”
“เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นนะ” ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าและเดินไปหานาง
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หลินอันคงจะสะดุ้งโหยง และกระโดดเหยงๆ เหมือนกระต่ายน้อยก่อนจะชิ่งหนีไป
แต่คราวนี้นางไม่หนี นางยืดอกขึ้นเล็กน้อยด้วยภาคภูมิ ยืนเท้าเอว และเลือกที่จะตอบโต้ฮว๋ายชิ่ง ตะโกนด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “มีอะไร ข้าพูดผิดงั้นหรือ”
สวี่ชีอันยืนอยู่ระหว่างทั้งสองคนอย่างสงบเสงี่ยม และเอ่ยด้วยรอยยิ้มแหย “ทั้งสองพระองค์อย่าทะเลาะกันเลยพ่ะย่ะค่ะ แถวนี้มีแต่คนนอกทั้งนั้น คนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
‘เจ้าเองก็เป็นคนนอกไม่ใช่หรือไร’ ฮว๋ายชิ่งเหลือบมองเขาเล็กน้อย
ฮว๋ายชิ่งผู้มีรูปร่างหน้าตาเป็นเลิศ แต่นิสัยกลับเหมือนเทพธิดาแห่งภูเขาน้ำแข็งขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างฆ้องเงินสวี่หนิงเยี่ยนและหลินอันที่พัฒนาลึกซึ้งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ
ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันเข้ามาแทรกระหว่างพวกนางโดยหันหลังให้หลินอันและหันหน้าเผชิญกับนาง นี่คือการปกป้องบุคคลก่อนหน้าโดยจิตใต้สำนึก
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เมื่อพวกเขามารวมตัวกัน หลินอันและสวี่หนิงเยี่ยนทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก จนเกินขอบเขตมารยาทระหว่างข้าราชบริพารและองค์หญิง
เห็นได้ชัดว่าสวี่หนิงเยี่ยนค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หลินอันมากขึ้น การค้นพบนี้ทำให้ฮว๋ายชิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายและอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก
“พระองค์เคยถามกระหม่อมไม่ใช่หรือว่าจะจัดการกับคดีนี้อย่างไร ที่ตอนนั้นกระหม่อมไม่ได้ทูลพระองค์ ก็เพราะกระหม่อมยังไม่มั่นใจนัก แต่ตอนนี้ อะไรที่ทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สวี่ชีอันชี้นำบทสนทนา ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหญิงทั้งสองทะเลาะกัน เมื่อเห็นว่ามันดึงดูดความสนใจของฮว๋ายชิ่งและหลินอันได้ เขาจึงยิ้มแล้วพูดต่อ
“ทีแรกข้ากังวลว่าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเอ้อร์หลางอย่างไรว่าเขาไม่ได้โกง จนต้องบีบเค้นสมองอย่างหนักหน่วง แต่ต่อมาก็ได้ค้นพบว่า เขาจะโกงหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย”
สวี่ซินเหนียนเป็นเพียงข้ออ้าง เหตุผล หรือมีดให้เหล่าข้าขุนนางบุ๋นเปิดฉากเดินหมากการเมือง
พูดอีกนัยหนึ่ง สวี่เอ้อร์หลางเป็นเพียงเครื่องสังเวยในเกมการเมืองเท่านั้น
ดังนั้น ปมของปัญหาและกุญแจสำคัญในการทำลายหมากตานี้คือคำว่า ‘การต่อสู้ทางการเมือง’ ต้องชนะในหมากตานี้เท่านั้น เอ้อร์หลางจึงจะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
มิฉะนั้น ชายหนุ่มผู้ไร้คนหนุนหลังในท้องพระโรงจะบริสุทธิ์หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าว “สิ่งที่เจ้าต้องทำคือหาผู้ช่วยให้เขา ผู้ช่วยที่สามารถเอาชนะสถานการณ์ในท้องพระโรงได้ ความยากมันอยู่ตรงนี้”
