หานลี่กลับยิ้มอย่างเย็นชา เขาที่ใช้เคล็ดวิชาลวงตาปกปิดใบหน้า ขอเพียงแปลงรูปลักษณ์กลับไปเป็นของตนเองดังเดิม จะมีผู้ใดจำเขาได้อีก 

 

 

ต่อให้หนึ่งในนั้นเป็นผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาวิเศษ แต่มากที่สุดก็แค่ดูออกว่าใบหน้าของเขาไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงเท่านั้น 

 

 

ถึงอย่างไรเสียต้วนเทียนเหริ่นที่อยู่ในระดับหลอมร่างขั้นสุด ซึ่งเผชิญหน้ากับเขาก่อนหน้านี้ก็ยังทำได้เพียงเท่านั้น ผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดในหอเหล่านี้ย่อมไม่มีทางสนใจของเหลวเพลิงสวรรค์มีตำหนิขวดนี้แน่ 

 

 

ทว่าหลังจากที่หานลี่นั่งลงที่เดิม ก็หลับตาทั้งสองข้างลง ราวกับว่าไม่สนใจการประมูลต่อจากนี้อีก 

 

 

การประมูลต่อจากนี้ดำเนินการไปอย่างราบรื่นโดยมีเซียวปู้อีเป็นผู้ดำเนินการ แม้กระทั่งมีสินค้าอีกสองชิ้นที่ราคาไม่ด้อยไปกว่าของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ 

 

 

หนึ่งในนั้นคือสมบัติวิเศษอย่าง ‘หอยหมื่นอสูร’ ที่หลงเหลือมาจากสมัยโบราณ แม้ว่าอานุภาพจะไม่ถึงขั้นสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้า แต่เมื่อสมบัติชิ้นนี้ถูกกระตุ้นกลับมีอานุภาพในการทำให้อสูรวิญญาณระดับต่ำในบริเวณรอบเชื่อฟัง 

 

 

อีกชิ้นคือ ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ ที่หานลี่นำออกมา 

 

 

ตอนนั้นที่ยาลูกกลอนปรากฎขึ้นบนเวที และถูกเซียวปู้อีอธิบายสรรพคุณที่น่าตกตะลึงนั้น ชั่วขณะนั้นพลันดึงดูดความสนใจของผู้คนในหอยกใหญ่ 

 

 

ยาลูกกลอนที่สามารถเพิ่มพลังปราณรวมทั้งทลายจุดคอขวดได้นั้น ไม่เคยมีใครรังเกียจมาก่อน 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นยาลูกกลอนระดับนี้ เคยปรากฎตัวในงานประมูลแค่ไม่กี่ครั้ง เมื่อปรากฎออกมาก็ทำให้การประมูลเป็นไปอย่างดุเดือด 

 

 

แม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าหลอมสูญ ก็ทยอยกันแย่งชิงสุดชีวิต 

 

 

สำหรับพวกเขาแล้ว ย่อมต้องเก็บยาลูกกลอนระดับนี้ไปไว้ใช้ในภายหลัง ไม่มีทางพลาดโอกาสงาม ๆ นี้ไปแน่ 

 

 

ส่วนชนต่างเผ่าระดับหลอมสูญที่แต่เดิมขาดแคลนยาลูกกลอนและเผชิญหน้ากับจุดคอขวดนั้น ยิ่งจ้องยาลูกกลอนบนเวทีเขม็ง ไม่มีท่าทีจะยอมถอยให้เลยสักนิด มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าในงานประมูลครั้งต่อไปจะมียาลูกกลอนระดับหลอมสูญปรากฎขึ้นอีกหรือไม่  

 

 

หลังจากที่ราคาเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสุดท้าย ‘ยาลูกกลอนมังกรทะยาน’ ขวดนี้ของหานลี่ก็ถูกประมูลไปในราคาหกสิบสามล้าน สูงกว่าราคาของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ของหานลี่ 

 

 

คาดไม่ถึงว่ายาลูกกลอนชนิดนี้ยังตกไปอยู่ในมือของหญิงสาวระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่แย่งชิงของเหลวเพลิงสวรรค์กับหานลี่ แน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้ย่อมใช้ยาลูกกลอนชนิดนี้ไม่ได้ แต่กว่าครึ่งคงเตรียมเอาไว้ให้ผู้น้อย 

 

 

แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ผู้ที่อยู่ชั้นสองของหอ ล้วนลอบทอดถอนใจกันไม่หยุด 

 

 

และเมื่อหานลี่ได้ยินราคาการประมูลครั้งสุดท้าย ก็หัวเราะอย่างขมขื่นในใจไม่หยุดเช่นกัน 

 

 

เขาไม่ได้ไม่พอใจราคาของการประมูล แต่แค่คำนวณยาลูกกลอนมังกรทะยานที่ตนเองกินเข้าไปเมื่อสองปีก่อน หากนำมาแลกเป็นราคานี้ล่ะก็ จะเป็นจำนวนศิลาวิญญาณที่น่าตกตะลึง 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นสองสามร้อยปีต่อจากนี้ เกรงว่าคงต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป เรียกได้ว่าถังแตก! 

