ตอนที่ 431 เรื่องราวในอดีต

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 431 เรื่องราวในอดีต

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบ จินหลิงมีหิมะตกหนัก

ทะเลสาบซวนอู่ยังมิแข็งตัว โคมไฟสีแดงของจวนฟู่ริมทะเลสาบซวนอู่ได้ถูกติดขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้บอกลาฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ และได้เข้าไปยังจวนที่ได้จากมานาน

ในจวนเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมิได้คาดคิด ที่แห่งนี้เคยอึมครึมไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ในวันนี้กลับเต็มไปด้วยพลังเพราะคุณชายและนายหญิงของบ้านได้กลับมาแล้ว

ดวงไฟที่ส่องสว่างสะท้อนกับหิมะ ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานนั่งอยู่ที่ศาลาเถาหราน เสียวฉีได้พาบ่าวรับใช้นำเตาไฟสองเตามาส่ง และเอ่ยถามอย่างมีความสุข “คุณชายและนายหญิงน้อยต้องการทานอะไรหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ในวันที่หนาวเยี่ยงนี้ ต้มเนื้อแพะสักหม้อให้ร่างกายได้อบอุ่น” ฟู่เสี่ยวกวนที่ผิงไฟอยู่ได้กล่าวต่ออีกว่า “นำสุราสองกามาอุ่นเถอะ”

“บ่าวจะรีบไปจัดการเจ้าค่ะ”

เสี่ยวฉีเดินจากไปอย่างมีความสุข นางคือสาวใช้ข้างกายของต่งชูหลาน และก็ค่อนข้างนานมากแล้วที่มิได้พบเจอคุณหนู ส่วนคุณชายนั้นนางมิได้พบนานกว่าคุณหนูเสียอีก

ตั้งแต่คุณหนูกลับมาจากราชวงศ์อู๋ นางก็สัมผัสได้ว่ากริยาของคุณหนูดูแปลกไป หลังจากนั้นก็ได้มีข่าวคราวว่าคุณชายเสียชีวิตไปแล้วที่ราชวงศ์อู๋ นางรู้สึกเสียใจแทนคุณหนูอยู่เนิ่นนาน

หลังจากนั้นคุณหนูก็ได้ไปยังซีซาน ทิ้งนางเอาไว้ที่จวนฟู่ แล้วกล่าวว่าช่วยดูแลจวนให้ด้วย

ตอนนี้คุณชายก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีคับฟ้าอย่างแน่นอน และก็มิทราบเช่นกันว่าคุณหนูได้พาคุณชายกลับไปยังจวนต่งแล้วหรือยัง เพื่อรายงานกับนายท่านและคุณนายต่งว่าเขาได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว

ต่งชูหลานเอียงศีรษะพลางมองหน้าฟู่เสี่ยวกวน “มิไปทานอาหารที่บ้านของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ให้ท่านแม่ทำหงเซาซือจึโถว่ให้เจ้าทานดีหรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มร้าย ๆ แล้วลูบมือไปมา “ค่ำนี้พวกเรามาทานเนื้อให้อร่อยเถิด ! ”

ต่งชูหลานหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน นางย่อมทราบถึงความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ขบเม้มริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แต่ก็มิได้โต้ตอบอันใด

เวิ่นหวินได้ท้องแล้ว ข้ารู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนมานานกว่านางเสียอีก เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้ล้าหลังกว่านางกัน ?

และพรุ่งนี้ก็จะกลับไปที่จวนต่งอีกคราเพื่อพบบิดามารดา เยี่ยงไรเสียข้าก็เป็นบุตรีของพวกเขา !

ทั้งสองดื่มสุราและทานอาหารด้วยกัน ท้องนภาได้มืดมิดไปแล้ว ในวันนี้มิได้มีความบันเทิงอื่นใด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าเรือนหลักไปทันที

ข้างนอกมีหิมะกระหน่ำลงมามิขาดสาย ภายในห้องเต็มไปด้วยความหอมอบอวล

……

…..

ในวันเดียวกันกับวันที่ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานต้องกลับไปยังเมืองหลวง ร่างอวบอ้วนของฟู่ต้ากวนก็ได้มาถึงสำนักเต๋า

หนึ่งตะเกียงน้ำมัน หนึ่งโต๊ะอาหาร ทั้งสองนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามกัน

“ศิษย์พี่ ข้าได้ไปตรวจสอบที่ภูเขาหิมะแล้ว”

ผู้สังเกตสำนักเต๋าลูบเครายาวเบา ๆ แต่มิได้เอ่ยถามฟู่ต้ากวนว่าตรวจพบอันใดบ้าง และกล่าวขึ้นมาว่า “มีคนออกมาจากซีฮวงสามสิบกว่าคน ไปทั้งหมด 3 สถานที่”

