ตอนที่ 1013 ป่าลืมทุกข์

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1013 ป่าลืมทุกข์ โดย Ink Stone_Fantasy

“เจ้า…” มู่หรงซิงหัวเดือดดาลทันที ตอนนี้นางค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘นางแพศยา’ แต่เมื่อพิจารณาดูสถานการณ์จริง นางก็ยังไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เพียงตอบกลับอย่างโมโหว่า “ถ้าพวกเรารวมหัวกันทำร้ายเจ้า แล้วจะยืนไม่สะทกสะท้านอยู่ตรงนี้ได้เหรอ ทำไมไม่ร่วมมือกันจัดการเจ้าเสียเลยล่ะ ถ้ามีพวกเราสามคนขี่เดรัจฉานสับปลับช่วย เจิ้งหรูหลงจะโดนฆ่าได้ง่ายๆ แบบนี้เหรอ!”

เหมียวอี้ยอมรับว่าที่นางพูดมีเหตุผล แต่ไฟโกรธที่อยู่ในใจก็ยากจะระงับได้ ย่อมต้องเคลือบแคลงใจอยู่แล้ว “พวกเจ้าสามคนแยกตัวออกไปวางแผนลับกันตั้งสองสามครั้ง ในใจมีเจตนาไม่ดี ยังกล้ามาทำตัวเจ้าเล่ห์อีก!”

หยางไท่จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “น้องหนิว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราจะบอกความจริงให้ฟังก็ได้ ใช่! ตอนอยู่ลับหลังเจ้า พวกเราเคยออกไปวางแผนลับกันสองสามรอบจริงๆ แต่นั่นไม่ใช่เจตนาของพวกเรา เป็นเจิ้งหรูหลงที่ดึงตัวพวกเราไปปรึกษาหารือกัน เขาอยากได้ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่มอบให้เจ้า จะได้ปกป้องตัวเองได้สะดวก แต่พวกเราสามคนก็ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่ามีคนเพิ่มก็มีแรงเพิ่ม เลยไม่ยอมลงมือกับเจ้า แต่ใครจะคิดว่าเมื่อกี้เจ้าคนทรามนั่นจะหาข้ออ้างเพื่อแยกเจ้าไว้ลำพัง พอมาถึงข้างๆ ป่าลืมทุกข์ก็บอกอีกว่าจะเข้าไปสืบดูก่อน กันพวกเราสามคนไว้อีกครั้ง ตอนนี้พอเห็นพวกเจ้าสองคนประมือกัน พวกเราถึงได้รู้ว่าเขากลัวพวกเราสามคนขัดขวาง เลยจงใจแยกพวกเราสามคนออกจากเจ้า จะได้กลับมาลงมือกับเจ้าได้สะดวก เป็นอย่างที่มู่หรงบอก ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ ถ้าพวกเราต้องการจะทำร้ายเจ้าจริงๆ เราจะต้องลงมือพร้อมเจิ้งหรูหลงแน่นอน ต่อให้ไม่ช่วย แต่เมื่อครู่ตอนที่เจิ้งหรูหลงหลบหนี เขาก็ควรจะมาให้พวกเราสามคนช่วยสิ เรื่องราวชัดเจนอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ น้องหนิวสงบจิตใจแล้วคิดดูให้ดีๆ ก่อนได้ อย่าให้ไฟโกรธมาบังตาบังใจ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ไฟโกรธในใจเหมียวอี้ก็คลายลงบ้างแล้ว เพราะคำพูดของอีกฝ่ายใช่ว่าจะเรื่อยเปื่อยไร้เหตุผล แต่ก็ยังถามอย่างเคียดแค้นว่า “ในเมื่อเขาต้องการจะทำร้ายข้า แล้วทำไมไม่บอกให้ข้ารู้ก่อนล่วงหน้า?”

มู่หรงซิงหัว “บอกให้รู้? บอกอะไร? จะได้ทำให้พวกเจ้าสองคนตีกันจนกำลังคนของกลุ่มเราแตกกระจายเหรอ? พวกเราไม่อยากให้เขาฆ่าเจ้า แล้วก็ไม่ได้อยากให้เจ้าแตกคอกับเขาด้วย ถ้าพวกเจ้าสองคนแตกคอกัน ก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับพวกเราหรอก!”

สวีถังหรานถอนหายใจเช่นกัน “น้องหนิว พวกเราสามคนไม่ได้อยากทำร้ายเจ้าจริงๆ นะ ถ้าต้องการทำร้ายจริงๆ พวกเราสี่คนร่วมมือกันโอกาสสำเร็จจะไม่เยอะกว่าเหรอ น้องหนิว กลุ่มเรามีคนตายไปแล้วหนึ่งคน คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดตายด้วยน้ำมือเจ้าไปแล้ว ไม่ต้องหาเรื่องแล้ว เวลาหนึ่งร้อยปีเพิ่งจะเริ่มขึ้น ถ้าหาเรื่องกันต่อไป ทุกคนก็อย่าได้คิดว่าจะรอดชีวิตกลับไปเลย ต่อให้เจ้าไม่พอใจพวกเรา แต่ก็ควรจะคำนึงถึงตัวเองบ้างเถอะ”

ในบรรดาคนที่อยู่ตรงนี้ ไม่มีใครดีเลยสักคน เหมียวอี้อยากจะฆ่าสามคนนี้เพื่อตัดปัญหายุ่งยากในภายหลัง จะได้ไม่ต้องคอยกังวลทั้งวันว่าจะมีใครแทงข้างหลัง แต่ถ้าตัวเองอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ช่วย ก็ไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีก ควรจะกังวลกับสถานการณ์ แล้วอีกอย่าง ถ้าไม่กดดันจนหมดทางเลือกจริงๆ เขาก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเฉาว่านเสียง ไม่อย่างนั้นถ้ากลับไปก็คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขเหมือนกัน

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสามมีเดรัจฉานสับปลับเป็นพลังเท้าเหมือนกัน ต่อให้ตนอยากจะฆ่าทิ้ง แต่ก็อาจจะไล่ตามไม่ทันอยู่ดี ทำได้เพียงข่มไฟโกรธไว้ในใจ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ข้าจะลองเชื่อพวกเจ้าสักครั้ง ถ้ากล้าทรยศข้าอีก ไม่เป็นปลาที่ตาย ก็เป็นแหที่ขาด ต่อให้ข้าต้องสู้ตาย แต่ก็จะเอาชีวิตหมาๆ ของพวกเจ้าให้ได้!” เขากล่าวพร้อมชูทวนในมือ

ทุกคนมองดูเกราะรบบนตัวเขา ชัดเจนว่าไม่ใช่ชุดที่โค่วเหวินหลานมอบให้ตอนแรก พวกเขาต่างก็พึมพำในใจว่าเอามาจากไหน

“เอาล่ะๆ!” หยางไท่ถูฝ่ามือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรับความเข้าใจกันได้ก็ดีแล้ว เจิ้งหรูหลงรนหาที่ตายเอง ไม่ฟังคำโน้มน้าว ดึงดันจะฆ่ากันเอง ตายแล้วก็แล้วกัน ไม่ควรค่าที่จะมาเถียงกันเพื่อเขาจนพวกเราแตกความสามัคคี”

“ตอนนี้ควรจะทำยังไงดี?” สวีถังหรานบุ้ยปากไปยังป่าทึบเบื้องล่างที่โดนหมอกหนาปกคลุม บอกใบ้ว่าป่าลืมทุกข์อยู่ข้างล่างนี้แล้ว

สายตาของทุกคนมองตามลงไป โยนเรื่องที่เถียงกันเมื่อครู่นี้ทิ้งเร็วมาก ตอนนี้เจอโจทย์ยากแล้วจริงๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าปานเยว่กงวรยุทธ์สูงถึงระดับบงกชทองขั้นเก้าจนรับมือยาก ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งเข้าไปแล้วก็ยังออกมาไม่ได้เลย จะเห็นได้ว่าปานเยว่กงก็มีความสามารถอยู่เหมือนกัน

จะยอมแพ้ภารกิจแรกของการทดสอบเหรอ? จะยอมแพ้ก็ไม่เป็นอะไรหรอก ตราบใดที่เอาชีวิตรอดกลับไปได้ก็เป็นเรื่องดีแล้ว เพียงแต่คำพูดแบบนี้ ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดออกมาก่อน