“ในฐานะบัณฑิตแห่งสำนักอวิ๋นลู่ เขาถูกลิขิตให้เป็นแหนไร้ราก เหล่าขุนนางทั้งหลายไม่ซ้ำเติมก็นับว่าโชคดีแล้ว ไม่มีทางยื่นมือมาช่วยเป็นแน่
“หากเว่ยกงจัดการ ขุนนางบุ๋นที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดเหล่านั้นก็จะเข้ามาผสมโรงด้วย ไม่มีใครอยากเห็นเว่ยกงและสำนักอวิ๋นลู่สร้างพันธมิตร สมุหราชเลขาธิการหวางเองก็คงไม่อาจมองเมินได้”
ฮว๋ายชิ่งเข้าใจความลับล้ำลึกภายในเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่กวนใจนางคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ผู้ช่วย’
หากไม่มีเว่ยเยวียน สวี่ชีอันจะหากองหนุนในท้องพระโรงที่ไหนมาต่อกรกับพวกเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย เจ้ากรมซุน เฉากั๋วกง รองเจ้ากรมทหาร
ความมั่นใจทั้งหมดของเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าเว่ยเยวียน
หมากตานี้จักรพรรดิหยวนจิ่งเป็นเพียงผู้ตัดสิน…ตราบใดที่เขาไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับเอ้อร์หลาง ข้าก็พอจัดการได้…สวี่ชีอันเอ่ยในใจ
…
เหล่าท่านทั้งหลายเข้าไปในตำหนักกระดิ่งทองและพากันนิ่งเงียบ รออยู่ประมาณหนึ่งเค่อ ก่อนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจะเสด็จตามมาอย่างเอ้อระเหย
จักรพรรดิเฒ่าผู้มีพระเกศากลับมาดกดำ สวมเสื้อคลุมของลัทธิเต๋าเรียบง่ายพร้อมด้วยแขนเสื้อที่พลิ้วไหว เหมือนกับนักพรตเต๋ามากกว่าจักรพรรดิ
หลังจากถวายรายงานตามปกติ เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาก็แสดงตัว กล่าวเสียงดังฟังชัด “กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็ค่อยๆ จดจ้องไปยังแผ่นหลังของชายในชุดเครื่องแบบสีแดง บรรยากาศในราชสำนักจากที่สงบนิ่งก็ปั่นป่วนราวกับกระแสน้ำวน
กระแสน้ำวนโหมกระหน่ำ และซัดสาดเหล่าข้าราชบริพารในท้องพระโรงอย่างรุนแรง
บทละครโหมโรงจบลง ม่านค่อยๆ เปิดออก
หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย และฉินหยวนเต้า รองเจ้ากรมกรมทหารผู้วางแผนเรื่องนี้มาดิบดี ค่อยๆ ยืดอกขึ้น แสดงท่าทีพร้อมชน และมั่นใจเสียเต็มประดา
ศาลต้าหลี่และกรมกองอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต่างยกมุมปากขึ้น ไม่เพียงแต่รอคอยละครที่กำลังจะเปิดฉาก แต่ยังอดรนทนไม่ไหวที่จะได้สะสางความแค้นกับสวี่ชีอันและเว่ยเยวียน
ฝ่ายปราชญ์มหาสำนักจ้าวถิงฟาง ผู้หัวเดียวกระเทียมลีบ ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่น
ในเวลาปกติเขาไม่เคยหวาดกลัวต่อการยั่วยุระหว่างพรรคพวก และไม่เคยเกรงกลัวรองเจ้ากรมทหาร เพียงแต่ตอนนี้รองเจ้ากรมทหารมาพร้อมกับ ‘แนวโน้ม’ ที่จะผูกมัดปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อและบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เข้าด้วยกัน หากจะล้างมลทินให้กับปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ ก็เท่ากับล้างมลทินให้กับสวี่ซินเหนียนไปด้วย ศัตรูมากเกินไป
พรรคพวกที่วางตัวเป็นกลางทั้งในและนอกตำหนักต่างเฝ้าดูเรื่องเด็ด พร้อมทั้งจับตาดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ หากเลือกข้าง ย่อมต้องเอนเอียงไปทางเจ้ากรมอาญา ไม่อาจเข้าข้างสำนักอวิ๋นลู่ได้
“จงว่ามา” จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ท่าทางองอาจ
