ภาคที่ 4 ตอนที่ 80 ตั้งใจยื่นมือตบคนสำนึกผิด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ไม่ยื่นมือตบหน้าคนสำนึกผิด นี่คือกฎที่ผู้ใหญ่ล้วนเข้าใจ ไม่ว่าในใจเคียดแค้นเกลียดชังคนผู้หนึ่งมากเท่าไร ฉากหน้ากลับต้องผ่านไปให้ได้

 

 

เป็นคนต้องไว้หน้ากันบ้าง วันหน้าถึงสะดวกพบกันใหม่ ดังนั้นไม่ว่าในที่ลับสู้กันรุนแรงอย่างไร ในราชสำนักพบหน้าล้วนต้องนิ่งสงบใจเป็นมิตร

 

 

ก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา แล้วก็ไม่ใช่คนบุ่มบ่ามไร้สมองเสียหน่อย คำบางคำเรื่องบางเรื่องตามองออกก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมา เอ่ยออกมาไยไม่ใช่ทำให้ตนเองกระอักกระอ่วนแล้ว?

 

 

แต่นาทีนี้เวลานี้ทุกคนรู้สึกว่าบางครั้งถูกเด็กน้อยหรือคนบุ่มบ่ามตั้งคำถามอย่างไร้สมองเช่นนี้ ฝ่ายที่กระอักกระอ่วนไม่แน่ว่าจะเป็นคนถามคำถาม คนที่ถูกถามก็กระอักกระอ่วนอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

ใครจะคิดว่าเฉิงกั๋วกงที่สุขุมมาตลอดจะถามประโยคเช่นนี้ออกมาได้?

 

 

สุขุม?

 

 

ก็แค่ภาพที่เสแสร้งทำ ดูจากที่ถามได้ตรงไปตรงมา ทั้งยังถามได้โหดร้ายนี่

 

 

เขาก็จะฉีกหน้ากากแล้วรึ

 

 

หลังความเงียบประหลาดพักหนึ่ง หวงเฉิงพลันยิ้ม

 

 

“ท่านกั๋วกงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ย “แม้ข้าอยากให้นี่เป็นแผนของข้ายิ่งนัก แต่จนปัญญาที่ใจหวังแต่กำลังไม่พอ”

 

 

คำนี้ตอบอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็ตรงไปตรงมาไม่ปิดบังเจตนาร้ายเช่นกัน

 

 

สองคนที่ประจันหน้ากันล้วนสวมชุดสีแดงม่วงของขุนนางใหญ่ตำแหน่งสูง สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนมีมารยาท ทว่าวาจาที่เอ่ยกลับดั่งคมดาบเงาโลหิต ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นล้วนอดไม่ได้กลั้นลมหายใจ

 

 

เฉิงกั๋วกงก็ยิ้มด้วยแล้ว

 

 

“ท่านไม่มีกำลังเช่นนี้จริงๆ” เขาเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าหวงยังฉลาดดีที่รู้ตัว”

 

 

หวงเฉิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ขอบคุณท่านกั๋วกงที่เอ่ยชม” เขาประสานมือเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงคำนับคืนแล้วยื่นมืออีกครั้ง

 

 

“ใต้เท้าหวงเชิญ” เขาเอ่ย

 

 

หวงเฉิงก็ไม่ได้เอ่ยคำตามมารยาทอีก

 

 

“ท่านกั๋วกงเชิญ” เขาก้าวเท้าพลางเอ่ยบ้าง

 

 

ทั้งสองคนอมยิ้มเดินเคียงไหล่กันออกไปท่ามกลางสายตาของผู้คน

 

 

คนที่เหลือยู่สบตากันทีหนึ่ง แววตาสีหน้าซับซ้อน ต่างคนมีสิ่งที่อยู่ในใจติดตามไป

 

 

เพิ่งเดินมาไม่ได้กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเสียงวุ่นวายเสียงเอะอะพักหนึ่ง ชาวบ้านไม่น้อยกว่าหลายร้อยปรากฏตัวบนถนนนเสด็จพระราชดำเนิน บุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนมีทั้งสิ้น ดูไปแล้วกระตือรือร้นยิ่งนัก

 

 

เป็นชาวบ้านที่ชมเรื่องสนุกยังไม่สลายตัวไปหรือว่า…

 

 

บรรดาขุนนางความคิดเพิ่งแล่นผ่านไป ก็ได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นส่งเสียงตะโกนกึกก้อง

 

 

“เฉิงกั๋วกง!”

 

 

“เฉิงกั๋วกงเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีก!”

 

 

อีกแล้ว?

 

 

ยังไม่จบ?

 

 

ที่แท้จัดคนไว้เท่าไรกัน?

 

 

ขุนนางทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง ฮ่องเต้ล้วนพระราชทานรางวัลให้เข้าเฝ้าแล้ว ก่อเรื่องกับเฉิงกั๋วกงอีกก็ไม่เหมาะสมแล้วกระมัง? อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่เหมาะสม

 

 

ในดวงตาของหวงเฉิงความประหลาดใจเบาบางแล่นผ่านไปเช่นกัน

 

 

“พวกเราไม่ได้จัดการนะขอรับ” ขุนนางเอ่ยกระซิบริมหูเขา บนหน้าท่าทางคลางแคลงอยู่บ้างแล้วยังคาดเดาบางอย่าง “บางทีอาจเป็นพ่อค้าพวกนั้นไม่ยอม”

 

 

หวงเฉิงร้องอ้อ มองคนที่รุมล้อมโวยวายอยู่แล้วเผยหน้ายิ้ม

 

 

“ท่านกั๋วกง ท่านดูสิ นี่ลำบากจริงๆ นะ” เขาหันหน้าไปมองเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยขึ้น “หัวใจประชาชนย่อมมีความยุติธรรม ไม่ใช่ใครคิดควบคุมก็ควบคุมได้”

 

 

เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน

 

 

“ใต้เท้าหวงยังเชื่อในความยุติธรรมรึ?” เขาเอ่ย “หายากจริงๆ”

 

 

หน้าเนื้อใจเสือจริงๆ ดูสิดูคำที่เขาพูดล้วนเป็นคำอะไร มิน่าถึงให้กำเนิดจูจั้นอันธพาลสารเลวเช่นนั้นได้!

 

 

บรรดาขุนนางข้างกายหวงเฉิงพากันดวงตาโกรธแค้น

 

 

“ท่านกั๋วกง ระวังความเหมาะสมด้วย” พวกเขาเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงย่อมมีคนสนิทด้วยเช่นกัน

 

 

“คำนี้ท่านกั๋วกงพูดได้ดียิ่งทำไมเล่า?” ขุนนางฝ่ายทหารหลายคนเอ่ยขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “หรือใต้เท้าหวงไม่เชื่อในความยุติธรรมรึ?”

 

 

สองฝ่ายต่างถลึงตาจะโต้เถียงกันกลับเห็นเฉิงกั๋วกงเดินตรงไปหาชาวบ้านที่ถูกทหารองครักษ์ขวางไว้นั่นแล้ว

 

 

“โอ๊ะ รีบไปปกป้องเถอะ อย่าให้ถูกประชาชนตีเข้าจะไม่น่าดูแล้ว” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

 

 

“ท่านกั๋วกงร้ายกาจเช่นนี้ บางทีอาจทำร้ายประชาชนก็ได้นะ” มีคนเอ่ยอย่างมีเลศนัย

 

 

หลังจากนั้นทุกคนล้วนหัวเราะ

 

 

“ใครตีใครก็ไม่น่าดู”

 

 

ขุนนางทหารหลายไม่สนใจพวกเขาอีก รีบติดตามเฉิงกั๋วกงไป ในใจก็กังวลอยู่บ้าง

 

 

บางครั้งประชาชนก่อเรื่องก็จัดการไม่ง่ายจริงๆ

 

 

“ท่านกั๋วกง…” พวกเขาต้องการห้าม

 

 

แต่เฉิงกั๋วกงยืนอยู่ตรงหน้าชาวบ้านแล้ว

 

 

“ทำไมข้ากลับมาไม่ได้เล่า?” เขาเอ่ยถาม

 

 

ถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้อีกแล้ว

 

 

ในใจเฉิงกั๋วกงคงโกรธอยู่สินะ? โกรธกระฟัดกระเฟียดประหนึ่งเด็กน้อย

 

 

รอยยิ้มบนหน้าพวกหวงเฉิงด้านหลังยิ่งกดลึก

 

 

“เพราะท่านรบแพ้ชาวจิน”

 

 

“ท่านทรยศความคาดหวังของพวกเรา”

 

 

“พวกเราเป็นคนแดนเหนือ พวกเราต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนล้วนเพราะท่าน!”

 

 

“ท่านอาศัยอะไรยังจะขอรางวัล?”

 

 

ชาวบ้านทั้งหลายตะโกนสับสนวุ่นวาย สีหน้าโกรธเกรี้ยวเดือดดาลแห่เข้ามา บรรดาทหารองครักษ์ไม่อาจไม่สะบัดดาบข้างเอวเตือน

 

 

“พวกเจ้าผิดแล้ว” เฉิงกั๋วกงยังคงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน มองชาวบ้านทั้งหลายแล้วส่ายศีรษะ “นี่ไม่ใช่ความผิดของข้า”

 

 

บรรดาขุนนางด้านหลังแค่นเสียงหัวเราะ

 

 

“เขาว่าไม่ใช่ประชาชนก็เชื่อรึ?” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

 

 

ประชาชนทั้งหลายฝั่งนั้นโวยวายไม่หยุด

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเป็นความผิดของใครเล่า?” พวกเขาตะโกนวุ่นวาย

 

 

“ข้าไม่ได้รบแพ้ชาวจิน แต่ข้าถูกสั่งไม่ให้รบต่อ” เฉิงกั๋วกงมองพวกเขา “ส่วนที่พวกเจ้าต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน ก็เพราะแผ่นดินเกิดของพวกเจ้าถูกยกให้ และทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำ ดังนั้นไม่ใช่ความผิดของข้า”

 

 

ได้ยินคำนี้หวงเฉิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ยังไม่ทันพูดก็เห็นเฉิงกั๋วกงหมุนตัวยื่นมือชี้มาหาเขา

 

 

“เขา” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ใต้เท้าหวงหวงเฉิงต้องการเจรจาสงบศึก เป็นเขาไม่ให้ข้ารบกับชาวจิน แล้วก็เป็นเขาที่มอบแผ่นดินบ้านเกิดของพวกเจ้าไป”

 

 

คุณพระ!

 

 

นี่ยังเป็นคนอยู่ไหม?

 

 

คำพูดนี้เอ่ยออกมาได้อย่างไร?

 

 

นี่มันยื่นมือตบคนสำนึกผิดแท้ๆ เชียว! ตบได้เด็ดขาดฉับไว!

 

 

บรรดาขุนนางทั้งหมดล้วนตะลึงงัน ชั่วขณะหนึ่งล้วนตอบสนองไม่ทัน

 

 

ประชาชนทั้งหลายกลับคิดตามได้ทันที

 

 

”หวงเฉิงต้องการเจรจาสงบศึก!”

 

 

“มหาบัณฑิตหวงเฉิง!”

 

 

“ไม่ผิด เขาทำ!”

 

 

“เขาทำให้พวกเราเสียบ้านเกิด เขาทำให้พวกเราระหกระเหินเร่ร่อน!”

 

 

“เฉิงกั๋วกงไม่ได้ทรยศพวกเรา หวงเฉิงทอดทิ้งพวกเรา!”

 

 

“หวงเฉิงมีความผิด!”

 

 

เสียงตะโกนวุ่นวายดังขึ้น ประหนึ่งลมสลาตันห่าฝนจู่โจมมา

 

 

เหล่าขุนนางในที่สุดก็ได้สติกลับมา ทั้งงุนงงทั้งอับอายโกรธเกรี้ยว

 

 

ประชาชนกลุ่มนี้ ทำไมประโยคเดียวก็ถูกคนยุขึ้นแล้วเล่า? ยังมีสมองหรือไม่?

 

 

“พวกเจ้า…” ขุนนางหลายคนกำลังจะก้าวเข้าไปต่อว่า

 

 

หวงเฉิงกลับยกมือห้ามไว้

 

 

“ช่างเถิด” เขาเอ่ย สีหน้าบึ้งตึง “ไปเถอะ”

 

 

จะไปตอนนี้?

 

 

เหล่าขุนนางถลึงตาไม่เข้าใจ มองประชาชนที่เอะอะโวยวายด่าทออยู่ด้านนั้น

 

 

“ที่พวกเขาด่าทอคือการเจรจาสงบศึก ไม่ให้พวกเขาด่าข้าหรือจะให้พวกเขาด่าฝ่าบาทรึ?” หวงเฉิงเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

นั่นก็ไม่ได้จริงๆ….

 

 

ฝ่าบาทเพิ่งถูกแซ่ซ้องเป็นเจ้าแผ่นดินผู้ปราดเปรื่องเมตตาต่อหน้ามวลประชาแดนเหนือ การเจรจาสงบศึกเรื่องนี้ย่อมเป็นได้เพียงความคิดของหวงเฉิงคนเดียว ได้แต่เป็นเขามอมเมาฮ่องเต้แล้วแล้ว

 

 

ส่วนจะอธิบายหัวใจและความสำคัญของการเจรจาสงบศึกกับประชาชน พวกเขาย่อมไม่ฟังหรอก พวกเขารู้เพียงเจรจาสงบศึก พวกเขาจึงเสียบ้านเกิดไป

 

 

นี่ช่าง…

 

 

ได้แต่ถูกต่อยฟันร่วงกล้ำกลืนเลือดแล้ว

 

 

ขุนนางหลายคนสีหน้าโกรธเกรี้ยว

 

 

คนเหล่านี้มาจากที่ไหนกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมโวยมาถึงบนศีรษะใต้เท้าหวงได้แล้ว?

 

 

หวงเฉิงสีหน้าบึ้งตึงไม่เอ่ยวาจา ก้าวตรงเข้าไปประจันหน้ากับเสียงด่าของประชาชนทั้งหลาย เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเฉิงกั๋วกงก็ถูกเฉิงกั๋วกงยื่นมือขวางไว้

 

 

“ใต้เท้าหวง” เฉิงกั๋วกงเอนตัวเข้าใกล้หวงเฉิงเล็กน้อย เอ่ยอย่างอ่อนโยน “พวกนี้ เป็นลูกชายข้าทำ”

 

 

อะไรนะ?

 

 

หวงเฉิงถลึงตาทันที

 

 

มิน่า! นอกจากนี้ถึงกับกล้า!

 

 

“เจ้าช่างกล้า!” เขาอดกลั้นโทสะไม่ได้อีกต่อไปตวาดขึ้น

 

 

เฉิงกั๋วกงก้าวออกไปยืนห่างหลายก้าวแล้ว มองหวงเฉิงด้วยสีหน้านิ่งสงบ

 

 

“ใต้เท้า เขาทำอะไรขอรับ?” ขุนนางทั้งหลายรีบพยุงหวงเฉิงเอ่ยอย่างอย่างรีบร้อน

 

 

หวงเฉิงยื่นมือชี้เฉิงกั๋วกง

 

 

“เขา เรื่องนี้…” เขาตวาดเอ่ย แล้วชี้ฝูงชนที่เอะอะ “เป็นพวกเขาพ่อลูกจัดการ!”

 

 

อะไรนะ?

 

 

เหล่าขุนนางฉับพลันตะลึงงันและโกรธเกรี้ยวทันที ระหว่างที่กำลังจะเอ่ยอะไร เฉิงกั๋วกงก็เอ่ยปากก่อนแล้ว

 

 

“ใต้เท้าหวงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หลักฐานเล่า?”

 

 

หวงเฉิงโกรธจนหัวเราะแล้ว

 

 

“หลักฐาน เมื่อครู่เจ้าพูดกับข้า” เขาตวาดเอ่ย

 

 

เฉิงกั๋วกงหัวเราะแล้ว

 

 

“ใต้เท้าหวงล้อเล่นแล้ว” เขาเอ่ย “แม้ข้าอยากให้นี่เป็นแผนของข้ายิ่งนัก แต่จนปัญญาที่ใจหวังแต่กำลังไม่พอ”

 

 

ระยำ…

 

 

นาทีนี้หวงเฉิงรวมถึงบรรดาขุนนางข้างกายในใจผุดคำด่าคำนี้ขึ้นมาในเวลาเดียวกัน