ภาคที่ 1 บทที่ 64 การค้นพบใหม่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 การค้นพบใหม่ (ส่วนที่ 10)

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กังเหยียนก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากเขานักคือตะเกียงผลึกแก้วที่เปล่งแสงเรืองอยู่ ซูเฉินเดินเข้ามาทางตน

“ฟื้นแล้วหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเฉินถาม

กังเหยียนลุกขึ้นนั่งก่อนจะลูบหลังหัวตนเอง “เตียงเล็กไปหน่อย”

ซูเฉินหัวเราะ “โชคดีที่เจ้าไม่บาดเจ็บหนัก มีเพียงกล้ามเนื้อฉีกขาดไม่กี่แห่ง เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ข้าได้เห็นคนใช้กำลังจากร่างกายเพียงอย่างเดียวในการต่อกรกับทักษะพลังต้นกำเนิด…… ไม่เลวเลย”

กังเหยียนหัวเราะเขิน ๆ

ชายร่างยักษ์มองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งนอนอยู่ที่มุมห้อง ก่อนจะพบว่ามันคือเจ้าด้วงยักษ์ขวัญผวาตัวนั้นนั่นเอง เขากระโดดขึ้นด้วยความตกใจตามสัญชาตญาณ

“ไม่ต้องตกใจไป มันไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” ซูเฉินโบกมือให้กังเหยียน

อาจเป็นนิสัยเดิมของมัน เมื่อเดินไปมาอยู่ด้านนอกสักพัก มันก็กลับมานอนที่มุมถ้ำตามเดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

กังเหยียนนั่งลง ส่งสายตาโกรธเคืองไปยังเจ้าแมลง

ซูเฉินส่งขวดยาขวดหนึ่งให้ “หากดื่มยานี่บาดแผลจะหายเร็วขึ้น ทว่ายามีผลข้างเคียง ร่างกายเจ้าอาจจะอ่อนแอไปหนึ่งวัน หรืออาจท้องเสียได้ แต่น่าจะไม่มีปัญหาร้ายแรง”

“ได้” กังเหยียนรับยาไปไม่ต่อต้าน ก่อนจะกินยาลงท้องไปทันที

เมื่อเห็นท่าทางเชื่อฟัง รับยาไปอย่างเงียบเชียบแล้ว        ซูเฉินพลันถามขึ้น “เหตุใดถึงช่วยข้า?”

กังเหยียนตอบกลับตามตรง “ท่านเป็นเจ้านายของข้า แน่นอนว่าข้าต้องต่อสู้ให้ท่าน”

“แต่เจ้าไม่ใช่ทหารของข้า เจ้าเป็นข้ารับใช้ หน้าที่ต่อสู้ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้า อีกอย่างหากข้าถูกสังหารไป เจ้าก็จะได้เป็นอิสระ”

กังเหยียนส่ายหัว “ข้าไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ข้าแค่คิดว่าข้าควรทำเช่นนี้”

“เช่นนั้นหมายความว่าไม่มีเหตุผลอื่นเลยหรือ? อย่างเช่น ‘เจ้าชอบให้ข้าเป็นเจ้านาย’ หรือ ‘เจ้ารู้สึกว่าข้าปฏิบัติกับเจ้าดีกว่าเฮยโฉ่ว’ หรือไม่มีเหตุผลอื่นแล้วหรือ?”

กังเหยียนส่ายหน้า “ข้าติดตามเจ้านายมาสี่คน ท่านยังไม่ใช่คนที่ปฏิบัติกับข้าดีที่สุด นายท่านคนที่สองของข้าที่เป็นสตรีนางหนึ่งคือผู้ที่ปฏิบัติกับข้าดีที่สุด นางอ่อนโยนยิ่งนัก ไม่เคยใช้ข้าทำงานใด ใจดีกับข้าเสมอ”

ซูเฉินหัวเราะออกมา “เจ้านี่ช่างไม่รู้วิธีประจบคนเอาเสียเลย แล้วเหตุใดแม่นางที่เป็นเจ้านายของเจ้าไม่ต้องการเจ้าแล้วเล่า?”

แววความเจ็บปวดพาดผ่านนัยน์ตากังเหยียน “ไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการข้า นางถูกสังหารระหว่างการต่อสู้ คนชั่วนั่นลอบโจมตีด้วยการแทงข้างหลัง”

“ข้าเสียใจด้วย” ซูเฉินกล่าว

กังเหยียนก้มหัวลง นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เอ่ยคำใด

เมื่อเห็นท่าทางเงียบเชียบเช่นนั้นแล้ว ในใจซูเฉินพลันคิดบางอย่างได้

มันจึงกล่าวขึ้น “เจ้าต้องการเป็นทหารของข้าหรือไม่? เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ต่อสู้ให้ข้าโดยเฉพาะ?”