“กระหม่อมได้สั่งให้มีการตรวจสอบปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ จ้าวถิงฟางรับสินบนเปิดเผยข้อสอบแก่ผู้สอบสวี่ซินเหนียน และบัดนี้ความจริงก็ได้ประจักษ์แล้ว ผู้สมรู้ร่วมคิดมีทั้งหมดสามคน ได้แก่สวี่ซินเหนียน บัณฑิตแห่งสำนักอวิ๋นลู่ จ้าวถิงฟาง ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ และพ่อบ้านที่เป็นคนกลาง
“นอกจากนี้ จากปากคำของสวี่ซินเหนียน เขาได้กระชับความสัมพันธ์กับปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ ผ่านสวี่ชีอันพี่ชายของตน”
เจ้ากรมซุนจบการถวายรายงาน
คำสารภาพที่เกี่ยวข้องถูกถวายต่อองค์จักรพรรดิเป็นเวลานาน แต่สิ่งที่จะหารือในท้องพระโรง ล้วนถูกถวายฎีกาล่วงหน้าหนึ่งวัน
หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย หันไปมองเว่ยเยวียนอย่างไร้ความรู้สึก
ขุนนางคนอื่นๆ ก็พากันมองเว่ยเยวียน เพื่อรอชมปฏิกิริยาและการตอบโต้ของเขา การกระทำของเจ้ากรมซุนในครั้งนี้ เป็นการลากเว่ยเยวียนเข้ามาพัวพันด้วย โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาลอยนวล
“ฝ่าบาทโปรดประทานพระกรุณา กระหม่อมมีเรื่องต้องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ผู้ตรวจการเฒ่าผู้มีผมหงอกขาวก็แสดงตัวออกมา คือจางสิงอิงผู้สร้างความดีความชอบใหญ่หลวงในอวิ๋นโจวนั่นเอง
คำตอบของจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จงว่ามา”
จางสิงอิงเหลือบมองเจ้ากรมซุนด้วยหางตาและพูดเสียงดัง “กระหม่อมขอฟ้องเจ้ากรมอาญาซุนหมิน โทษฐานใช้อำนาจในทางมิชอบ ทรมานคนบริสุทธิ์ให้รับสารภาพผิด ขอฝ่าบาททรงโปรดเกล้าฯ ให้ สามกรม[1]ร่วมกันดำเนินการไต่สวนคดีทุจริตการสอบเคอจวี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
นี่เป็นหนึ่งเคล็ดลับแห่งวงการขุนนาง การถ่วงเวลา!
ผลของลูกไม้นี้จะเป็นอย่างไร ก็สุดแท้แต่เจตนารมณ์ขององค์จักรพรรดิ
‘แค่นี้น่ะหรือ?’ เจ้ากรมซุนยิ้มเยาะและโต้กลับ “คดีนี้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรมอาญาและที่ว่าการเมืองร่วมกันสอบสวนแล้ว จะกล่าวหาว่าขู่เข็ญให้รับสารภาพผิดได้อย่างไร”
“นักโทษทั้งสามคนนั้นถูกคุมขังอยู่ จะถูกทรมานให้รับสารภาพจริงหรือไม่ หากฝ่าบาทรับสั่งให้คนไปตรวจสอบก็จะได้รู้กัน”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ ไม่ชายตามองผู้ตรวจการจางอีก และถามว่า “พวกเจ้าคิดว่าคดีนี้ควรจัดการอย่างไร”
จางสิงอิงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความผิดหวัง
เจ้ากรมซุนเหลือบมองผู้ตรวจการจางด้วยสายตาดูแคลนเล็กๆ ‘โต้ตอบได้กระจอกงอกง่อยขนาดนี้ คิดว่าจะยอมแพ้แล้วหรือ’
ในเวลาเดียวกันเจ้ากรมซุนก็อดผิดหวังไม่ได้ ท่าทีของฝ่าบาทนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง การเตะถ่วงใช้ไม่ได้ผลก็จริง แต่ก็ไม่เหลือช่องให้ปิดฉากคดีนี้ในทันที
ฝ่าบาททรงเปิดโอกาสให้เว่ยเยวียนและจ้าวถิงฟางสู้กลับ