 

 

แต่จะว่าไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะกินยาชนิดต่าง ๆ เข้าไปเพื่อเพิ่มพลังยุทธ์ จากคุณสมบัติของเขาที่ไม่อาจบรรลุจุดคอขวดได้มากนัก จะพัฒนาจากระดับเทพแปลงขั้นต้นขึ้นมาอยู่ในระดับหลอมสูญในเวลาเพียงสองสามร้อยปีได้อย่างไร 

 

 

นี่คือสาเหตุที่หานลี่มองว่าขวดลึกลับมีมูลค่ามากกว่าสมบัติสวรรค์ทมิฬอีกชิ้น 

 

 

มีสมบัติสวรรค์ทมิฬชิ้นนั้นที่แปลงเป็นสมบัติกระบี่ เขาอาจจะไร้เทียมทานในแดนวิญญาณ แต่หากไม่มีขวดเล็ก ๆ ลึกลับขวดนั้น เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ได้ 

 

 

ในยามที่ม่านตาของหานลี่ปิดลง อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่นั้น งานประมูลก็ประมูลสมบัติออกไปสิบกว่ากลุ่ม ในที่สุดก็มาถึงจุดสำคัญ 

 

 

มองเห็นหุ่นเชิดสีฟ้าเข้มตัวหนึ่งบนเวทีถูกผู้ชนะการประมูลนำตัวไป แววตาของเซียวปู้อีก็กวาดไปรอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น 

 

 

“คิดดูแล้วสหายจำนวนไม่น้อยคงร้อนใจแล้ว จากนี้จะเป็นการประมูลสินค้าในรายการสุดท้ายที่ตั้งใจเลือกเฟ้นมา สองชิ้นในนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่สี่เผ่าของพวกเรานำออกมาอีกสองชิ้นเป็นของล้ำค่าที่สหายคนอื่นเสนอเข้ามา” 

 

 

ยามที่เซียวปู้อีพูดนั้น เขตอาคมส่งตัวบนเวทีก็มีลำแสงประหลาดไหลวนโคจร เงาร่างคนพลิ้วไหวปรากฎเป็นเงาร่างคนอีกสี่สายขึ้น 

 

 

ชายชราเครายาวตัวเตี้ยคนหนึ่ง นักรบชุดเกราะร่างสูงใหญ่สวมหน้ากากสีทองคนหนึ่ง หญิงอัปลักษณ์ร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียวมรกตคนหนึ่ง รวมไปถึงคนประหลาดผิวดำสนิทที่มีหัวสองหัว 

 

 

แม้ว่าสี่คนนี้จะมีหน้าตาแตกต่างกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของคนจำนวนมากใต้เวที กลับมีท่าทีสบาย ๆ ราวกับไม่ใคร่ใส่ใจอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

ส่วนชนต่างเผ่าที่นั่งอยู่ใต้เวทีในหอ เมื่อเห็นทั้งสี่คนกลับอดที่จะสูดลมหายใจเฮือกไม่ได้ จากนั้นสหายสนิทที่อยู่ในบริเวณนั้นก็สุมหัวซุบซิบกันระลอกหนึ่ง 

 

 

“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุโสทั้งสี่!” 

 

 

“นั่นน่ะสิ ทั้งสี่เป็นแขกผู้มีเกียรติของเมืองเมฆาของเรา! คิดไม่ถึงว่างานประมูลครั้งนี้จะเชิญพวกเขามา” 

 

 

ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสี่คนปรากฎตัวขึ้นบนเวที หานลี่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รู้สึกใจหายวาบเช่นเดียวกัน 

 

 

ชนต่างเผ่าทั้งสี่ที่ปรากฎตัวขึ้นใหม่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้มีชีวิตระดับหลอมร่างขั้นกลางทั้งสี่คน มิน่าล่ะถึงได้โกลาหลวุ่นวายถึงเพียงนี้ 

 

 

เซียวปู้อีเห็นทั้งสี่คนปรากฎกาย ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา ในเวลาเดียวกันก็ประสานกำปั้นไปทางทั้งสี่คนแล้วเอ่ยทักทายปราศรัย 

 

 

“ครั้งนี้ต้องรบกวนสหายทั้งสี่แล้ว!” 

