บทที่ 128 เรื่องเล่าของจิตรกร[รีไรท์]

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

บทที่ 128 เรื่องเล่าของจิตรกร[รีไรท์]

โม่หยูถังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สำนักเก้าเทพอสูร จะไปเทียบอะไรกับยอดเขาหมื่นเซียน ได้”

พอได้ยินคำพูดโต้ตอบของทั้งสองคน สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถัง พวกเขาต้องการที่จะรู้ว่าสำนักเก้าเทพอสูรและยอดเขาหมื่นเซียนเป็นอย่างไร

ไม่ใช่เพียงเฉพาะพวกเด็ก ๆ ที่อยากรู้ แม้แต่จ้าวปาเทียนก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับสถานที่ทั้งสองนี้ แต่น่าเสียดายที่บทสนทนาของทั้งสองคนหยุดอยู่เพียงแค่นั้น จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

หลิงตู้ฉิงไม่สนใจกับบทสนทนาของคนทั้งสอง เขาหันไปยังกลุ่มนักศึกษาและพูดว่า “พวกเจ้าต่างได้ยินกันแล้ว ในอีกครึ่งปีจงฝึกฝนให้หนักและแสดงความแข็งแกร่งของพวกเจ้าให้กับคนอื่น ๆ ในสถาบันได้เห็น”

ทุกคนพยักหน้ารับ

เมื่อได้ยินเกี่ยวกับการประลองในอีก 6 เดือน หลิงว่านถิง หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนต่างพูดด้วยความอึดอัดใจ “ท่านพ่อ พวกเรายังไม่สามารถบ่มเพาะได้เลยแล้วเราจะสู้กับคนอื่น ๆ ได้ยังไง?”

หลิงไช่หยุนยังถามอีกว่า “ท่านพ่อ เมื่อถึงเวลาท่านจะช่วยปลดผนึกบนร่างกายของข้าได้ไหม?”

หลิงตู้ฉิงพูดกับหลิงไช่หยุนก่อนว่า “ถ้าเจ้าขยันพอเจ้าจะสามารถทำลายผนึกเองได้ และเมื่อไหร่ที่เจ้าสามารถปลดผนึกเองได้ พ่อจะอนุญาตให้เจ้าขึ้นไปบนเวทีประลอง แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้เจ้าก็คงต้องยืนมองคนอื่นเขาประลองอยู่ด้านข้างเพียงอย่างเดียว ส่วนว่านถิงก็เหมือนกันถ้าในอีก 6 เดือนเจ้ายังไม่สามารถหากุญแจสำคัญในการเปิดพรสวรรค์ในร่างของเจ้าได้ เจ้าเองก็ต้องยืนอยู่ด้านข้างมองคนอื่นเขาประลองไปเช่นกัน”

เมื่อฟังพ่อของพวกนางพูดจบ หลิงว่านถิงและหลิงไช่หยุนรู้สึกหดหู่และกังวล

พวกนางเริ่มตระหนักได้ว่าต่อไปนี้พวกนางจะต้องขยันให้มากกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นในอีก 6 เดือนพวกนางคงได้แต่ยืนเฉย ๆ สร้างความอับอายให้กับทั้งตัวเองและพ่อของพวกนาง

“สำหรับพวกเจ้า ว่านจุนและยี่เทียน การปลุกพรสวรรค์ของพวกเจ้าภายใน 6 เดือนนี้อาจจะยังทำไม่ได้ แต่พวกเจ้าสามารถประลองในรูปแบบที่แตกต่างออกไปได้ พ่ออยากให้พวกเจ้าลองนึก ตอนที่พ่อประลองหมากรุกกับเว่ยเทียนไล้ แล้วพวกเจ้าลองกลับไปไตร่ตรองดูว่าพวกเจ้าสามารถนำไปประยุกต์กับอะไรได้บ้าง”

หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนเริ่มไตร่ตรอง

ในบรรดานักศึกษา คนที่ได้รับคำแนะนำจากหลิงตู้ฉิงให้วาดรูปและคนที่ได้รับคำชี้แนะให้ปักลายผ้า พวกเขาถามขึ้นเช่นกัน “อาจารย์หลิงแล้วพวกเราล่ะ พวกเราควรฝึกอย่างไรต่อ?”