แต่หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายผู้คิดจะลากเว่ยเยวียนเข้ามาพัวพันด้วยอยู่แล้ว ดวงตาก็ฉายแววเป็นประกาย เขาแสดงตัวทันทีและกล่าวว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าลักษณะของคดีนี้ร้ายแรงอย่างยิ่ง หากปล่อยไว้นานวันเข้า ราษฎรในเมืองหลวงทุกชนชั้นย่อมรู้โดยทั่วกัน เหล่าบัณฑิตจะขุ่นเคือง ประชาชนจะเคียดแค้น หากไม่จัดการอย่างเด็ดขาด คงไม่อาจดับไฟแค้นของปวงประชาได้แน่พ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะนั้นเอง ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็ออกมาแสดงตน ส่ายหน้าแล้วกล่าวทูล “สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ในการประลอง สร้างคุณูปการใหญ่หลวงครั้งใหม่ ไม่อาจเอาผิดได้”
คำกล่าวหาแทงใจดำของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ได้สร้างภาพลักษณ์ ‘สวี่ชีอันผู้หยิ่งผยอง’ ให้ประจักษ์แก่พระเนตรของจักรพรรดิหยวนจิ่ง และบรรดาขุนนางในท้องพระโรงทั้งหลาย
เมื่อทูลเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งย่อมต้องสั่งลงโทษเขาอย่างเสียไม่ได้ มิฉะนั้นก็จะเป็นการเห็นชอบกับพฤติกรรม ‘หยิ่งผยอง’ และสร้างแบบอย่างที่ไม่ดีแก่เหล่าขุนนางไปด้วย
พรรคพวกของจ้าวถิงฟางต่างทยอยออกมาคัดค้าน
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงรออยู่พักหนึ่ง ก็ต้องประหลาดใจ ที่เห็นเว่ยเยวียนไม่ยอมตอบสนอง ส่วนผู้ตรวจการที่อยู่ในบังคับบัญชาก็ยอมจำนนเสียแล้ว
‘นี่…เขาจะถอดใจกับสวี่ชีอันคนสนิทของตนแล้วหรือ’
สารพัดความคิดโผล่เข้ามาในหัวขุนนางในท้องพระโรง ลมค่อยๆ เปลี่ยนทิศทาง เหล่าขุนนางใกล้ชิดของเจ้ากรมปกครองต่างพากันกล่าวเป็นการหยั่งเชิง
“สิ่งที่ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่กล่าวนั้นเป็นความจริงอย่างยิ่ง คดีนี้ต้องได้รับการจัดการอย่างเด็ดขาด ไม่สามารถประนีประนอมได้ มิฉะนั้นราชสำนักก็จะเสื่อมเสียเกียรติ พระบารมีของฝ่าบาทก็จะสูญสิ้น”
เพียงชั่วขณะ ขุนนางใกล้ชิดหกคนก็เห็นดีเห็นงามไปกับความคิดของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่
รองเจ้ากรมทหารผู้เป็นหนึ่งในตัวการ แต่กลับไม่ปริปากพูดอะไร หันไปมองทางเฉากั๋วกง
เมื่อขุนนางบุ๋นได้แสดงจุดยืนกันแล้ว หากขุนนางระดับกงอย่างเฉากั๋วกงช่วยเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำยิ่งขึ้น ในท้องพระโรงก็จะเกิดความแข็งแกร่งชั้นยอด และฝ่าบาทก็จะไม่มีเหตุผลที่ต้องรั้นปะทะกับขุมพลังนี้ เพื่อปกป้องปราชญ์มหาสำนัก
สีหน้าไร้อารมณ์ของเฉากั๋วกง ดึงดูดสายตาขุนนางและชนชั้นสูงโดยรอบ
เฉากั๋วกงก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเติมเชื้อไฟให้กับ ‘คดีทุจริตการสอบเคอจวี่’ หากเขาออกหน้าแทนชนชั้นสูง เว่ยเยวียนผู้ซึ่งสูญเสียโอกาสและยากที่จะพลิกสถานการณ์ สำหรับเขา สวี่ซินเหนียนอาจไม่สลักสำคัญนัก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะทำให้เขาต้องเผชิญกับความร้าวฉานที่ไม่อาจแก้ไขได้กับสวี่ชีอัน คนสนิทของตน เหล่าขุนนางต่างคิดในใจ
หลังจากที่เฉากั๋วกงก้าวออกมา เขาก็ยืนข้างเจ้ากรมซุนและพูดว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมรู้สึกว่ากรมอาญาและที่ว่าการเมืองจัดการคดีนี้ได้สะเพร่าเกินไป ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อจ้าวถิงฟางเป็นคนใจซื่อมือสะอาด ชื่อเสียงเยี่ยมยอดมาโดยตลอด จะรับสินบนได้อย่างไร
“นอกจากนี้ แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะเป็นเพียงบัณฑิต แต่สำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่ได้มีฮุ่ยหยวนมานาน หากตัดสินคดีอย่างหุนหันพลันแล่น มีหรือปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักจะยอมรามือ”