 

 

“ไม่เป็นไร ในเมื่อพวกเราทั้งสี่ได้ค่าตอบแทน แค่นี้นับว่าเล็กน้อยมาก!” ชายชราเครายาวผู้นั้นหัวเราะตอบกลับด้วยเสียงต่ำ 

 

 

ผู้ทั้งสามที่เหลือกลับเผยสีหน้าเรียบเฉยให้เซียวปู้อี เพียงตอบกลับพอเป็นพิธีไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดอีก 

 

 

เซียวปู้อีไม่มีท่าทีแปลกใจกับสิ่งนี้ หลังพยักหน้าก็หันกายมาเอ่ยกับต่อว่า  

 

 

“สินค้าในรายการสุดท้ายในครั้งนี้มีเพียงสี่ชิ้น แต่ประกอบไปด้วยอสูรวิญญาณ วัตถุดิบ และสมบัติวิญญาณ ไม่มีทางทำให้ทุกท่านผิดหวังแน่ พี่หลัน เชิญท่านหยิบของออกมาก่อนเถิด” หลังจากเอ่ยจบ เซียวปู้อีก็หันกลับไปเอ่ยกับชายชรา  

 

 

ชายชราเครายาวพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ หลังจากเสียงประหลาดกึก ๆ ดังขึ้น ก็มีของสิ่งหนึ่งบินออกมา 

 

 

เป็นถุงหนังสีดำสนิทใบหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือ ไม่สะดุดตาเลยสักนิด 

 

 

แต่เมื่อชายชราเผชิญหน้ากับถุงใบนี้กลับดูเหมือนจะมิกล้าดูแคลน ในเวลาเดียวกันปากก็บริกรรมคาถา มือหนึ่งชี้ไปกลางอากาศต่อเนื่องสองสามครั้ง 

 

 

ผิวของถุงหนังสีดำมีลำแสงสีดำไหลโคจรไปมา ฉับพลันก็พ่นหมอกสีดำออกมา จากนั้นหมอกก็เริ่มหมุนวนและพองขึ้น ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นกรงสีดำสูงสองสามจั้งกรงหนึ่ง 

 

 

ในกรงกลับมีอสูรน้อยสีม่วงตัวหนึ่งขดตัวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นผิวหนังของมันยังถูกโซ่สีทองเงินพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะมือและเท้าขดอยู่กับร่างกาย เมื่อมองจากที่ไกล ๆ จึงราวกับก้อนขนขนาดใหญ่อย่างไรอย่างนั้น จนมองร่างเดิมไม่ออก 

 

 

ยามนี้สายตาของชนต่างเผ่าทั้งหมดรวมทั้งหานลี่ล้วนจับจ้องไปที่อสูรตัวนั้น 

 

 

พวกเขาต่างรู้ดี อสูรวิญญาณที่นำมาประมูลในรายการสุดท้ายได้นั้นต้องไม่ธรรมดา ต้องเข้าใจว่าหุ่นเชิดสะท้านฟ้าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นที่สี่ก่อนหน้านี้ ยังไม่จัดอยู่ในรายการสุดท้ายเลย  

 

 

หรือว่าอสูรวิญญาณตัวนี้มีพละกำลังในระดับศักดิ์สิทธิ์ 

 

 

ทุกคนต่างมีความคิดฉายแวบผ่านไป มองแววตาของอสูรตัวน้อยตรงหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง 

 

 

เห็นได้ชัดว่ากรงสีดำมีเชื่อเสียงมาก แม้จิตสัมผัสของคนจำนวนมากจะกวาดไปพร้อมกัน และมองเห็นอสูรน้อยในกรงได้อย่างชัดเจน แต่กลับถูกลำแสงสีดำอ่อนที่แผ่ออกมาจากกรงดีดออกมาเบา ๆ ไม่อาจรุกรานเข้าไปได้ 

 

 

“หึ ๆ ดูแล้วสหายส่วนใหญ่คงรอไม่ไหวแล้ว พี่หลัน เจ้าแนะนำประวัติความเป็นมาของอสูรตัวนี้ด้วยตนเองเถิด” เซียวปู้อีเห็นเช่นนั้น พลันเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ ออกมา 

 

 

“พูดได้ดี ๆ ประวัติความเป็นมาของอสูรตัวนี้ ข้าก็รู้มาไม่มากนัก ทว่าหากกล่าวถึงแปดอสูรวิเศษจิตวิญญาณเที่ยงแท้ในแดนวิญญาณ คิดดูว่าคงรู้จักกันไม่น้อยสินะ” ชายชราลูบเครายาว ๆ ของตนเองพลางส่ายศีรษะไปยามเอื้อนเอ่ย 

 

 

“อะไรนะ แปดอสูรวิเศษ หรือว่าอสูรตัวนี้คือหนึ่งในสี่มหาอสูรวิเศษ!” 

