เซี่ยวเสวียนฉินได้ทราบจากหยางฉีเย่ว์เช่นกัน ว่าฉินหยุนถูกเย่ว์โยว
นำเข้ามาที่ภายในนี้
นางยังโกรธไม่ใช่น้อย เพราะเย่ว์โยวสัญญากับนาง ว่าจะให้ฉินหยุน
ได้ไปพ้นจากที่นี่
ภายหลัง นางค่อยทราบถึงข้อขัดแย้งระหว่างเย่ว์โยวและฉินหยุนใน
อดีต แม้นางเข้าใจสถานการณ์ กระนั้นภายในใจก็ยังต้องห่วงหาต่อ
ฉินหยุน
ทราบว่าฉินหยุนอยู่ใกล้เคียง เซี่ยวเสวียนฉินจึงไม่บอกแก่ผู้ใด
ฉินหยุนไม่ติดต่อหยางฉีเย่ว์ เพราะเขากังวลว่านางอาจตอบสนองจน
เป็นการดึงความสนใจของเย่ว์โยวเข้า จนนางอาจพบเจอว่าเขาลักลอบ
ติดตามไป
เย่ว์โยวมีกำลังเหนือล้ำ ต่อหน้าครึ่งเซียน นางคือตัวตนประหนึ่งราชัน
ตามที่เหยาเฟิงกล่าว พลังส่วนหนึ่งของเย่ว์โยวถูกผนึกเอาไว้ กระนั้น
นางก็ยังแข็งแกร่ง
ฉินหยุนระมัดระวังอย่างยิ่งยามเมื่อติดตามทางด้านหลัง เขาใช้ทั้ง
พลังเงาและความสามารถเทวะทะลุทะลวง เพื่อเคลื่อนผ่านทางใต้
ดินลึกลงไป
เซี่ยวเสวียนฉินย่อมทิ้งเหรียญม่วงไว้ตามรายทางเพื่อให้ฉินหยุนรับรู้
ได้
เวลานี้ เซี่ยวเสวียนฉินรู้สึกร้อนรนอย่างยิ่ง นางเกรงว่าเย่ว์โยวจะพบ
ว่านางกำลังให้การช่วยเหลือต่อฉินหยุน
เย่ว์โยวยังคงบินออกนำรวดเร็ว นำพาเจี้ยนสือเทียนและคณะมุ่งหน้า
ไป
“เย่ว์โยวต้องให้สัญญาจะมอบผลประโยชน์บางอย่างแก่เจี้ยนสือเทียน
และคณะ เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงยินดีออกไปสู้ กระนั้นสุดท้ายแล้ว
ก็ยังพ่ายแพ้!” หลิงหยุนเอ๋อยิ้มกล่าว “เรื่องราวไม่สำคัญอีกต่อไป
แล้ว เจ้าได้รับจันทราทมิฬเป็นที่เรียบร้อย!”
“เสี่ยวหยุน เจ้าวางแผนคิดสั่งสอนบทเรียนแก่เย่ว์โยวอย่างไร? เจ้าจะ
มอบจันทราทมิฬให้แก่นางหรือไม่?”
ฉินหยุนตอบคำ “ข้าย่อมไม่คิดมอบให้นาง! นางและจันทราทมิฬหา
ได้มีโชคชะตาต้องกัน!”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขายิ่งคิด ว่าเย่ว์โยวผู้นี้เป็นสวะไร้ความสามารถ แม้
ผ่านไปแล้วหนึ่งหมื่นปี นางก็ไม่อาจได้รับจันทราทมิฬมาครอบครอง
แน่นอนว่าทางด้านเฉียหยิ่งก็เป็นเช่นเดียวกัน กระนั้น อีกฝ่ายดีกว่า
หากเทียบเปรียบกับเย่ว์โยว อย่างน้อยเขาก็ได้จันทราทมิฬไว้ในการ
ควบคุม
หลังติดตามอยู่ครึ่งวัน ฉินหยุนค่อยมาถึงยอดเขาสูง ที่แห่งนี้ มันมี
ปราสาทโบราณสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่าน
นี่คือสถานที่พำนักของเย่ว์โยว
ฉินหยุนหลบซ่อนที่ก้อนหินภายนอก สำรวจมองปราสาทโบราณ
เขากล่าวด้วยคิ้วขมวด “เย่ว์โยวผู้นี้ นางอยู่ที่นี่มานานนับ แท้จริงแล้ว
อาศัยในสถานที่ผีสิงเช่นนี้หรือ?”