กังเหยียนชะงักไป “ข้าไม่มีพลังต้นกำเนิด”

“ข้าสอนให้เจ้าได้”

กังเหยียนยังคงส่ายหน้า “ข้าโง่มาก เจ้านายสามคนก่อนล้วนเคยสอนข้า แต่ข้ากลับไม่เรียนรู้”

“เจ้าเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ หรือเจ้าเรียนรู้ไม่ได้เลยกันแน่?”

กังเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ “คงเป็นเพราะข้าเรียนรู้ได้ไม่ดีนัก เผ่าหินผามีความสามารถในการสัมผัสพลังต้นกำเนิดต่ำมาก การฝึกตนของคนเผ่าข้าจึงเป็นไปได้ช้ายิ่ง”

“หากเจ้าก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ใช่หรือไม่? เพียงแต่ช้ามากเท่านั้น”

“แต่ข้าไม่อยากเรียน” มันก้มหัวลง “ข้าเกลียดการต่อสู้ ข้าไม่ชอบการฆ่าฟัน”

ซูเฉินชะงักไป ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดต่อไปขึ้นมาได้เวลาก็ผ่านไปพอสมควร “เจ้าพูดถูกต้องแล้ว การฆ่าฟันนั้นไม่มีอันใดดี ทว่ามีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งมากพอเท่านั้นจึงจะสามารถกำหนดชะตาชีวิตตนเองและหลบเลี่ยงการถูกสังหารได้ เจ้าไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นหรือ? เจ้าอยากแก้แค้นให้แม่นางที่เป็นเจ้านายคนก่อนของเจ้าหรือไม่?”

เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย นัยน์ตาของกังเหยียนก็ส่องประกายเต็มไปด้วยพลัง

ทว่าพริบตาต่อมา พลังในนัยน์ตาก็พลันเลือนหายไปอีกครั้ง

ชายร่างยักษ์ก้มหัวลงต่ำ พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ข้าเอาชนะคนผู้นั้นไม่ได้หรอก เขาแข็งแกร่งมาก…… กระทั่งท่านเองก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ ถึงพวกเราจะร่วมแรงกันก็ไม่อาจเอาชนะได้”

“ทว่าเป็นแค่ตอนนี้เท่านั้น” ซูเฉินจับบ่ากังเหยียนไว้ “หากเจ้าเชื่อใจข้า ข้าอาจมีวิธีเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของเจ้า”

กังเหยียนเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ เมื่อจ้องไปในนัยน์ตาของซูเฉิน ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ในใจพลันรู้สึกถึงความอบอุ่น กังเหยียนค่อย ๆ พยักหน้าตนเอง “ตกลง ข้ายอมเป็นทหารให้ท่าน แล้วท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด?”

“ตอนนี้……” ซูเฉินหัวเราะอีกครั้ง “ขออภัยด้วย ถึงแม่นางที่เป็นเจ้านายคนก่อนของเจ้าไม่ใช้เจ้าทำงาน แต่ข้าไม่ได้ใจดีเช่นนาง ข้าไม่มีผู้ใดคอยทำงานให้ ช่วยข้าขุดเอาแร่ขึ้นมาหน่อย ขุดเอาแร่ดาราเงินที่อยู่ภายในถ้ำนี้ทั้งหมดออกมา เมื่อขุดเสร็จเราจะกลับกัน จากนั้นข้าจะสอนเจ้าฝึกตนไปด้วยกัน”

“ได้!” กังเหยียนหงกหัวที่ทั้งหนักและหนาของตน

วันต่อมา กังเหยียนก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดไปกับการขุดแร่

ถึงถ้ำแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่แมลงกินเหล็กอาศัยอยู่และหาอาหารกิน ทว่ามันก็มีจุดอิ่มตัว เมื่อเจ้าแมลงท้องอิ่มแล้ว มันก็จะไม่กินเพิ่มอีก ดังนั้นการกินของมันจึงน้อยกว่ามนุษย์ที่ไม่รู้จักพอมาก สำหรับมนุษย์ หากขุดแล้วยังเจอแร่อยู่ เช่นนั้นก็จะตะบึงขุดต่ออย่างไม่สนใจสิ่งใด