หลิงตู้ฉิงเกาหัวและพูดว่า “ภายใน 6 เดือนการจะทำให้พวกเจ้าแข็งแกร่งได้นั้นออกจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากสักหน่อย แถมตอนนี้ข้ายังหาอาจารย์ที่เหมาะกับพวกเจ้าไม่ได้ ฉะนั้นข้าจะเป็นคนสอนพวกเจ้าด้วยตัวเองในช่วง 6 เดือนนี้ เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าแยกย้ายกันไปฝึกตามเดิมก่อน เดี๋ยวข้าจะเรียกพวกเจ้ามาชี้แนะอีกที”

หลังจากได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ทุกคนก็แยกย้ายกันไปฝึกตามปกติอย่างเช่นที่ทำทุกวัน

เมื่อเวลาผ่านล่วงไปถึงยามบ่ายแก่ ๆ

ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังยุ่งอยู่การฝึกของตัวเอง หลิงตู้ฉิงได้เรียกลั่วหาวที่กำลังวาดภาพ และจูเหลียนที่กำลังฝึกปักลายผ้าให้เข้ามาหา

“แม้ว่าพวกเจ้าทั้งสองเลือกที่จะเชื่อฟังข้าและเริ่มที่จะฝึกวาดภาพรวมไปถึงฝึกปักลายผ้า แต่พวกเจ้ายังคงสงสัยใช่ไหมว่าสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองกำลังฝึกมันจะมีประโยชน์อะไรกับเส้นทางการบ่มเพาะของพวก?” หลิงตู้ฉิงถามทั้งสองคน และเขาพูดต่อโดยไม่รอคำตอบว่า “ในโลกนี้มีเรื่องมหัศจรรย์มากมายหลายอย่าง ถ้าพวกเจ้าสามารถจินตนาการสิ่งมหัศจรรย์เหล่านั้นใส่ลงในภาพวาดหรืองานปักของตัวเอง พวกเจ้าจะรู้ว่าสิ่งที่พวกเจ้ากำลังฝึกนั้นน่ากลัวแค่ไหน”

“ให้ข้ายกตัวอย่างเรื่องหนึ่งให้พวกเจ้าฟัง กาลครั้งหนึ่งมีชายผู้หนึ่ง ครอบครัวทั้งหมดของเขาถูกจักรพรรดิสังหารจนสิ้น เขาเคยพยายามที่จะแก้แค้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ นั่นเป็นเพราะนอกจากตัวจักรพรรดิเองจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งแล้ว รอบกายของจักรพรรดิยังมีผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ รายล้อมอยู่อีกมากมาย หากจะอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเขาเองเพียงคนเดียวมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแก้แค้นได้สำเร็จ”

“แต่ชายคนนี้มีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือเขาชอบวาดภาพ เขาชอบวาดจนกระทั่งในอดีตก่อนที่ครอบครัวของเขาจะถูกสังหาร เขาแทบไม่สนใจการบ่มเพาะเลย เขาหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพเพียงอย่างเดียว”

“เมื่อไม่สามารถแก้แค้นได้เขาจึงเกลียดตัวเองในอดีต เขาเคียดแค้นตัวเองที่ในอดีตเขาไม่ตั้งใจฝึกบ่มเพาะ เขาเกลียดตัวเองที่ในอดีตเอาแต่สนใจการวาดภาพอันไร้สาระ จากนั้นเขาจึงเริ่มหมกมุ่นครุ่นคิด หากเขาไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ และตั้งใจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ระดับการบ่มเพาะเขาคงจะสูงขึ้น แต่มันจะสูงพอจนทำให้เขาแก้แค้นได้หรือไม่?”