ที่นี่คือยอดเขาสูง รายล้อมไปด้วยภูมิประเทศแห้งแล้งไร้ซึ่งสีเขียวใด
ปราสาทโบราณยังเป็นสีดำ มองไปให้ความรู้สึกชั่วร้าย
กลางคืน ทุกสิ่งอย่างจึงกลายเป็นมืดมิด
ฉินหยุนผู้ซึ่งหลบซ่อนในปราสาท ได้ใช้พลังเงาลักลอบเข้าสู่ด้านใน
เมื่อเข้ามาแล้ว เขาพบว่าตนเองอยู่ในห้องโถงสว่างไสว
ที่ตรงกลางห้องโถง มันมีเวทีขนาดใหญ่
เปาเฉิงโฉ่วและกลุ่มคนล้วนอยู่ที่นี่ พวกเขากำลังนั่งพักกันบริเวณ
เบื้องล่างเวที
ไม่เพียงแต่ฉู่ปินอวี้เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง เขายังได้รับบาดเจ็บ เขาต้องรับ
ศึกไปหลายครั้งครา
เย่ว์โยวย่อมทราบ ว่าเปาเฉิงโฉ่วและคณะทุ่มสุดตัวแล้ว
นางรู้สึกว่าสายตามองคนถูก กลุ่มคนที่นางชักชวนมาต่างแข็งแกร่ง
มีคนหนึ่งเดินเข้ามา ส่งมอบเม็ดยาให้แก่เปาเฉิงโฉ่วและคณะเพื่อใช้
รักษาอาการบาดเจ็บ
เย่ว์โยวยืนด้านบนเวทีพร้อมกล่าว “ข้าซาบซึ้งนักที่พวกเจ้าทั้งหมด
ร่วมต่อสู้ แม้ข้าไม่อาจชนะ แต่ข้าย่อมต้องรักษาสัญญาที่จะมอบ
รางวัลให้!”
ถึงตอนนี้เอง คนหนุ่มจำนวนหนึ่งพลันเดินเข้ามา
พวกเขาสวมใส่ชุดสีดำที่หรูหราเกินกว่าหลายคนในปราสาทแห่งนี้
ทันทีเมื่อชายหนุ่มสี่คนเข้ามา ผู้คนในปราสาทต่างโค้งกายคำนับให้
ทั้งสี่
ฉินหยุนซ่อนตัวด้านหลังเสา ด้วยเพราะตรงนี้มืด ดังนั้นจะไม่มีผู้ใด
หาตัวเขาได้พบ
ฉินหยุนพอได้เห็นคนหนุ่มทั้งสี่ เขากล่าวอยู่ภายใน “หยุนเอ๋อ คนทั้ง
สี่นั่นไม่แปลกหรือ? ภายนอกดูเหมือนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำและวร
ยุทธ์วิญญาณ กระนั้นราชันยุทธ์กลับยังต้องคุกเข่าให้!”
แน่นอนว่า ผู้คนที่คุกเข่าให้มีแต่ผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยว
เจี้ยนสือเทียนและคณะ คนกลุ่มนี้ย่อมไม่คุกเข่าให้ผู้อื่นโดยง่าย
“พวกเขาเหล่านั้นฝึกฝนร่างเซียน ทั้งยังฝึกฝนโลหิตเซียน นอกเหนือ
จากนั้นแล้ว ยังมีจิตอันแข็งแกร่ง กล่าวได้ว่าแปรเปลี่ยนจิตสู่จันทรา
แล้วกระมัง?” หลิงหยุนเอ๋อยังต้องทึ่ง
คนหนุ่มทั้งสี่เหล่านี้อหังการอวดดีเป็นล้นพ้น
สองคนคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ อีกสองคือขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
หลังก้าวเดินขึ้นบนเวที ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งที่สุดจึงจ้องมองเจี้ยนสือ
เทียนและคณะ น้ำเสียงแค่นกล่าวดังออก “องค์ราชินี เหล่านี้ล้วน
พ่ายแพ้ กระนั้นท่านยังคิดตบรางวัลงั้นหรือ?”