“ทั้งหมดไปที่ใดกัน ? ”

“เหมียวเสี่ยวเสี่ยวผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งลัทธิจันทราพร้อมกับอีก 10 คนตรงไปยังหย่งหนิงโจว ไป๋หลี่หงส์ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายพร้อมกับคนนับสิบได้ไปยังราชวงศ์อู๋ เกรงว่าจะไปที่เมืองกวนหยุน แต่ผู้อาวุโสม่อเหวินกลับพาคนนับสิบไปยังแคว้นอี๋”

ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด “ศิษย์พี่จะรับมือเยี่ยงไร ? ”

ผู้สังเกตยกแก้วสุราขึ้นมา และดื่มกับฟู่ต้ากวน “เหมียวเสี่ยวเสี่ยวไปยังหย่งหนิงโจวคาดว่าคงไปเพื่อทำลายหมากที่เสี่ยวกวนได้วางเอาไว้ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ข้าจึงให้ซูเจวี๋ย ซูโหรว และซูซูไปที่นั่น ส่วนที่ไป๋หลี่หงส์ไปยังราชวงศ์อู๋ ย่อมไปเพื่อสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์เป็นแน่”

“ทันทีที่อู๋หลิงเอ๋อร์ตาย หญิงชราผู้นั้นก็จะสามารถเข้ามาควบคุมราชวงศ์อู๋ได้อย่างเต็มที่อย่างเหมาะสม หมากกระดานนี้ ศิษย์พี่ข้าแพ้แล้ว”

“ดังนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์จะตายมิได้เป็นอันขาด ! ”

“และตอนนี้อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้อยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู มีกองกำลังทหารหญิงของนาง และมีองครักษ์ชุดแดงนับหมื่น มิจำเป็นต้องกังวลกับความปลอดภัยของนาง”

ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดถึงโจวถงถงที่ได้เชิญโหยวเป่ยโต้วให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูแล้วเช่นกัน ผู้ที่จะสามารถสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ย่อมมีอยู่น้อยนิด เขาจึงมิต้องเป็นกังวลใจกับเรื่องนี้อีก

ในขณะนั้นเองผู้สังเกตก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า “ฟู่เสี่ยวกวนได้กลับมาแล้ว”

ฟู่ต้ากวนตกตะลึงทันพลัน “เขายังมีชีวิตอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ผู้สังเกตพยักหน้าน้อย ๆ “ถึงแม้ข้าจะมิทราบถึงเหตุผล แต่เขานั้นยังมีชีวิตอยู่ เพราะเขาได้ไปถึงจินหลิงแล้ว”

ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด แล้วเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเขาปรากฏตัว จะมิถูกลัทธิจันทราลอบสังหารเขาหรือ ? ”

“ดังนั้นข้าจึงให้เกาหยวนหยวนและพรรคพวกตรงไปยังซีหรง”

หรือนี่คือกลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะกัน ?

แต่นั่นคือรังเก่าของลัทธิจันทรา พวกเกาหยวนหยวนยังมิได้เข้าถึงขั้นปรมาจารย์ แต่มีความเป็นได้อย่างสูงที่ประมุขลัทธิจันทราจะเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว พวกเกาหยวนหยวนจะมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมาได้เยี่ยงนั้นหรือ

ในหัวของฟู่ต้ากวนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาจึงกล่าวว่า “ข้าหาได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าไม่ แต่จะต้องมิเกิดอุบัติเหตุกับฟู่เสี่ยวกวนขึ้นอีก ! ”

“สบายใจเถอะ หลังจากที่ซูเจวี๋ยและศิษย์น้องของเขาสำเร็จเรื่องที่หย่งหนิงโจวแล้ว พวกเขาก็จะกลับไปอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม นอกจากนี้…ข้าเองก็น่าจะไปที่จินหลิงเช่นกัน”

“ข้ายังต้องไปหาเกาเสี่ยนให้พบ”

“เขามิได้สลักสำคัญมากมายอันใด ฟู่เสี่ยวกวนจะแต่งงานแล้ว เจ้าเองก็จะเป็นท่านลุงแล้ว… เขายังนับถือให้เจ้าเป็นบิดา เจ้าก็ควรจะไปร่วมงานด้วยใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่ต้ากวนผงะไปอีกครา จากนั้นใบหน้าอวบก็ได้ยกยิ้มขึ้นมา ด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก

เขาถือกาสุราขึ้นมาและรินให้ผู้สังเกตจนเต็มจอก “มา ๆ ๆ ผ่านมานานหลายวันในที่สุดข้าก็ได้ยินข่าวดีที่สุดเสียที ดื่มสามจอก ! ”