ด้วยเหตุนี้จึงยังมีแร่ดาราขาวเหลือให้กังเหยียนขุดอยู่อีกมาก

และด้วยเหตุที่ต้องขุดแร่เช่นนี้ เจ้าแมลงกินเหล็กก็ได้กลายเป็นตัวน่ารำคาญไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทุกครั้งที่มันหิว มันจะร้องออดอ้อนและวิ่งเข้ามากินแร่ที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นกองอย่างตะกละตะกลาม เมื่อกินเสร็จก็จะกลับไปนอนอีกครั้ง

แร่จำนวนมากที่กังเหยียนเพียรขุดขึ้นมาอย่างเหนื่อยยากถูกเจ้านี่สวาปามไป ดังนั้นซูเฉินจึงมอบแหวนกักเก็บให้กังเหยียน สั่งว่าเมื่อขุดแร่ได้ให้เก็บไว้ในแหวนวงนี้

เมื่อเจ้าแมลงกินเหล็กหาของกินไม่ได้ มันจึงคอยวิ่งตามกังเหยียน ร้องเสียงออดอ้อนอย่างที่เคยทำ มันไม่โจมตีกังเหยียนเลย ท่าทางเช่นนั้นเหมือนดั่งสุนัขตัวหนึ่ง กังเหยียนพบว่าเจ้าด้วงตัวนี้น่าสนใจยิ่ง ดังนั้นจึงแอบหยิบเศษแร่ให้มันกินอยู่เป็นครั้งคราว เจ้าแมลงกินเหล็กไม่เลือกกิน รับเศษแร่มากินอย่างดีอกดีใจ สุดท้ายมันจึงยิ่งติดตามกังเหยียนใกล้ชิดมากกว่าเดิม

ซูเฉินเองรู้เรื่องนี้ ทว่าเขาไม่ใส่ใจ

ตอนนี้เขางานยุ่งมาก

ตอนนี้นอกจากตัวซูเฉินต้องฝึกทักษะพลังต้นกำเนิดของตนเองแล้ว เด็กหนุ่มยังต้องอ่านบันทึกของอูเอ่อร์หลี่เพื่อเรียนรู้อักษรอาร์คาน่าโบราณอีกด้วย

ความรู้ที่อูเอ่อร์หลี่บันทึกไว้นั้นกระจัดกระจายไร้ระเบียบ บันทึกของชายชราเป็นเพียงบันทึกประสบการณ์ธรรมดา ๆ ของคนผู้หนึ่ง ทว่าเช่นนี้ก็ทำให้ซูเฉินเข้าใจข้อมูลในนั้นได้มากขึ้นเช่นกัน บันทึกนี้จดรายละเอียดยิบย่อยของความเข้าใจในวิชาอาร์คาน่าของอูเอ่อร์หลี่ไว้ รวมถึงความเข้าใจตั้งแต่ขั้นที่ไม่เข้าใจแม้แต่นิดไปจนถึงขั้นที่เข้าใจได้เล็กน้อย หากบันทึกนี้ถูกเขียนด้วยข้อมูลที่ละเอียดและซับซ้อนแล้ว ซูเฉินอาจอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิด ทว่าบันทึกเหล่านี้เต็มไปด้วยข้อสงสัยและการคาดเดาของคนผู้หนึ่ง เป็นกระบวนการความเข้าใจที่ค่อยเป็นค่อยไปยิ่งนัก ดังนั้นซูเฉินจึงอ่านแล้วทำความเข้าใจตามได้ง่าย

เมื่ออ่านบันทึกความเข้าใจของอูเอ่อร์หลี่แล้ว ซูเฉินก็นึกย้อนถึงประสบการณ์ในการเรียนรู้ทักษะโบราณอาร์คาน่าของตนเอง ไม่นานก็ตกลงสู่ภวังค์แห่งการเรียนรู้ ผ่านการอ่านประโยคที่อูเอ่อร์หลี่ได้จดบันทึกไว้ ซูเฉินเริ่มเข้าใจอาณาจักรอาร์คาน่าในกาลก่อนมากยิ่งขึ้น อาณาจักรของพวกมันเป็นอาณาจักรที่น่าเหลือเชื่อ เจริญรุ่งเรืองมากว่าสามหมื่นปี เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งใหม่และค้นพบเรื่องสำคัญมากมาย

