บทที่ 318-2 หนึ่งเดียวผู้ขัดขวางขุนนางใหญ่ (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 318 หนึ่งเดียวผู้ขัดขวางขุนนางใหญ่ (2)

ในฐานะกระดูกสันหลังคนสำคัญของพรรคหวาง เจ้ากรมซุนส่งสายตาให้สมุหราชเลขาธิการหวางเป็นพักๆ

‘พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป พวกเราสู้กันเลือดตาแทบกระเด็น ท่านจะไม่พูดอะไรเลยหรือ’

สมุหราชเลขาธิการหวางสังเกตเห็นสายตาของเจ้ากรมซุน ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในมุมมองของเขา เขาไม่สนว่าใครจะแพ้หรือชนะในคดีนี้ ประการแรกเว่ยเยวียนไม่ได้ลงสนามเอง และประการที่สองสวี่ซินเหนียนไม่อาจเป็นตัวแทนของสำนักอวิ๋นลู่ได้ทั้งหมด

ไม่ถูกใจเอาเสียเลย เขาหันกลับไปหาเหตุผลไล่ต้อนให้จนมุม

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจ้ากรมซุนผู้เป็นกระดูกสันหลังของพรรคหวางพุ่งเข้าปะทะ หากเขานิ่งดูดายในตอนนี้ อีกฝ่ายคงจะผิดหวังน่าดู นั่นเป็นข้อเสียของพรรคพวก

หลายครั้งก็ไม่มีอิสระ

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีวิธีที่จะปิดคดีนี้ได้โดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ” สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวออกมาคำนับ และพูดเนิบๆ

“จ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อทำการเปิดเผยข้อสอบจริงหรือไม่ แค่ทดสอบสวี่ซินเหนียนดูสักครั้งย่อมประจักษ์พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้เขาเข้าวัง และทำการสอบต่อหน้าพระพักตร์ ให้เขาแต่งกลอนต่อหน้าเหล่าขุนนาง

“บทกลอน ‘เส้นทางลำเค็ญ’ บทนั้นถูกเขียนขึ้นโดยผู้อื่นหรือไม่ เพียงทดสอบดูย่อมทราบได้ ส่วนการสอบหลักคำสอนและนโยบายนั้น ในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งที่ใกล้เข้ามานี้ สวี่ซินเหนียนเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงหรือไม่ หลังจากที่ฝ่าบาททรงอ่านบทความของเขาแล้ว ฝ่าบาทโปรดตัดสินด้วยพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ

“หากเขาเป็นคนโง่เขลา ก็แสดงว่ามีการรั่วไหลของข้อสอบจริง มีการทุจริตเกิดขึ้นจริง ก็ต้องถูกลงโทษสถานหนัก”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรมองสมุหราชเลขาธิการหวางสักครู่ ก็แย้มพระสรวลและตรัสว่า “ที่พูดมานั้นมีเหตุผล อย่างที่เจ้าว่า”

สีหน้าของเจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ ดูปีติยินดี คำพูดของสมุหราชเลขาธิการหวาง ฟังดูเหมือนจะเป็นการประนีประนอมในทีแรก แต่แท้จริงแล้วมีความลำเอียงอยู่ชัดเจน

ฝ่าบาททรงกำหนดหัวข้อทดสอบบทกวี และให้สวี่ซินเหนียนเขียนบทกลอนในท้องพระโรง ทั่วทั้งต้าฟ่ง มีเพียงกวีเอกสวี่ชีอันเท่านั้นที่ทำได้

หากสอบไม่ผ่าน จะหวังอะไรกับการสอบหน้าพระที่นั่ง[1]

อวี้อ๋องรีบทูล “ฝ่าบาท วิธีนี้ไร้สาระเกินไป บทกวีที่แสนยอดเยี่ยมเช่นนี้ คนไม่เอาอ่าวจะแต่งออกมาได้ดั่งใจหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จางสิงอิงรีบสำทับ

หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายยิ้มและกล่าวว่า “ในสนามสอบ เวลามีจำกัดเช่นกัน สวี่ฮุ่ยหยวนก็เคยแต่งบทกลอนออกมาได้ตั้งหนึ่งบท เหตุใดจึงจะแต่งบทที่สองออกมาอีกไม่ได้เล่า

“คำพูดของอวี้อ๋องนั้นฟังไม่ขึ้น สวี่ซินเหนียนสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกออกมาได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเก่งเรื่องบทกวีอย่างยิ่ง หากเขาแต่งกลอนออกมาอีกบท และลองเอามาเปรียบเทียบกัน เมื่อนั้นย่อมเป็นที่ประจักษ์”