ผู้สังเกตลูบเครายาวเบา ๆ และยกยิ้ม “แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าควรกลับไปยังราชวงศ์อู๋และเป็นจักรพรรดิอย่างสมเกียรติได้แล้ว”

“มิไป ! ”

ฟู่ต้ากวนดื่มจนหมดไปหนึ่งจอก “ในปีนั้นที่ข้าเข้าสำนักเต๋า ต้องใช้ความลำบากเพียงใดเพื่อที่จะแกล้งตายและสละตนออกมา ในใต้หล้านี้ผู้คนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าในปัจจุบันนี้มีเพียงมิกี่คนเท่านั้น เจ้ากล่าวมาสิว่าข้าจะวิ่งกลับไปเป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงไร ? ”

“เจ้ามิกังวลว่าอำนาจจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋จะตกไปอยู่ในมือของนางเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากไทเฮาซีเป็นผู้ดูแลราชวงศ์อู๋ นางจะต้องก่อสงครามกับราชวงศ์หยูเป็นแน่ ! ”

“ท้ายที่สุดแล้วตัวตนของนางในลัทธิจันทราคือผู้ใดกันแน่ ? ”

“เรื่องนั้นต้องไปที่อาคารสิบแปดชั้น ณ หอเทียนจีเพื่อดูสารที่ถูกปิดผนึกของเสด็จพ่อของเจ้า”

“ตราหยกที่ใช้เปิดอาคารสิบแปดชั้นได้หายไป… ศิษย์พี่ท่านว่าอู๋ฉางเฟิงจะเคยได้ไปที่อาคารสิบแปดชั้นนั่นมาแล้วหรือไม่ ? ”

“ย่อมมิมีทาง ไทเฮาซีคือมารดาของอู๋ฉางเฟิง และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาซีเขาย่อมมิทราบ แต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าหากนางเป็นคนของลัทธิจันทราโดยแท้จริง ที่ลัทธิจันทราย่อมมีสารฉบับนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงส่งพวกเกาหยวนหยวนไปที่ซีหรง การปะทะเป็นเรื่องที่เลี่ยงมิได้ ที่สำคัญคือการเข้าไปที่แท่นบูชาหลักของลัทธิจันทรา ดูสิว่าจะหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันตัวตนของไทเฮาซีได้หรือไม่กัน ? ”

ฟู่ต้ากวนมิได้เอ่ยถามอันใดต่อ สำหรับเขาแล้วเรื่องเหล่านี้มิได้สำคัญอันใด เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

ในปีนั้นที่ตนจากเมืองกวนหยุนมาจนถึงที่นี่เพื่อฝึกวรยุทธ์กับท่านอาจารย์เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว และได้ลงเขามาเมื่อบรรลุเป็นผู้มีฝือระดับสูงขั้นหนึ่ง ก็ได้พบเข้ากับจักรพรรดิอู๋ฉางเฟิงที่จินหลิงโดยบังเอิญ

ต่อมาได้รับการไหว้วานจากอู๋ฉางเฟิงให้ดูแลสวี่หยุนชิงรวมไปถึงบุตรชายของพวกเขา ตนจึงได้เปลี่ยนแซ่ เด็กชายผู้นั้นก็ใช้แซ่เดียวกันกับเขา ปิดบังตัวตนและเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนมา 17 ปี เขาที่เป็นลุงแต่ได้ปฏิบัติกับฟู่เสี่ยวกวนเสมือนบุตรของตนเองด้วยความจริงใจ

เขาทราบเรื่องมามากมาย ดังนั้นในคราแรกเขาจึงมิปรารถนาให้ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากหลินเจียง แต่ฮ่องเต้และจักรพรรดิเหวินก็ได้ส่งจดหมายมาหาเขา หลังจากที่ได้ไตร่ตรอง ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนโผบินไปด้วยตนเอง

เด็กคนนี้เก่งกาจมากยิ่งนัก เขาได้เข้าร่วมราชสำนักของราชวงศ์หยู และแน่นอนว่าจะขาดการสนับสนุนจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งไปมิได้ แต่อย่างน้อยตัวเขาก็มีความสามารถอย่างแท้จริง

ในยามที่อู๋ฉางเฟิงใช้ข้ออ้างเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมเพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนไปพบที่ราชวงศ์อู๋ เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ แท้จริงแล้วมิใช่เพื่อไปซื้อคฤหาสน์จิ้งหู แต่เพื่อต้องการสนทนากับจักรพรรดิเหวิน

การสนทนาในครานี้ ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญ จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์แล้ว โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมีโชคอยู่

เขายังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ดีเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด !