ตอนที่ 543 ปิศาจสาวล่าถอย
วันนี้เป็นวันมงคลของหอพิษกู่ ราชสำนักมีสัมพันธ์อันดีกับหอพิษกู่ได้เพราะเหตุผลของอ๋องมู่จึงมีการไปมาหาสู่กันอย่างสนิทสนม
และถือโอกาสช่วยสร้างหอพิษกู่ขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นเรื่องดี
“เจ้าดูคุณหนูท่านนั้นสิ เป็นอัมพาตตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าว่าต่อไปผู้ใดจักยอมแต่งงานกับนาง น่าเสียดายจริง ๆ ”
สาวใช้สองคนที่เดินผ่านด้านนอกหุบเขากู่และมิเคยเห็นหนานกงหลิงเยว่มาก่อน พวกนางเห็นแค่สตรีที่ขาหักนั่งอยู่บน*เก้าอี้ล้อเข็นจึงสังเวชใจและเสียดายมาก
หนานกงหลิงเยว่หันไปมองนางทั้งสองคน แค่อยากให้พวกนางอยู่อย่างสงบ แต่ทั้งสองกลับคิดว่าโดนหาเรื่อง ดังนั้นพวกนางจึงพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้าดูนางสิ ยังกล้าถลึงตาใส่เราอีก ไอหยา หน้าตาก็อาจจะดูดี มิแน่ว่าอาจมีคุณชายตระกูลใดไม่รังเกียจหน้าตาของนางและรับไปอยู่ด้วยก็ได้”
ผู้ใดจักรู้ว่าเวลานี้สตรีที่ใส่ผ้าคลุมหน้าและนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็นก็คือหนานกงหลิงเยว่ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ
บริเวณนั้นเงียบอย่างน่าประหลาดและมีเพียงเสียงกบร้องเท่านั้น การเยาะเย้ยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้บาดลึกลงในจิตใจของหนานกงหลิงเยว่
ผู้คนที่เดินกันไปมาอยู่บริเวณลานกว้างล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงและวันนี้เป็นวันพิเศษของหอพิษกู่ ผู้ใดจักรู้ว่าฟางหลิงซู่มีน้องสาวที่นั่งเก้าอี้ล้อเข็นเยี่ยงนี้
หนานกงหลิงเยว่คิดอยากซ่อนตัวจากสายตาที่แสนเจ้าเล่ห์ในลานกว้างเหล่านั้น ซ่อนตัวมาอยู่ในพื้นที่เงียบสงบแห่งนี้ แต่มิคาดคิดว่าจะเจอกับสาวใช้ที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจมากทีเดียว
“นายของพวกเจ้าอบรมเรื่องวินัยกันเยี่ยงนี้หรือ ? เหตุใดกล้ามาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย ? เหตุใดจึงมองข้ามศีรษะผู้อื่นเยี่ยงนี้ ? ”
ครั้นได้ยินเสียงนี้แล้วหนานกงหลิงเยว่ก็รีบหันกลับไปและพบกับบัณฑิตชวนมองผู้หนึ่งที่กำลังเอ่ยปากสั่งสอนสาวใช้ผู้บังอาจล่วงเกินนางทั้งสองคน
พอทั้งสองคนเห็นบุรุษที่อยู่ฝ่ายขุนนางชั้นสูงก็รีบทำความเคารพและหนีไปทันที
“โดนคนเยี่ยงนี้เย้ยหยันแต่มิโต้ตอบก็ไม่ทำให้พวกนางหุบปากได้หรอก รังแต่จะทำให้แย่กว่าเดิม” กูซูเฉี่ยอวี่เดินมาตรงหน้าของนางและกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หนานกงหลิงเยว่มิได้โต้ตอบ นางแค่มองหน้าตาอันหล่อเหลาที่พุ่งใส่หัวใจของตน
เมื่อเห็นนางมิได้เอ่ยอันใด กูซูเฉี่ยอวี่จึงกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าน้อยมีนามว่ากูซูเฉี่ยอวี่ มิทราบว่าคุณหนูท่านนี้มีนามว่าอันใดหรือ ? ”
“หนานกงหลิงเยว่เจ้าค่ะ”
“อ่อ ที่แท้ก็เป็นคุณหนูรองแห่งหอพิษกู่นี่เอง ขออภัยที่เสียมารยาท”
“มิต้องมากพิธีหรอกเจ้าค่ะ คุณหนูอันใดกัน ก็แค่นามเรียกเท่านั้นเพราะเรียกชื่อก็พอแล้วเจ้าค่ะ” นิสัยของหนานกงหลิงเยว่มักเป็นคนเจ้าอารมณ์เสมอ บัดนี้ได้ประสบกับเรื่องเลวร้ายจึงยิ่งมืดมนสุดจะทน
“หนานกงหลิงเยว่ นามไพเราะมาก เหตุใดคุณหนูจึงมาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง มิทราบว่าข้าสามารถช่วยเรื่องอันใดคุณหนูได้บ้างหรือไม่ ? ”
ทัศนคติที่จริงใจของกูซูเฉี่ยอวี่ได้ปลุกกำลังใจแก่หนานกงหลิงเยว่อย่างมาก หน้าอกของนางเหมือนมีอันใดบางอย่างกระแทกเข้ามาฉับพลันแล้วเคาะหัวใจให้เต้นรัวเร็ว
ปกติมักมีแต่บุรุษต้องการเข้ามาล้อเล่นกับนางเท่านั้น เมื่อมีบุรุษที่สะอาดสะอ้านมาใกล้ชิดจึงทำให้นางเขินอายมิน้อย กระทั่งลืมเรื่องขาทั้งสองข้างของตนไปโดยสิ้นเชิง
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนคุณชายให้ช่วยเข็นข้าไปยังริมทะเลสาบหน่อยเจ้าค่ะ” หนานกงหลิงเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเขินอายอยู่เล็กน้อย
“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ทั้งสองสนทนากันพลางมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ ระหว่างทางได้พูดคุยกันอย่างถูกชะตา เจ้าพูดคำหนึ่งข้าพูดอีกคำหนึ่ง ค่อย ๆ ทำให้ความมืดมนที่อยู่ในจิตใจของนางคลายออก ครั้นได้ยินกูซูเฉี่ยอวี่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ นางก็อดเผยรอยยิ้มออกมามิได้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็มีเด็กรับใช้ผู้หนึ่งซ่อมหลังคาอยู่ไกลออกไปหนึ่งจ้าง ในตอนนั้นเองเขาก็ลื่นไถลตกจากหลังคาอย่างฉับพลัน กูซูเฉี่ยอวี่จึงพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็วและยื่นมือไปดึงเด็กรับใช้ผู้นั้นไว้ ด้วยความมิทันระวังกูซูเฉี่ยอวี่จึงได้รับบาดเจ็บที่แขน
ในตอนที่เขากลับมาตรงหน้าของหนานกงหลิงเยว่อีกครา เลือดที่อาบอยู่บนแขนได้ซึมแขนเสื้อออกมา นางจึงรีบเข้าไปทายาให้ทันที
ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังโค้งกายลงมานั้น บรรยากาศรอบด้านก็เริ่มอบอุ่นยิ่งขึ้น
ภาพที่ฟางหลิงซู่เห็นเมื่อมาที่สวนก็คือบรรยากาศอันเต็มไปด้วยความรักของคนทั้งคู่ เขาจึงหมุนตัวและเดินจากไปอย่างรู้กาลเทศะเพราะได้ตัดสินใจให้โอกาสทั้งสองคนทำความรู้สึกกัน
แม้รู้ว่ามิควรปล่อยให้น้องสาวไปมาหาสู่กับคนในราชสำนัก แต่หนานกงหลิงเยว่มักชั่งน้ำหนักการกระทำของตนได้เสมอและนางก็คงเล่น ๆ เท่านั้น
ทว่าในเมื่อชายผู้นี้สามารถทำให้นางเบิกบานใจได้ พี่ชายเยี่ยงตนก็คงมิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ
“ยังเจ็บอยู่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หนานกงหลิงเยว่มีความเชี่ยวชาญแค่วิชาพิษหนอนกู่ นางมีความเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่ไหนกันเล่า ดังนั้นนางจึงพันแผลได้อย่างเงอะงะจนเห็นได้ชัด
เมื่อเขาเห็นดังนั้นก็อดคลี่ยิ้มออกมามิได้ หนานกงหลิงเยว่ก็คลี่ยิ้มเช่นกัน
นางคาดมิถึงว่าจะสามารถเข้ากับคนผู้หนึ่งได้ง่ายเช่นนี้โดยไร้ความปรารถนาใด
“นี่ ข้าถามท่านว่ายังเจ็บหรือไม่ ? ”
มิรู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อมองกูซูเฉี่ยอวี่แล้วหนานกงหลิงเยว่จึงกลับไปวางมาดหยิ่งยโส ทว่าดูน่ารักมากทีเดียว
“ไม่ ไม่เจ็บแล้ว”
กูซูเฉี่ยอวี่รีบตอบอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เก็บอาการเคลิบเคลิ้มหลงใหลที่มองนางเมื่อครู่ทันที
หนานกงหลิงเยว่งดงามมาก แม้พยายามปกปิดไว้แต่ก็มิอาจปกปิดแววตาสีฟ้าครามที่มีเสน่ห์ได้
“จริงสิ ท่านเข้ามาในเรือนหลังได้เยี่ยงไร ? พี่ชายของข้าและคนอื่นล้วนต้อนรับในห้องโถงด้านหน้า…”
เมื่อได้ยินคำถามของหนานกงหลิงเยว่ นัยน์ตาของกูซูเฉี่ยอวี่ก็วูบไหวอย่างเห็นได้ชัดแต่ยังคงยิ้มและตอบว่า
“ข้า…” หนานกงหลิงเยว่เอียงคอมองเขา
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูตระกูลฟางยังมิได้ออกเรือนจึงอยาก อยากมาสู่ขอ!”