เหมียวอี้เองก็อยากจะยอมแพ้เหมือนกัน แต่เขากำลังแบกรับภาระสำคัญ ข้างหลังยังมีคนอีกเป็นโขยงที่ตามเขามาให้เขาเลี้ยง ถ้าเขาก้าวเท้าผิดจนไม่สามารถนำผลงานกลับไปได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของโค่วเหวินหลานก็จะรักษาไว้ได้ยาก ถ้าโค่วเหวินหลานรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ตำแหน่งของเขาก็คงจะลำบากเหมือนกัน หยาดเหงื่อแรงกายในหลายปีมานี้ก็จะสูญเปล่าแล้ว

ตำแหน่งที่แลกมาเพราะเสี่ยงชีวิตและเสียหุ้นร้านขายของชำซื่อตรงไปสองส่วน ไม่ง่ายเลยกว่ายืนให้มั่นคงที่พิภพใหญ่ได้ ถ้ายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ เขาก็พูดโน้มน้าวตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เหมียวอี้ก็บอกว่า “ลองดูแล้วกัน!”

“จะลองยังไง?” มู่หรงซิงหัวถาม

เหมียวอี้กวาดสายตามองป่าลืมทุกข์ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไปขอคนจากปานเยว่กงตรงๆ เลย ไม่แน่ถ้าปานเยว่กงโดนแรงกดดันจากตำหนักสวรรค์ อาจจะเป็นฝ่ายส่งคนมาเองเลยก็ได้”

ทั้งสามพูดไม่ออก สวีถังหรานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ความเป็นไปได้นี้คงมีไม่มากหรอกมั้ง ถ้าเขาไม่ให้จะทำยังไงล่ะ?”

เหมียวอี้ตอบว่า “พวกเราเป็นคนของตำหนักสวรรค์ ทำไมต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ ให้ตัวเองยุ่งยาก แค่เปิดเผยตัวตนอย่างสง่าผ่าเผยไปตรงๆ ก็พอ ต่อให้เขาไม่ให้คน ตราบใดที่พวกเราไม่ลงมือ เขาก็ไม่น่าจะหาเรื่องใส่ตัวมาลงมือกับพวกเราเหมือนกัน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าพวกเรามีกันกี่คน ไม่รู้ว่ามีพลังเป็นอย่างไร คงจะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยยอมแพ้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายมาจ้องจับแต่นางคนเดียว”

หยางไท่ขมวดคิ้วอย่างสับสนลังเล “ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าเขามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องภรรยา แล้วทำเรื่องนี้อย่างสุดโต่งไปเลย พวกเราจะทำยังไงล่ะ?”

“พวกเจ้าคิดว่ายังไงกันบ้าง?” เหมียวอี้หันกลับมาถาม

“ลองไปหาก่อนก็ได้มั้ง” สวีถังหรานกล่าว

“ข้าเองก็รู้สึกว่าค่อยๆ ปรึกษากันก่อนดีกว่า ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนด้วย” มู่หรงซิงหัวออกความเห็น

หยางไท่พยักหน้าเห็นด้วย

เหมียวอี้เงียบงัน ถ้ามองไม่เห็นความหวังเลยสักนิดเดียว เขาก็จะไม่ยืนหยัดต่อ แต่ถ้าเห็นความหวังอยู่ตำตาแล้วย่อมแพ้โดยไม่ลองก่อน พอเจอความลำบากก็ถอย นี่ไม่ใช่ลักษณะการทำงานของเขา

เมื่อเห็นทั้งสามไม่อยากไปเสี่ยงอันตราย เหมียวอี้ก็บอกว่า “ในเมื่อตกลงตามนี้แล้ว งั้นพวกเจ้าก็รออยู่ข้างนอก ข้าจะไปพบปานเยว่กงสักหน่อย ไปสืบดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากัน”

ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่จะอยากไปคนเดียว! ทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วมู่หรงซิงหัวก็บอกว่า “เจ้าต้องคิดให้ดีนะ” นางจะสื่อว่าไม่มีใครบังคับเจ้า

เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับพวกเขา ตนไม่เหมือนพวกเขาที่กินอิ่มคนเดียวแล้วทั้งบ้านไม่หิว ตนยังมีครอบครัวใหญ่ที่จะต้องเลี้ยง ไม่สู้สุดชีวิตคงไม่ได้ ก็เหมือนที่อวิ๋นจือชิวบอก แต่งผู้หญิงกลับบ้านมาเป็นโขยง ไม่ใช่เพื่อให้นอนกับเขาอย่างเดียว ในเมื่อพวกนางมอบกายให้แล้ว เขาก็ต้องมอบอนาคตให้พวกนาง

เหมียวอี้เก็บเดรัจฉานสับปลับ เก็บเกราะรบบนตัวด้วยเช่นกัน จากนั้นหมอกสีทองก็ลอยขึ้นมาที่ร่างกาย เปลี่ยนเป็นเกราะทองห้าแถบของตำหนักสวรรค์ แล้วเหยียบลงกลางป่าเบื้องล่างโดยตรง ชั่วพริบตาเดียวก็จมลงในหมอกหนาของทะเลป่าไม้

หยางไท่พึมพำอยู่บนฟ้า “โค่วเหวินหลานมอบผลประโยชน์อะไรให้เขา ไม่น่าเชื่อว่าจะทุ่มเทชีวิตทำงานขนาดนี้!”

“ทำตัวสมเป็นลูกผู้ชายไง ถ้าเถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆาได้อยู่กับเขา นางก็ไม่เสียปรียบแน่!” มู่หรงซิงหัวตอบ

หยางไท่กับสวีถังหรานพูดไม่ออก คำพูดนี้เหมือนกำลังตำหนิว่าพวกเขาสองคนทำตัวไม่สมกับเป็นลูกผผู้ชาย

ท่ามกลางเมฆหมอก ต้นไม้ประหลาดรอบข้างโผล่วับๆ แวมๆ เหมือนเงาผี ฮวาหูเตี๋ยให้ข้อมูลมาว่าในป่าลืมทุกข์มีตำหนักดินอยู่แห่งหนึ่ง นั่นคือที่พักของปานเยว่กงและฮูหยิน ส่วนรายละเอียดว่าว่าตั้งอยู่ตรงไหน คนนอกก็ไม่รู้แล้ว

เหมียวอี้เองก็พึมพำในใจเช่นกัน ในทะเลป่าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ ถ้าอยากจะหาให้เจอก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ ที่สำคัญคือมีหมอกหนาปิดล้อม ถ้าร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจทีละนิด ก็ไม่รู้ว่าจะหาเจอเมื่อไร

ขณะที่เหาะอยู่ในป่าและกำลังร่ายอิทธิฤทธิ์เสาะหาไปทั่ว จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในหมอกมีสิ่งแปลกปลอม เขารีบเหยียบลงพื้นทันที แล้วร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดาราต้านทานไว้

“หนิวเอ้อร์!”

ข้างหูมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เหมียวอี้เงยหน้า เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังเดินช้าๆ ออกมาจากหมอกหนา ยื่นมือเข้ามาดึงเขาด้วยสีหน้ากังวล “เจ้าไม่เป็นอะไช่มั้ย?”

เหมียวอี้ตะลึงค้าง จากนั้นก็ตกใจทันที อวิ๋นจือชิวจะมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ?

“อย่าเข้ามา!” เหมียวอี้รีบถือทวนไว้ในมือ ก้าวถอยหลังช้าๆ อย่างระวังตัว สัญชาตญาณสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ที่นี่จะมีใครรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับอวิ๋นจือชิวแล้วมาแอบอ้างได้ล่ะ?

“หนิวเอ้อร์ เจ้าเป็นอะไรไป? นี่ข้าไง! เกราะรบที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เจ้า ทำไมเจ้าไม่สวมใส่ไว้?”

เมื่ออวิ๋นจือชิวพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็ยิ่งตกใจ เป็นไปไม่ได้ที่คนนอกจะรู้เรื่องนี้ แถมเขายังได้กลิ่นกายหอมที่คุ้นเคยจากตัวอวิ๋นจือชิวด้วย ไม่มีทางที่คนนอกจะปลอมแปลงได้

เดิมทีเขานึกว่ามีคนปลอมแปลง คิดจะใช้ทวนสังหารให้สิ้นเรื่อง แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าทำบุ่มบ่ามแล้ว ถ้าพลาดทำอวิ๋นจือชิวตายขึ้นมาจริงๆ จะไม่แย่เหรอ จึงอดไม่ได้ที่จะถามเสียงหลงว่า “เจ้ามาได้ยังไง?”

“ข้าเป็นห่วงเจ้าไง! เลยวางงานในร้านค้าไว้ แล้วมาหาเจ้า ตั้งใจมาหาโค่วเหวินหลานเพื่อไกล่เกลี่ย ใช้ความคิด…”

ภายใต้การกำจัดพิษของเคล็ดวิชาอัคนีดารา ภาพที่อยู่ตรงหน้าเหมียวอี้พลันเปลี่ยนไป เสียงของอวิ๋นจือชิวก็เงียบลงกะทันหันเช่นกัน

ภาพที่เห็นตรงหน้าน่าหวาดกลัวมาก มือข้างหนึ่งที่อวิ๋นจือชิวยื่นเข้ามากลายเป็นดาบคมด้ามหนึ่ง กิ่งของต้นไม้โบราณที่อยู่ข้างๆ กำลังม้วนถือดาบจ่อเข้ามาที่คอของเขาอย่างช้าๆ นี่คือขั้นตอนที่กำลังจะปาดคอเขา

“ปีศาจ!” เหมียวอี้พลันตะโกน คว้าทวนด้ามหนึ่งไวในมือ แล้วฟันกิ่งไม้ที่ถือดาบจนหัก

ทว่าพอต้นไม้สั่นไหว มันก็ยื่นกิ่งออกมาอีกหลายกิ่ง แต่ละกิ่งล้วนถือดาบเอาไว้ กำลังยื่นมาที่เขาอย่างช้าๆ นี่ไม่ใช่จังวะการรุกโจมตีที่รวดเร็ว

เห็นมองปราดเดียวเหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว อีกฝ่ายนึกว่าตนยังอยู่ในภาพมายา ถ้าตนยังหลงอยู่ในภาพมายา ก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นภาพมายาอะไรมามอมเมาตนอีก

“ยังจะกล้าโอ้อวดฝีมือต่ำต้อย ตายซะเถอะ!”

เหมียวอี้ปาดทวนหลายครั้ง ฟันกิ่งไม้ที่ยื่นเข้ามาจนหมด จากนั้นถลันตัวเข้าไป แล้วใช้ทวนแทงไปบนตัวต้นไม้ใหญ่ พร้อมทั้งกรอกเปลวเพลิงไร้รูปร่างเข้าไป ทำให้มีเสียงกรีดร้องดังจากต้นไม้โบราณทันที ต้นไม้สั่นระริก ตรงปากแผลมีของเหลวสีเขียวมรกตไหลออกมา

พื้นดินสั่นสะเทือน พอต้นไม้โบราณหดกิ่งใบ ก็มีเสียงดังครืนคราน ต้นไม้ที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะมุดลงดินไปแล้ว

พอได้ทดสอบฝีมือนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ว่านี่เป็นเพียงปีศาจต้นไม้วรยุทธ์ต่ำเท่านั้น ไม่ได้ตามไปฆ่าให้สิ้นซาก คาดว่าอีกฝ่ายคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน

พอหันกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ อย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่ายังมีการโจมตีสำรองอะไรอีกหรือเปล่า เรียกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มหลัง นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้แล้วยังกลัวไม่หาย ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมแม้แต่นักพรตบงกชรุ้งเข้ามาแล้วยังออกไปไม่ได้

เป็นเพราะภาพมายาน่ากลัวเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะมีเคล็ดวิชาอัคนีดาราช่วยคืนสติให้ เมื่อได้เห็นความจริงกับตาตัวเองแล้ว เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของตนคงจะโดนปีศาจนั่นเก็บไปแล้ว และเป็นเพราะได้เห็นความจริงกับตาตัวเอง เขาถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่คนอื่นที่ปลอมตัวมาทำให้เขาสับสน แต่เป็นเขาที่กำลังหลอกตัวเอง เมื่อใช้ความลับทุกอย่างที่ตัวเองรู้ พอได้หลอกตัวเองขึ้นมาก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว

…………………………