“ต่อมาชายผู้นั้นก็เริ่มคิดได้ ต่อให้เขาจะไม่ได้วาดภาพ และต่อให้ระดับการบ่มเพาะจะสูงขึ้นกว่านี้ แต่ด้วยจำนวนของศัตรูและอำนาจของจักรพรรดิที่มีมากเกินไป เขาก็ไม่สามารถแก้แค้นได้อยู่ดี ด้วยความสิ้นหวังเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บความเกลียดชังไว้อยู่ภายในและหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพ และจนวันหนึ่งเขากลับพบว่าสิ่งที่เขาวาดลงบนภาพวาดมันไม่ใช่แค่ภาพวาดธรรมดา แต่มันเป็นของจริง!”

“ตั้งแต่วันนั้น ราวกับว่าเขาพบกับทางออกในเส้นทางชีวิตเขา เขาเริ่มฝึกฝนอย่างหนัก เมื่อฝึกฝนจนนานเข้า และได้ศึกษาการวาดภาพของตนเองอย่างละเอียดแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองมีพลังเพียงพอที่จะแก้แค้น เขาจึงกลับไปเยือนเมืองหลวงของศัตรูอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาวาดภาพนรกกลืนกินเมืองหลวงของอาณาจักรนั้น ส่งผลให้ทั้งเมืองหลวงตกอยู่ในขุมนรกตามภาพที่เขาวาดแบบไม่มีผิดเพี้ยน และแน่นอนว่าภายใต้อำนาจของภาพวาดของชายผู้นั้น จักรพรรดิคู่แค้นของเขาได้ตายตกลงไปในนรกเช่นกัน ส่วนตัวเขาเองนั้นได้ชำระแค้นได้สำเร็จลงในที่สุด” เมื่อหลิงตู้ฉิงเล่าเรื่องเกี่ยวกับการวาดภาพจบ แววตาของลั่วหาวเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่หลิงตู้ฉิงให้เขาฝึกฝนนั้นมีอำนาจมากแค่ไหน

หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “และเช่นเดียวกับการวาดภาพ การปักภาพลงบนผ้าเองก็มีความสามารถคล้ายกัน อันที่จริงบนโลกใบนี้มีสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ อีกมากมาย หากพวกเจ้าตั้งใจศึกษาบางสิ่งบางอย่างด้วยความตั้งใจ พวกเจ้าจะพบว่าโลกนี้มหัศจรรย์กว่าที่พวกเจ้าจะจินตนาการได้ เอาล่ะ นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับการวาดภาพและการเย็บปักถักร้อย พวกเจ้าควรกลับไปไตร่ตรองและฝึกฝนให้ดี!”

ลั่วหาวและจูเหลียน ทั้งสองต่างพยักหน้าและรีบแยกย้ายกันไปฝึกด้วยความตื่นเต้น

ในเวลาไม่นานเรื่องราวการประลองของบรรดาอาจารย์ของศาลาศักดิ์สิทธิ์ถูกเล่าต่อ ๆ กันโดยบรรดาอาจารย์ที่เข้าร่วมชมการประลองอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทุกคนต่างตกตะลึง เมื่อได้ทราบถึงความน่ากลัวของศาลาศักดิ์สิทธิ์

คณะที่ตั้งมาใหม่อย่างลวก ๆ นั้นมีอาจารย์ที่ทรงพลังน่ากลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?

แถมหนึ่งในอาจารย์ที่ทุกคนมองว่าเป็นเพียงแค่คนธรรมดาในตอนแรกกลับสามารถเอาชนะอาจารย์คนอื่น ๆ เกือบ 20 คนได้โดยเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆและโดยเฉพาะหนึ่งในบรรดาอาจารย์ที่พ่ายแพ้นั้นรวมไปถึงคณบดีจิ๋นห้าวหมิง จากคณะศาสตร์ยุทธ