“เพียงสังหารพวกมันเรื่องราวก็คลี่คลาย ทั้งยังจะเป็นการประหยัด
ทรัพยากรที่สามารถใช้มอบให้แก่พวกเรา!”
หลังได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ เจี้ยนสือเทียนและคณะถึงกับผุดลุกขึ้นยืน
สายตาจ้องไปยังคนหนุ่มทั้งสี่เขม็ง
เย่ว์โยวเอ่ยเสียงเย็นเยือก “พวกเจ้าทั้งสี่อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระ!”
ถัดจากนั้น นางจึงขออภัยต่อเจี้ยนสือเทียนและคณะ พร้อมขอให้
พวกเขาสงบใจลง
“องค์ราชินี ท่านเป็นอะไรไปแล้ว? ท่านต้องการใช้ทรัพยากรที่มีแก่
กลุ่มสวะเหล่านี้จริงหรือ?” หนึ่งในชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเย็น
ได้ยินคำกล่าว เซี่ยวเสวียนฉินยิ่งไม่สบายใจ
เพราะนางเองก็เป็นคนของเกาะจันทราปีศาจ ก่อนหน้านี้ แม่เฒ่า
หยุนเหยาได้ต่อสู้ลงแรงไปมาก
“มีแต่สายตาชั้นสวะ จึงมองทุกสิ่งอย่างเป็นขยะ!”
นางอารมณ์ไม่ดียิ่ง ดังนั้นจึงไม่ไว้หน้าชายหนุ่มทั้งสี่คน
“โห? เจ้าทรงพลังมากอย่างนั้นสิ? ต่อสู้กันสักครั้งเป็นไร?” ชายหนุ่ม
ร่างเตี้ยแค่นเสียงดังขึ้น “แม้ข้าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด
แต่คิดเอาชนะเจ้าเพียงมือเดียวก็พอแล้ว!”
เย่ว์โยวกล่าวคำ “เย่ว์ฉิน อย่าได้ต่อสู้กับพวกเขา ข้าคัดเลือกและฝึกฝน
พวกเขาขึ้นมาเป็นอย่างดี พวกเขาฝึกฝนร่างเซียนและโลหิตเซียน
นอกจากนี้ จิตยังแปรเปลี่ยนสู่จันทราแล้ว เจ้าไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้แก่
พวกเขา!”
คำกล่าวของเย่ว์โยว ทำเอากลุ่มเปาเฉิงโฉ่วต้องเผยอาการตื่นตะลึง
ขึ้นมา!
ฝึกฝนร่างเซียนและโลหิตเซียนก็กล่าวได้ว่าเลิศล้ำแล้ว ทั้งยังแปรเปลี่ยน
จิตสู่จันทรา นี่หมายความถึงพลังจิตของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง!
“ข้าหาได้หวั่นเกรงใดไม่!” เซี่ยวเสวียนฉินพยายามระงับลมหายใจ
ให้ผ่อนลง “ข้าคิดอยากสู้กับพวกมัน ให้พวกมันได้ทราบว่าแท้จริง
สวะเช่นข้าเป็นอย่างไรกันแน่!”
“ก็ได้!” เย่ว์โยวกระพริบตาก่อนจะกล่าว “ซื่อเย่ว์ หากเจ้าเอาชนะ
นาง ข้าจะให้แก่นลึกล้ำจันทราทมิฬ!”