สิ่งประดิษฐ์ของพวกมัน อย่างเช่น หุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดบินได้อันทรงพลัง เครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดในอากาศเป็นการเคลื่อนไหวได้ เครื่องมือสกัดสายเลือดที่หาได้ยาก และวิชาพลิกชีวิต รวมถึงวิชาโบราณอาร์คาน่าอันลึกลับต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ต่างถูกคิดค้นขึ้นและแพร่ขยายออกไปในยุครุ่งเรืองของเผ่าอาร์คาน่า

ระบบสายเลือดในปัจจุบันที่เผ่ามนุษย์ใช้พึ่งพาในการเอาตัวรอด แท้จริงแล้วก็มีรากฐานมาจากการค้นคว้าอย่างหนึ่งของอาณาจักรอาร์คาน่า

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซูเฉินก็รู้สึกสั่นเล็กน้อย

ทว่าอย่างไรเสีย สิ่งที่น่าเศร้าคือการค้นพบส่วนมากกลับถูกฝังกลบไปตามกาลเวลา ในเวลานี้ หากเอ่ยถึงชนเผ่าอาร์คาน่าแล้ว การจะฟื้นคืนความรุ่งเรืองดั่งกาลก่อนนั้นไม่มีทางแม้แต่น้อย

เมื่อมีเวลาว่าง ซูเฉินก็จะเรียกกังเหยียนมาเพื่อสอนวิชาดูดซับพลังศรเภกะให้มัน

ผู้ใดได้เห็น ผู้นั้นย่อมกล่าวว่ากังเหยียนหัวทึบโดยแท้ ในหัวมีแต่ก้อนกรวด ชายร่างยักษ์ใช้เวลาสี่วันสี่คืนในการเริ่มฝึกตนอย่างถูก ๆ ผิด ๆ เมื่อเทียบกันแล้ว ซูเฉินใช้เวลาเพียงคืนเดียวในการเรียนรู้วิชาจนชำนาญ

ในเรื่องความเข้าใจแล้ว กังเหยียนมีความเข้าใจไม่ถึงครึ่งของคนปกติเสียด้วยซ้ำ

ทว่าอาจเพราะมีความเข้าใจที่เชื่องช้าเช่นนี้จึงทำให้พวกมันซื่อสัตย์ยิ่งนัก

เมื่อมีข้อเสียย่อมต้องมีข้อดี คนเราไม่อาจหวังให้ผู้อื่นมีทั้งความซื่อสัตย์และมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวได้ คนแบบนั้นเป็นคนที่ไม่มีอยู่จริง

เมื่อคิดถึงจุดนี้ซูเฉินก็พึงพอใจ

วันนี้ซูเฉินกำลังนั่งอ่านการทดลองของอูเอ่อร์หลี่อยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกังเหยียนร้องตะโกนขึ้น “อย่าเข้ามา เจ้ากินก้อนนี้ไม่ได้!”

ได้ยินดังนั้น ซูเฉินจึงเดินออกไปเห็นกังเหยียนชูแร่ดาราเงินก้อนหนึ่งไว้แล้วเดินถอยหลัง เจ้าแมลงกินเหล็กเดินตามแร่ดาราเงินในมือของเขาไม่หยุด มันมิได้มีเจตนาร้าย แต่อย่างใดทว่ากรามขนาดใหญ่ของมันก็ยังดูน่ากลัวมากอยู่ดี กังเหยียนถูกเจ้าด้วงวิ่งไล่ตามวนไปวนมา

“เหตุใดไม่เก็บแร่ไว้ในแหวนเล่า?” ซูเฉินร้องถาม

หากเก็บแร่ไว้ในแหวนกักเก็บแล้ว เจ้าแมลงกินเหล็กจะไม่ได้กลิ่นแร่และจะไม่ก่อปัญหาอีก

“แหวนกักเก็บพื้นที่เต็มแล้ว ข้าไม่สามารถเก็บแร่บริสุทธิ์ก้อนนี้เข้าไปได้อีก เจ้าแมลงนี่ก็ไม่หยุดไล่ตามข้าเสียที” กังเหยียนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงกลุ้มใจ

“อืม งั้นก็ให้มันไปเถอะ”

ถึงจะไม่เต็มใจนัก ทว่าซูเฉินก็ไม่ต้องการให้เจ้าด้วงวิ่งไล่ตามกังเหยียนไปทั้งวัน

แร่ดาราเงินที่ถูกขว้างออกไปวาดเป็นเส้นสวยงาม ถูกโยนไปไกลลิบ เจ้าแมลงกินเหล็กวิ่งไปราวกับสุนัขล่าเนื้อ มันพุ่งตามก้อนแร่ไปก่อนจะยกก้อนแร่ขึ้นกลืนในคำเดียว