คาดมิถึงว่ากูซูเฉี่ยอวี่จะกล่าวออกมาตามตรง หนานกงหลิงเยว่เบิกตากว้างทันใด ใบหน้าก็แดงก่ำด้วยความอาย
“ท่าน…
“ข้า ข้าหุนหันเกินไป ! ” กล่าวจบ กูซูเฉี่ยอวี่ก็ลุกขึ้นเตรียมเดินจากไป
“ช้าก่อน”
หนานกงหลิงเยว่คลี่ยิ้ม จากนั้นก็พยายามออกแรงหันกลับมา ความชาบนขาเหมือนมลายหายไปหมดสิ้น
“ข้าเป็นเยี่ยงนี้และท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคุณหนูของตระกูลฟาง ท่าน…ยังยินยอมหรือไม่เจ้าคะ ? ”
เหมือนคาดมิถึงว่าหนานกงหลิงเยว่จะถามเยี่ยงนี้ กูซูเฉี่ยอวี่จึงหมุนตัวกลับมาอย่างตกตะลึง จากนั้นก็มองหนานกงหลิงเยว่ด้วยความประหลาดใจ
“ข้า ข้ายินยอม มิเกี่ยวกับร่างกายของเจ้าเลย ข้ายินยอมจริง ๆ…”
กูซูเฉี่ยอวี่พูดมิค่อยเก่งจึงแสดงความประหม่าออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังพยายามแสดงความดีใจต่อหน้าหนานกงหลิงเยว่
“คุณหนูฟาง ข้า ข้าอยากให้เจ้าเป็นภรรยาของข้า…”
ครั้นได้ยินกูซูเฉี่ยอวี่เอ่ยเยี่ยงนี้ หนานกงหลิงเยว่ก็หลุดหัวเราะออกมา
“หืม ? หากพี่ชายของข้ามิยินยอมเล่า ? ” หนานกงหลิงเยว่ตั้งใจเย้าแหย่
“ข้า ข้าอยากสู่ขอเจ้า ข้าจะกลับไปคุยเรื่องนี้กับท่านพ่อ ส่วนคุณชายฟางต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน ! ”
ความกระตือรือร้นของกูซูเฉี่ยอวี่ช่างแตกต่างจากบุรุษเหล่านั้น เขาจริงใจและใจดีอย่างชัดเจน ผู้ชายที่แสนอบอุ่นเยี่ยงนี้หนานกงหลิงเยว่มิมีทางปฏิเสธแน่นอน
“อีกหนึ่งเดือนคือวันตกฟากของข้า หากถึงตอนนั้นท่านมิเสียใจภายหลังก็มาหาข้าแล้วกันเจ้าค่ะ” หนานกงหลิงเยว่ถือว่ายินยอมโดยปริยาย
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางรู้สึกว่าชอบชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงใจ ยิ่งไปกว่านั้นคือตนก็มิใช่หนานกงหลิงเยว่ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกแล้ว ถ้าหาคู่ชีวิตที่ยอมผมขาวไปด้วยกันได้ก็คงดี
…
*เก้าอี้ล้อเข็น คือ รถเข็นสำหรับผู้พิการของจีนโบราณที่พัฒนามาจากรถเข็นล้อเดียว