นอกจากนี้ในการประลองของแขนงวิชาคณะอื่น ๆ ทั้งคณบดีเว่ยเทียนไล้จากคณะเตรียมทหาร หลูเทียนหมิงจากคณะโอสถศาสตร์ รวมไปถึงบรรดาอาจารย์จากคณะนายช่าง ล้วนพ่ายแพ้แก่หลิงตู้ฉิงอย่างน่าอเนจอนาถ

ส่วนการประลองของถังชี่หยุนนั้นมีคนพูดถึงไม่มากนัก เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจถึงความลึกล้ำในตัวอักษรที่ถังชี่หยุนเขียนขึ้น

ตอนนี้ศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามชื่อของมันภายในสถาบันราชวงศ์ไปเรียบร้อย ทุกคนในสถาบันต่างพร้อมใจยกให้ศาลาศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นคณะอันดับหนึ่งที่ทุกคนต้องการอยากจะเข้าร่วม

แต่ในความตกตะลึงของผู้คนส่วนใหญ่ ยังมีผู้คนบางส่วนที่ได้แต่ร่ำร้องโหยหวนด้วยความน่าสังเวช พวกเขาคือกลุ่มนักศึกษาที่ตอนแรกลงทะเบียนกับศาลาศักดิ์สิทธิ์และต่อมาได้ถอนตัวออกไป

ตอนนี้พวกเขาเสียใจจนแทบเอาหัวโขกกับกำแพง นี่เป็นเพราะครั้งหนึ่งพวกเขาเคยได้ก้าวขาเข้าไปอยู่ในคณะมหัศจรรย์ขนาดนี้ แต่กลับถอนตัวออกมาด้วยความโง่งมของตัวเอง แน่นอนว่าไม่เพียงแต่พวกเขาที่เสียใจแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขาก็เสียใจด้วยเช่นกัน

นี่เป็นเพราะเหตุผลหลักที่ลูก ๆ ของพวกเขาถอนตัวออกมาจากศาลาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพราะการตัดสินใจของพวกเขาด้วยเช่นกัน

และเมื่อบรรดาผู้ปกครองที่ผิดหวังไม่รู้ว่าจะนำความรู้สึกนี้ไปโทษกับใคร พวกเขาจึงพุ่งเป้าไปที่บรรดาอาจารย์ของลูก ๆ พวกเขาในสถาบันราชวงศ์ที่ส่วนหนึ่งได้โน้มน้าวให้ลูกของพวกเขาถอนตัวด้วยเช่นกัน

เช้าวันถัดมา บรรดาผู้ปกครองเหล่านี้จึงมาที่สถาบันราชวงศ์

พวกเขามาที่สถาบันและทุกคนต่างมีเพียงคำขอเดียวและนั่นคือให้ลูก ๆ ของพวกเขากลับเข้าไปเรียนที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ดังเดิม ตามที่ลูกของพวกเขาได้ลงทะเบียนไปตั้งแต่แรก

เมื่อต้องเผชิญกับการกระทำของผู้ปกครองเหล่านี้บรรดาอาจารย์ของคณะต้นสังกัดต่างมีใบหน้าที่ซีดเซียว

ศาลาศักดิ์สิทธิ์ของหลิงตู้ฉิงทำให้พวกเขาสูญเสียวัตถุดิบระดับสูงไปหลายชิ้นและความน่าเชื่อถือของคณะพวกเขาต่างลดลงจนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ตอนนี้พ่อแม่เหล่านี้ยังจะเข้ามาสร้างความเดือดร้อนเพิ่มอีก?

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มบานปลาย จ้าวปาเทียนจึงต้องลงมาจัดการและให้คำอธิบายกับบรรดาผู้ปกครองเหล่านี้ด้วยตัวเองรวมไปถึงบรรดานักศึกษาที่กำลังเรียกร้องขอกลับเข้าไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน

จ้าวปาเทียน จึงถือโอกาสเรียกรวบรวมนักศึกษาทั้งหมดรวมถึงผู้ปกครองที่ประท้วงและพูดกับทุกคนว่า “ข้าคิดว่าทุกคนรู้ดีเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของศาลาศักดิ์สิทธิ์ตราบใดที่ทุกคนฝึกฝนอย่างหนัก ทุกคนจะได้รับโอกาสเข้าสู่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต ข้าและอาจารย์หลิงได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทุกปีจะมีการสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดจะได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน การสอบครั้งแรกคือปีหน้า ซึ่งกำหนดให้เป็นวันเดียวกับที่สถาบันของเราเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ พวกเจ้าควรเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้และพยายามคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้”

ตอนนี้จ้าวปาเทียนไม่กล้าพูดว่ามีเพียง 10 ที่นั่งต่อปีที่จะสามารถเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ได้และเขาไม่กล้าที่จะบอกว่ามาตรฐานของการประเมินคืออะไร เขาไม่ต้องการให้สถานการณ์มันวุ่นวายไปมากกว่านี้

เมื่อได้ยินคำอธิบายเช่นนี้จากปากของอธิการบดี บรรดานักศึกษาและผู้ปกครองต่างก็เริ่มมีความหวัง พวกเขาทุกคนจึงเริ่มสงบลงและเฝ้าคอยการทดสอบที่กำลังมาถึงในปีหน้า

มีเพียงกู่เจียเฉิง และนักศึกษาบางส่วนที่เคยท้าทายนักศึกษาของศาลาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่นิ่งเงียบ

ที่ผ่านมาพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาโดดเด่นและฉลาดที่สุด เมื่อพวกเขาเห็นการตัดสินใจที่ดูโง่งมของเจียงซิงเฉิง และนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมกับศาลาศักดิ์สิทธิ์ในตอนแรก พวกเขาจึงมีความรู้สึกที่ดูแคลนและหมั่นไส้ พวกเขาจึงคอยตามดูถูก ก่อกวนและสั่งสอนบทเรียน เพื่อให้บรรดาคนในศาลาศักดิ์สิทธิ์รู้ตัวว่าการตัดสินใจของพวกเขามันผิด แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันกลับกลายเป็นพวกเขาเองที่เป็นไอ้โง่เสียอย่างนั้น พวกเขาในตอนนี้จึงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นสีหน้าของกู่เจียเฉิง

จิ๋นห้าวหมิง ขมวดคิ้วและถามขึ้น “เป็นอะไร เสียใจเหรอ?”

กู่เจียเฉิงส่ายหัว “ไม่หรอกท่านอาจารย์ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เข้าเรียนที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ข้าก็ยังมั่นใจว่าข้าเองยังคงโดดเด่นที่สุด ข้าแค่สงสัยว่าทำไมในโลกนี้ถึงได้มีตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่กัน”

จิ๋นห้าวหมิงมองไปยังกู่เจียเฉิงและนักศึกษาคนอื่น ๆ “นี่ถือว่าเป็นการสอนบทเรียนให้เราทุกคนด้วยเช่นกันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ นอกจากนี้ข้าอยากให้พวกเจ้าตั้งใจฝึกฝนให้ดี พวกเจ้าอย่าลืมว่าเรายังมีข้อตกลงกับพวกเขา ในอีกครึ่งปีพวกเจ้าและนักศึกษาของศาลาศักดิ์สิทธิ์จะมีการจัดประลองขึ้นอีกครั้ง”

“และการต่อสู้นี้เกี่ยวข้องกับทรัพยากรการบ่มเพาะของทุกคนในคณะ อาจารย์หลิงเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ถ้าในครึ่งปีพวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะนักศึกษาจากศาลาศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้ พวกเจ้าก็เป็นแค่ขยะกองใหญ่และขยะก็ไม่ควรผลาญทรัพยากรอีกต่อไป หากพวกเจ้าต้องการรักษาทรัพยากรการบ่มเพาะของตัวเองไว้ พวกเจ้าต้องฝึกฝนอย่างหนักด้วยตัวเอง มิฉะนั้นหากทางคณะไม่สามารถมอบทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะให้กับพวกเจ้าได้ในอนาคต พวกเจ้าก็ต้องโทษตัวเองที่ไร้ความสามารถ”