เจ้าแมลงกินเหล็กเลิกกวนใจกังเหยียนในทันทีเมื่อมันได้กินสมใจแล้ว สิ่งแรกที่ทำหลังจากกินเสร็จคือการถูร่างของมันเข้ากับมุมถ้ำ จากนั้นขับถ่ายทิ้งไว้ตรงนั้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินนวยนาดไปยังอีกมุมหนึ่งเพื่อนอนหลับ

เจ้าด้วงยังมีชีวิตอยู่จึงจำเป็นต้องกินต้องขับถ่าย ซึ่งซูเฉินไม่ได้ใส่ใจ อูเอ่อร์หลี่สอนมันให้ขับถ่ายตามมุมถ้ำไว้เรียบร้อยแล้ว ซูเฉินกับกังเหยียนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการขับถ่ายของมัน ในตอนที่ซูเฉินกำลังเดินกลับถ้ำนั่นเอง เขาก็เห็นว่าในมูลของเจ้าแมลงกินเหล็กส่องแสงคล้ายกับโลหะออกมา

ซูเฉินประหลาดใจนัก เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ

เนื่องจากแมลงกินเหล็กกินแต่แร่เหล็กเป็นอาหารจำนวนมาก มูลของมันจึงไม่มีกลิ่นเหม็น ส่วนประกอบส่วนมากเป็นกากแร่ ที่เหลือเป็นดินธรรมดา รูปร่างมูลของพวกมันจึงไม่ได้น่ารังเกียจมากนัก

ซูเฉินซัดพลังใส่เปลือกดินลักษณะแข็งให้แตกออก ก่อนจะเห็นแสงสีเงินส่องออกมาจากภายในมูลก้อนนั้น ดูเหมือนเป็นแร่ดาราเงิน ทว่าดูจะมีมูลค่ากว่ามาก

“แก่นแร่ดาราเงินหรือ?” ซูเฉินร้องขึ้นด้วยความแปลกใจ

แก่นแร่ดาราเงินคือผลผลิตจากการที่แร่ดาราเงินถูกกลั่นให้กลายเป็นเหล็กชั้นดี เหล็กเหล่านี้ล้วนนำไปใช้สร้างเครื่องมือต้นกำเนิดระดับสูง และยังสามารถใช้ปรับปรุงคุณภาพเครื่องมือให้สามารถใช้พลังงานต้นกำเนิดได้ดียิ่งขึ้น ของชิ้นนี้ไม่ใช่ของที่คนอย่างซูเฉินผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมาไม่นานสามารถได้เห็นหรือนำมาใช้ได้เลย

ซูเฉินไม่คิดมาก่อนว่าเจ้าแมลงกินเหล็กนี้สามารถผลิตของอย่างแก่นแร่ดาราเงินออกมาได้ ทันใดนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ‘เป็นเพียงโชคดี? หรือเป็นเรื่องปกติ?’

คิดได้ดังนั้น ซูเฉินก็เริ่มซัดพลังใส่มูลของแมลงกินเหล็กตรงหน้าอย่างเกรี้ยวกราด พยายามหาแก่นแร่ชิ้นที่สองให้ได้

ไม่มี ไม่มี ชิ้นนี้ก็ไม่มี

เขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นพุ่งไปยังมุมมืดที่มีกองมูลของเจ้าแมลงกินเหล็กกองอยู่เต็มไปหมด

ปัง ปัง ปัง ปัง! เสียงซัดพลังดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง นี่สุดซูเฉินก็ค้นพบลำแสงที่ส่องออกมาอีกครั้ง

ซูเฉินหยิบก้อนแร่สีเงินที่มีขนาดเล็กกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัดขึ้นมา ทว่าใบหน้ากลับยังตื่นเต้นยินดียิ่งนัก

“นายท่าน?” กังเหยียนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านทำอะไรอยู่หรือ?”

อีกฝ่ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดซูเฉินพลันให้ความสนใจกับกองมูลของเจ้าแมลงกินเหล็กขึ้นมา

“ไม่มีอันใดมาก” ซูเฉินพยายามกดความตื่นเต้นยินดีในใจตนไว้ “ต่อไปข้ามีหน้าที่ใหม่ให้เจ้าทำ”

“เป็นงานอะไรหรือ?” กังเหยียนถาม

“ขุดกองมูล” ซูเฉินตอบ