 

 

“ปัง” เสียงดังขึ้น ชั่วขณะนั้นทั้งหอพลันมีเสียงคึกคักดังขึ้น แม้แต่ห้องหินของชั้นสาม ผู้ที่มีกลิ่นอายน่าตกตะลึงจำนวนไม่น้อยก็ไม่อาจควบคุมกลิ่นอายของตนได้ 

 

 

“เหล่าสหายเข้าใจผิดแล้ว แปดอสูรวิเศษของแดนวิญญาณเป็นอสูรระดับใด แม้ว่ากำลังกายจะไม่เท่าจิตวิญญาณเที่ยงแท้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์จะจับกุมได้ ความจริงแล้วอสูรวิญญาณในกรงเป็นลูกหลานที่สืบทอดสายโลหิตกว่าครึ่งมาจาก ‘มังกรวารีหน้ามนุษย์’ หนึ่งในแปดอสูรวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นเลือดผสม แต่เพราะมีโลหิตของหน้ามนุษย์จิ้งจอกผสมอยู่เป็นจำนวนมาก หากเลี้ยงดูดี ๆ วันข้างหน้าเติบโตขึ้นมันจะกลายเป็นหน้ามนุษย์จิ้งจอกที่แท้จริงที่อยู่ในระดับที่น่ากลัว อสูรตัวนี้พวกเราได้ตรวจสอบมาแล้ว น่าจะมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่กลิ่นอายบนร่างกลับไม่ด้อยไปกว่าระดับเผ่าเบื้องบนขั้นต้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ อสูรทารกตัวนี้เริ่มมีความสามารถในการแปลงหน้าเป็นมนุษย์จิ้งจอกสองสามหน้าแล้ว แม้แต่เผ่าศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเรา หากไม่ร่วมมือกันหลาย ๆ คน ก็ไม่อาจจับเป็นอสูรตัวนี้ได้ ใช่แล้ว ลืมบอกเหล่าสหายไป อสูรตัวนี้คือสิ่งที่พวกเราสี่คนร่วมมือกันจับเอาไว้” ชายชราหัวเราะหึ ๆ เสียงต่ำ จากนั้นก็ตะปบมือไปทางกรงสีดำกลางอากาศ 

 

 

เสียง “ปัง” ดังขึ้น โซ่สีทองเงินที่รัดอสูรตัวน้อยเอาไว้พลันคลายตัวออก ในเวลาเดียวกันก็กลายเป็นลำแสงบาง ๆ สีทองเงินสายหนึ่งบินออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ ก็ร่อนลงมาในมือของชายชรา 

 

 

ในหอตกอยู่ในความเงียบสงัด 

 

 

ทุกคนล้วนอยากเห็นว่าอสูรวิเศษที่สืบทอดสายเลือดจากมังกรวารีหน้ามนุษย์จะมีหน้าตาเช่นไร 

 

 

เมื่อพันธนาการบนร่างหายไป ร่างของอสูรน้อยพลันสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะไม่หยัดกายลุกขึ้นในทันที ทั้งยังนอนในมุมหนึ่งของกรงโดยไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

เมื่อเห็นเช่นนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็อดสบตากันไปมามิได้ 

 

 

ทว่าครู่ต่อมาในกรงพลันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 

 

 

หลังจากเสียง “ตูม” ดังขึ้น ลำแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากผิวหนังของอสูร ลำแสงเจิดจ้าเป็นอย่างมาก ผู้คนที่จับจ้องไปยังกรงทั้งหมดก็อดจะหลับตาลงมิได้ 

 

 

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ ไม่ได้หลับตาทั้งสองข้างลงสนิท 

 

 

“เอ๋”  

 

 

เป็นไปไม่ได้ 

 

 

“อสูรตัวนั้นล่ะ!” 

 

 

ชนต่างเผ่าใต้เวทีลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความวุุ่นวาย คนจำนวนไม่น้อยเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา 

 

 

เห็นเพียงกรงเหล็กสีดำบนเวทีว่างเปล่า ไหนเลยจะมีร่องรอยของอสูรน้อยตัวนั้น 

 

 

แต่คนบนเวทีพลันมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ชายชราผู้นั้นแค่นเสียงหึออกมา แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ 

 

 

“จนถึงครานี้ คาดไม่ถึงว่าจะยังกล้าเล่นกลอีก ดูแล้วระหว่างทางคงยังไม่จำสินะ” 

 

 

ไม่ทันสิ้นเสียง ชายชราก็ชูมือขึ้น ยื่นนิ้วหนา ๆ ออกไปนิ้วหนึ่ง ดีดไปทางกรงสีดำ