คำพูดของเฉากั๋วกงนั้นสามารถตีความได้อย่างง่ายดายว่า สวี่ซินเหนียนเป็นลูกศิษย์คนโปรดของสำนักอวิ๋นลู่ จะตัดสินโทษเขา ต้องนึกถึงท่าทีของสำนักด้วย ไม่อาจตัดสินโทษหนักเกินไปได้
เจ้ากรมซุนคอแข็ง ค่อยๆ หันศีรษะทีละนิด จ้องมองเฉากั๋วกงอย่างไม่เชื่อสายตา
ใบหน้าของเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายและรองเจ้ากรมทหารเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนการยื่นฎีกากล่าวหา ทั้งสองมีแผนสมคบคิดร่วมกัน หลังจากนั้น เฉากั๋วกงได้เริ่มในการจุดไฟ รวบรวมขุนนางชนชั้นสูง คอยสนับสนุนพวกเขาทั้งสอง
หลายฝ่ายจึงเข้าใจไปโดยปริยาย ว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกัน
ตอนนี้ วินาทีนี้ หยวนสยงและฉินหยวนเต้ารู้สึกได้ถึงความโกรธแค้นที่ถูก ‘ปฏิวัติ’ หักหลัง
นี่มันเรื่องอะไรกัน?!
เหล่าท่านทั้งหลายในท้องพระโรงไม่อาจซุกซ่อนท่าทีตกตะลึงได้ เฉากั๋วกงแปรพักตร์แล้วหรือ แล้วการสุมเพลิงเมื่อครั้งก่อนนั่นจะมีหมายความอะไร…
ทันใดนั้น เหล่าขุนนางที่กำลังตกใจก็มองไปยังเว่ยเยวียน
ตั้งแต่เมื่อไร เว่ยเยวียนชักชวนเฉากั๋วกงมาเป็นพวกตั้งแต่เมื่อไร ไปสัญญาผลประโยชน์อะไรกันไว้
ขณะที่เหล่าขุนนางคาดเดากันไปต่างๆ นานา เว่ยเยวียนก็กลับมารู้สึกตัวและเหลือบมองที่เฉากั๋วกงด้วยความประหลาดใจ
เว่ยเยวียนดูประหลาดใจมาก เขาเองก็ไม่รู้เช่นกันหรือ…รายละเอียดดังกล่าวประจักษ์แก่สายตาทุกคู่ ทำให้เหล่าขุนนางใหญ่ต่างงุนงงจนพูดไม่ออก
สถานการณ์ในท้องพระโรงกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปชั่วขณะหนึ่ง
บรรดาขุนนางต่างตกอยู่ในความเงียบ ไม่รีบออกมาปฏิเสธโดยฉับพลัน แต่เลือกที่จะเฝ้าดูสถานการณ์แทน
ทว่ารองเจ้ากรมทหารไม่สามารถนิ่งเงียบได้ จึงเดินหน้าขึ้นมาสามก้าว และกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ฝ่าบาท คำพูดของเฉากั๋วกงนั้นฟังแล้วช่างน่าช้ำใจเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ ลองนึกภาพว่าหากสวี่ซินเหนียนได้รับโทษเพียงเล็กน้อยเพราะเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ราชวิทยาลัยหลวงจะรู้สึกอย่างไร ปัญญาชนใต้หล้าจะรู้สึกอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ
“ย้อนกลับไปเมื่อครั้งจักรพรรดิเหวินจู่ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง และกวาดล้างปัญญาชนจากสำนักอวิ๋นลู่ออกไปจากท้องพระโรงเพื่ออะไร ก็เพราะว่าปัญญาชนแห่งสำนักอวิ๋นลู่ไม่เห็นหัวจักรพรรดิ อ้างตำราล้มล้างกฎหมาย
“รองปราชญ์เอกเฉิงเคยสลักจารึกไว้ที่สำนักอวิ๋นลู่ว่า เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิในการยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม ชื่อเสียงและคุณงามความดีจะเป็นอมตะชั่วนิรันดร์ เป็นการบอกให้คนรุ่นหลังรู้ว่าจงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติเพียงไร”
“หรือทุกท่านอยากให้อดีตองค์จักรพรรดิต้องช้ำใจซ้ำไปซ้ำมาอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่พระเนตรทันที สลัดทิ้งท่าทีไม่ยี่หระ เปลี่ยนเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจเหลือล้น
ร้ายกาจ!