ชายหนุ่มร่างเตี้ยนามซื่อเย่ว์ ตามนามนั้นแล้ว สมควรเป็นลำดับที่สี่
*ซื่อ หมายความถึง สี่ และ เย่ว์ หมายความถึง ดวงจันทรา ชื่อจึง
หมายถึง ดวงจันทราลำดับที่สี่*
“ได้ ข้าย่อมสามารถเอาชนะนาง!” ซื่อเย่ว์เผยสีหน้าเย็นเยือก
หยางฉีเย่ว์สวมใส่หน้ากาก ดวงตาของนางเผยออกซึ่งความกังวล
ทันใดนี้ ฉินหยุนจึงส่งเสียงสื่อสารบอกต่อเซี่ยวเสวียนฉิน “ป้าเซี่ยว
ท่านคิดให้ข้าสอนสั่งบทเรียนแก่พวกมันเหล่านี้หรือไม่?”
“อย่าเพิ่ง! ให้ข้าได้ลงมือก่อน!”
เซี่ยวเสวียนฉินไม่คาดคิดว่าฉินหยุนทรงพลังอำนาจเพียงนี้ เขาอยู่
ภายในห้องโถง กระนั้นเย่ว์โยวกลับไม่อาจแม้พบเห็น
หลังจากฉินหยุนกลืนกินจันทราทมิฬ ความสามารถการซ่อนเร้น
ของเขาจึงยิ่งเลิศล้ำมากขึ้น
“ไม่เป็นไร” เย่ว์โยวหันไปบอกต่อหยางฉีเย่ว์ ก่อนจะดึงนางลงจาก
เวที
นางโบกมือไหววูบ เปิดม่านพลังรอบเวทีให้กลายเป็นลานประลอง
ยุทธ์
ผู้อื่นคิดอยากเห็นเช่นกัน ว่าศิษย์ที่เย่ว์โยวฟูมฟักมาจะแข็งแกร่ง
เพียงใด
ในความเป็นจริง หลายปีที่ผ่านมา เย่ว์โยวได้ฟูมฟักผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง
ขึ้นมามาก
อย่างเช่นผู้ใต้บัญชาของนางที่เป็นราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ ยังมี
กลุ่มคนเถื่อนที่นางเลี้ยงดูไว้
กระนั้น สถานะของคนหนุ่มทั้งสี่เหล่านี้สูงล้ำอย่างที่ไม่มีผู้ใดทราบ
สาเหตุ
การประลองยุทธ์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
ซื่อเย่ว์ความเร็วมากล้ำ พริบตาเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างเงาสีดำ
ประหนึ่งเป็นลำแสงพุ่งเข้าหาเซี่ยวเสวียนฉิน!
เซี่ยวเสวียนฉินตอบสนองไม่เชื่องช้า ร่างของนางไหววูบ หลบเลี่ยง
การโจมตีของซื่อเย่ว์
ทันทีถัดจากนั้น ซื่อเย่ว์มีสภาพคล้ายแสงและร่างเงาผสมผสานรวมเข้า
ด้วยกัน ร่างนั้นพุ่งไปมาในลานประลองยุทธ์ ความเร็วนี้มากล้ำ มัน
ทำผู้รับชมถึงขั้นต้องเกิดอาการวิงเวียน
ที่ชวนตื่นตะลึงยิ่งกว่า คือเซี่ยวเสวียนฉินยังสามารถหลบได้!
เซี่ยวเสวียนฉินไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับซื่อเย่ว์ เพราะซื่อเย่ว์
ครอบครองพลังอันเหนือล้ำ
“ป้าเซี่ยวไม่มีทั้งร่างเซียนและโลหิตเซียน ดังนั้นจึงมีแต่เสียเปรียบ!”
ฉินหยุนกล่าวคิ้วขมวด “ซื่อเย่ว์นั่นมีพลังอำนาจไม่ธรรมดาจริง! ทั้ง
ที่มันอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด!”
อย่างกะทันหัน ออร่าพลังความสามารถเทวะอ่อนจางได้ปรากฏออก!
ฉินหยุนสะท้าน!
ซื่อเย่ว์กำลังใช้ความสามารถเทวะ!
ครืน!
ด้านบนเวที สายฟ้าอสนีบาตจำนวนมากทะลักล้นระเบิดออก เสียง
ฟ้าผ่าดังสนั่นกระจายทั่วทั้งลานประลอง
หลิงหยุนเอ๋อร้องโพล่งออก “เป็นความสามารถเทวะที่แข็งแกร่งนัก!
มันผู้นั้นครอบครองวิญญาณยุทธ์อสนีบาตสีดำ ดังนั้นจึงได้รับ
ความสามารถเทวะมาครอง!”
ความสามารถเทวะมีสามวิธีการได้รับมา
วิธีธรรมดาที่สุด คือให้อาจารย์ขัดเกลาวิญญาณช่วยผสานวิญญาณ
ยุทธ์ความสามารถเทวะ อีกหนึ่งคือการตื่นรู้ของวิญญาณยุทธ์ความ
สามารถเทวะสีน้ำเงิน
หาได้ยากที่สุดคือครอบครองวิญญาณยุทธ์สีดำ ทุกขั้นตอนที่ก้าว
ผ่าน ความสามารถเทวะจะยิ่งเพิ่มพูน
ซื่อเย่ว์ผู้นี้ครอบครองพลังสีดำ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าเขาครอบครอง
วิญญาณยุทธ์สีดำ!
พลังของความสามารถเทวะเช่นนี้ กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งเป็นที่สุด!
เซี่ยวเสวียนฉินตกอยู่ภายใต้สายฟ้าอสนีบาตสีดำรุนแรงปกคลุม นาง
ไม่อาจหลบเลี่ยง เพราะลานประลองนี้แม้กว้างใหญ่ ทว่าสายฟ้า
อสนีบาตได้ปกคลุมแทบทุกหัวมุมเอาไว้
และทันใดนี้เอง เสียงของพิณจึงดังก้องขึ้นมา มันมาพร้อมกับคลื่น
เสียงสั่นไหวเข้าสลายสายฟ้าสีดำที่ล้อมรอบเอาไว้
จากนั้น พิณสีดำจึงปรากฏที่ในมือของเซี่ยวเสวียนฉิน!
นางดีดพิณอย่างเบามือ ปลดปล่อยเป็นท่วงทำนองที่ทั้งประหลาด
และลึกลับ
ซื่อเย่ว์ที่คิดโจมตี กระนั้นหลังได้รับฟังเสียง ร่างกายคล้ายสูญเสีย
จิตสำนึกควบคุม
“องค์ราชินี นางใช้อาวุธ!” เบื้องล่างลานประลอง ชายหนุ่มที่เป็น
ผู้นำร้องตะโกน
“นั่นเป็นวิญญาณยุทธ์ของนาง!” เย่ว์โยวไม่แปลกใจแม้เพียงนิด
ครั้งนี้ คนหนุ่มทั้งสามด้านนอกจึงเริ่มตะโกนร้องบอก ให้ซื่อเย่ว์เร่ง
รีบตั้งสติ
“นั่นสมควรเป็นการโจมตีทางจิตกระมัง? พลังจิตของป้าเซี่ยวเอง ก็
สมควรแปรเปลี่ยนสู่จันทราไปเรียบร้อยแล้ว!” ฉินหยุนเกิดความ
ยินดีที่ภายในหัวใจ
“ป้าเซี่ยวต้องครอบครองสองวิญญาณยุทธ์เป็นแน่!” หลิงหยุนเอ๋อ
กล่าว “เรื่องนี้ไม่มั่นใจนัก บางทีนางอาจมีวิญญาณยุทธ์จันทรา!”
ท่วงทำนองที่เซี่ยวเสวียนฉินใช้งานคือพลังกล่อมให้หลับใหล ทุก
อย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นผลให้ซื่อเย่ว์ต้องหลับใหลไป
ขณะเซี่ยวเสวียนฉินคิดผ่อนคลาย ร่างของซื่อเย่ว์พลันขยับพร้อมพุ่ง
ทะยานอย่างดุดัน
“อย่าได้คิดว่ามนต์สะกดเช่นนั้นจะทำอะไรข้าได้!” ซื่อเย่ว์เผยยิ้มชั่ว
ร้ายกล่าวคำ “สวะเช่นเจ้าหาได้ใช่คู่ต่อสู้แก่ข้าไม่!”