มุมปากของเจ้ากรมซุนและผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ยกขึ้นเล็กน้อย เคล็ดลับการเปลี่ยนแนวคิดนี้ช่างเยี่ยมยอด ราวกับการขีดเส้นแบ่งในท้องพระโรง ฝั่งหนึ่งคือปัญญาชนแห่งราชวิทยาลัยหลวง และอีกฝั่งหนึ่งคือสำนักอวิ๋นลู่
สงครามระหว่างสองสำนักขงจื๊อ จะเลือกข้างอย่างไร
หากมีขุนนางคนใดคิดจะออกหน้าแทนสวี่ซินเหนียน ก็ต้องนึกถึงสถานะของตนให้ถี่ถ้วน ต้องพิจารณาให้ดีว่าเพียงคำพูดคำเดียว จะตัดเส้นทางตนในท้องพระโรง จากเหล่าขุนนางใหญ่
หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายเกือบจะลูบเคราพลางหัวเราะเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้ว เว่ยเยวียนไม่พ้นต้องเข้ามาลงสนามเอง เพราะเรื่องบางเรื่องปัญญาชนไม่อาจพูดได้ แต่เขาซึ่งเป็นหัวหน้าขันทีสามารถพูดได้ เพราะเขาไม่ใช่ปัญญาชนที่มาจากการสอบเคอจวี่
หากเว่ยเยวียนลงสนามด้วยตนเอง สมุหราชเลขาธิการหวางจะมีสีหน้าเช่นไรหนอ แล้วเหล่าขุนนางบุ๋นผู้วางตัวเป็นกลางจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
การลากเว่ยเยวียนเข้ามาพัวพัน และเอาชนะด้วยกระแสส่วนใหญ่ ทำให้เขาต้องยอมประนีประนอม ถอนอำนาจบงการฝ่ายตรวจการ ถือเป็นแผนการในอนาคตอันใกล้ของเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย
“เฮอะ!”
ทันใดนั้น เสียงพ่นลมหายใจอย่างโกรธเคืองก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง
ทุกคนหันไปตามเสียง ที่แท้ก็เป็นอวี้อ๋องผู้ไร้ซึ่งตัวตนมาโดยตลอด ท่านอ๋องในชุดมังกรสีเหลืองเข้มก้าวออกมา ใบหน้าของเขาซีดเซียว ผมบริเวณขมับสองข้างขาวโพลน รอยตีนกาที่หางตาหยั่งลึก ทำให้ดูแก่ชราไปมาก
เมื่อเห็นเขาแสดงตัวออกมา ฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมทหารที่เมื่อครู่กำลังฮึกเหิมเต็มที่ ก็หัวใจหล่นวูบ
“ย้อนไปเมื่อสองร้อยปีก่อน ข้ายังไม่เคยได้ยินว่าปัญญาชนแห่งสำนักอวิ๋นลู่เคยคิดการใหญ่ลอบปลงพระชนม์องค์เหนือหัวเลย นี่น่ะหรือคือสิ่งที่ปัญญาชนแห่งราชวิทยาลัยหลวงเรียกว่าความภักดีต่อกษัตริย์และความรักชาติ”
อวี้อ๋องตะโกนดังลั่น “เจ้าเล่ห์นัก!”
จากนั้นเขาก็หันไปทางจักรพรรดิหยวนจิ่งและโค้งคำนับ “ฝ่าบาท ความจริงของคดีทุจริตการสอบเคอจวี่จะเป็นอย่างไร กระหม่อมไม่เคยสนใจ กระหม่อมเพียงแต่รู้สึกว่า ขุนนางกรมอาญาเอาแต่เสวยสุขจากตำแหน่งแต่กลับไร้ความสามารถ
“หากพวกเขาสืบสวนคดีเป็น ผิงหยางผู้น่าสงสารของข้าจะต้องมาตายด้วยความคับแค้นใจเช่นนี้หรือ หากไม่ได้ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลช่วยคลี่คลายคดี ป่านนี้ความแค้นก็คงยังไม่ได้สะสาง
“คดีทุจริตการสอบเคอจวี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมหวังว่าพระองค์จะทรงพิจารณาคดีนี้อีกครั้ง โดยให้สามกองร่วมพิจารณาคดีกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว ลังเลอยู่นาน
อวี้อ๋องร่ำไห้คร่ำครวญทันที “ฝ่าบาท ผิงหยางผู้น่าสงสารของข้า…”
ไร้ยางอาย!
ใบหน้าของเจ้ากรมซุน ผุ้บัญชาการศาลต้าหลี่ เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย รองเจ้ากรมทหารและคนอื่นๆ ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีกันหมด คดีท่านหญิงผิงหยางเป็นดั่งเสี้ยนหนามตำใจของขุนนางบุ๋นและจักรพรรดิหยวนจิ่ง
รองเจ้ากรมทหารเพ็ดทูลกับจักรพรรดิหยวนจิ่งว่าปัญญาชนสำนักอวิ๋นลู่เป็นพวกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ตอนนี้อวี้อ๋องกำลังทูลจักรพรรดิหยวนจิ่งว่าปัญญาชนมีเจตนาจะวางแผนปลงพระชนม์เชื้อพระวงศ์ ซ้ำยังเตรียมพร้อมจะดำเนินการแล้ว
เว่ยเยวียนแอบหัวเราะในใจ เขาคาดการไว้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะขอความช่วยเหลือจากอวี้อ๋องได้ แต่เขาพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าเหตุใดเฉากั๋วกงจึงเปลี่ยนข้าง แต่ตอนนี้เขายังยืนยันไม่ได้
แม้ว่าสวี่หนิงเหยี่ยนจะไม่เก่งเรื่องลูกไม้ในวงการขุนนาง แต่เขาเป็นคนเจ้าปัญญา มองสถานการณ์เฉียบขาด
ตอนนี้เฉากั๋วกงและขุนนางคนอื่นๆ ได้รวมตัวกันเผชิญหน้ากับขุนนางบุ๋น
สมุหราชเลขาธิการหวางมองการต่อสู้จากข้างสนามอย่างเฉยเมย แต่กลับรู้สึกแปลกใจเล็กๆ สถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างชนชั้นสูงและขุนนางตรงหน้าเป็นสิ่งที่เขานั้นคาดไม่ถึง
เฉากั๋วกงและอวี้อ๋องไม่ใช่พันธมิตรกัน และทั้งสองก็ไม่ใช่พันธมิตรของเว่ยเยวียนเช่นกัน แต่การที่ทั้งคู่หันมาร่วมมือกันนั้นก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันแน่
ผู้ที่บงการเบื้องหลังรู้ดีว่าศัตรูของตนเป็นใคร และจากนี้ไปก็จะพัฒนากลยุทธ์ขึ้น เพื่อเฟ้นหากองกำลังที่สามารถงัดข้อกับ ‘ศัตรู’ ผู้นั้นได้
‘อวี้อ๋อง…คดีท่านหญิงผิงหยาง…ที่แท้ก็เป็นเขาเองหรือ?!’ สมมติฐานหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของสมุหราชเลขาธิการหวาง สีหน้าของเขาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
สถานการณ์พลิกผันอย่างรวดเร็ว เจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ หัวใจหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง หากคดีถูกพิจารณาใหม่อีกครั้ง และมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แผนการทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
ในท้ายที่สุดจะมีการทะเลาะวิวาทกันหลายฝ่ายและสถานการณ์การหยุดชะงัก
แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะไม่สามารถเข้าร่วมการสอบต่อหน้าพระที่นั่งได้ด้วยเหตุนี้ แต่ใครมันจะสนล่ะว่าฮุ่ยหยวนคนหนึ่งจะเข้าร่วมสอบได้หรือไม่
…………………………………………………………..
[1] 三司 เป็นคำเรียกขุนนางชั้นสูงสุดสามตำแหน่งในจีนโบราณ เรียกว่า 三公 (ซันกง) ก็ได้ ได้แก่
ซือหม่า (司馬; “ผู้ดูแลอาชา”) คือ เจ้ากรมกลาโหม
ซือถู (司徒; “ผู้ดูแลศิษย์”) คือ เจ้ากรมการศึกษา
ซือคง (司空; “ผู้ดูแลสุญตา”) คือ เจ้ากรมโยธา