ซื่อเย่ว์พุ่งทะยานไป สองหมัดตระเตรียม มันอัดแน่นไว้ด้วยสายลม
สีดำพร้อมสายฟ้าอสนีบาตม้วนวน
ฉินหยุนคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี มันคือพลังอันเหนือล้ำที่
วิญญาณยุทธ์สีดำมอบให้แก่ผู้ครอบครอง!
“ป้าเซี่ยว ท่านต้องระวัง!” ฉินหยุนกำหมัดแน่น เขาห่วงหาต่อเซี่ยว
เสวียนฉิน
เซี่ยวเสวียนฉินยังคงใช้งานพิณ เส้นสายถูกดีดอย่างรุนแรง มันมา
พร้อมคลื่นเสียงจากพิณพุ่งเข้าใส่ซื่อเย่ว์ที่พุ่งทะยานมา!
ซื่อเย่ว์คิดโจมตี ร่างกายกลับกลายต้องมีแต่บาดแผลเพราะคลื่นเสียง
จากพิณโจมตีเข้าใส่
เย่ว์โยวพลันตะโกนดัง “เย่ว์ฉิน ซื่อเย่ว์ พละกำลังพวกเจ้าทัดเทียม
กัน ถือว่าเสมอ อย่างนี้เป็นไร?”
“ได้!” เซี่ยวเสวียนฉินยอมรับ
“ไม่ได้! ข้าไม่ยอมรับ!” ซื่อเย่ว์ตะโกนดัง
กระนั้น ม่านพลังได้เปิดออกแล้ว และเย่ว์โยวก็ยืนหยัดที่ด้านบน
ลานประลองเป็นที่เรียบร้อย
ซื่อเย่ว์มีอารมณ์พุ่งสูง “องค์ราชินี เหตุใดท่านปกป้องนาง? หากพวก
เราต่อสู้กันต่อ ข้าอย่างไรก็ต้องชนะ!”
หยางฉีเย่ว์แค่นเสียงกล่าวคำ “หากสู้กันต่อ ผู้พ่ายแพ้จะกลายเป็นเจ้า!”
“โห? เจ้าเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง กล้าดีอย่างไรอหังการ
อวดดีที่นี่? หรือเจ้าเองก็คิดอยากสู้กับข้า?” ซื่อเย่ว์เผยเสียงหัวเราะดัง
“ได้ อย่างนั้นจงเข้ามา! ข้าจะให้เจ้าได้พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!” หยาง
ฉีเย่ว์กล่าวเสียงเย็นเยือก
“ข้าย่อมเห็นใบหน้าที่ไร้หน้ากากนั่น! เจ้าคือผู้งดงาม เหตุใดไม่เอา
เช่นนี้? หากเจ้าพ่ายแพ้ มอบบุตรหลานให้แก่พวกเราสักจำนวนหนึ่ง
เป็นไร?” ซื่อเย่ว์หัวเราะดังพร้อมเผยยิ้มโฉดชั่ว
“ซื่อเย่ว์ หากเจ้าสู้กับนาง ชะตาเจ้าคือความตาย!” เย่ว์โยวย่อมสัมผัส
ถึงโทสะของหยางฉีเย่ว์ นางจึงหันไปบอกกล่าว “อย่าได้ลดตัวเจ้ามา
เล่นกับคนเช่นซื่อเย่ว์แล้ว!”
ทันใดนี้เอง ฉินหยุนได้ก้าวเดินออกมาพร้อมกล่าว “ให้ข้าต่อสู้แทน
เป็นไร! ชายผู้นี้อหังการอวดดีนัก ด้วยเพราะอยากเห็นใบหน้ามัน
เจ็บช้ำ ทำให้ข้าไม่อาจอดกลั้นทนดูได้ไหวอีกต่อไป!”