“ฝ่าบาท วิธีนี้วิเศษมากพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางใกล้ชิดหกฝ่ายรีบออกหน้าสนับสนุน จากนั้นขุนนางคนอื่นๆ ก็ทยอยเออออตามกันไป

เฉากั๋วกงนิ่งเฉยดูสถานการณ์ เขาเพียงให้สัญญาว่าจะช่วยให้สวี่ซินเหนียนได้รับโทษสถานเบา และไม่ได้ตั้งใจให้เขาพ้นผิด

ใบหน้าของอวี้อ๋องเคร่งเครียด และในขณะที่เขากำลังจะโน้มน้าวต่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็โบกพระหัตถ์และตรัสเรียบๆ “ข้าตัดสินใจแล้ว อวี้อ๋องไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ทหารรักษาพระองค์ร่างยักษ์ผู้สวมชุดเกราะ พร้อมดาบคมกริบในมือ เข้าไปในตำหนักกระดิ่งทองและกล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท สวี่ซินเหนียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

บรรยากาศที่ซบเซาในตอนแรก เริ่มตื่นตัวขึ้น เหล่าขุนนางชั้นสูงทั้งหลายเริ่มรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า พระสุรเสียงเคร่งขรึมองอาจ “นำตัวเข้ามา”

ทหารรักษาพระองค์ขอตัวออกไป ไม่กี่นาทีต่อมาสวี่ซินเหนียน ฮุ่ยหยวนประจำการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ก็เดินเข้ามาในชุดนักโทษ

เขาค่อยๆ เดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงเข้ม ผ่านขุนนางสองฝั่ง จนมาหยุดเบื้องหน้าจักรพรรดิหยวนจิ่ง

‘ที่…ที่นี่คือตำหนักกระดิ่งทองในตำนานหรือ?!’

‘ที่นี่คือสถานที่ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงเข้ามาประชุมกันน่ะหรือ?!’

‘เหตุใดถึงพาข้ามาที่ตำหนักกระดิ่งทองล่ะ’…เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในใจของสวี่ซินเหนียน และหัวใจของเขาเต้นมากเสียจนมือและเท้าสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

เขากดเสียงให้เบาที่สุด แล้วพูดให้กำลังใจตัวเองหนึ่งครั้ง “แม้นเขาถล่ม ก็ห้ามเปลี่ยนสีหน้า!”

ในเสี้ยววินาทีหัวใจของสวี่เอ้อร์หลางก็สงบลงดั่งน้ำในบ่อ สายตาใสกระจ่าง ราวกับมองไม่เห็นเหล่าขุนนางที่ยืนห้อมล้อมอยู่สองฝั่ง

เขากุมมือทำความเคารพและกล่าว “บัณฑิตสวี่ซินเหนียนถวายบังคมฝ่าบาท”

ทหารรักษาพระองค์พูดขึ้นในทันที “ยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิจารณาชายหนุ่มผู้มีหน้าตาผิวพรรณดีเกินกว่าจะทำชั่วโดยไม่ยำเกรงกฎหมายได้ พยักหน้าเล็กน้อยและตรัสอย่างเคร่งขรึม

“ข้าขอถามเจ้า ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อรับสินบนเพื่อเปิดเผยข้อสอบให้กับเจ้าหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนตอบเสียงดังฟังชัด “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่มีใครสนใจการแก้ต่างของเขาเลย จักรพรรดิหยวนจิ่งเพียงแต่ตัดบทเรียบๆ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า หากเจ้าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เจ้าต้องเขียนบทกลอนขึ้นในตำหนักกระดิ่งทองแห่งนี้ ข้าจะกำหนดหัวข้อเอง สวี่ซินเหนียน เจ้ากล้าหรือไม่”

‘ข้าไม่กล้า ข้าไม่กล้า’…ใบหน้าสวี่ซินเหนียนซีดลงเล็กน้อย

เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะถูกพาตัวมายังตำหนักกระดิ่งทอง เพื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

‘เส้นทางลำเค็ญ’ เป็นบทกลอนของพี่ใหญ่ หาใช่ผลงานของเขาไม่ แม้ว่าเขาก็เปลี่ยนคำไปบ้างเล็กน้อย และทุบอกป่าวร้องว่า ‘กลอนบทนี้ข้าเป็นคนแต่งเอง’ ก็ตาม

แต่ทว่า หากให้เขาเขียนกลอนขึ้นมาอีกบท ซึ่งก็คือกลอนด้นสด เขาทำไม่ได้แน่นอน

‘คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ต้องถูกวิญญาณนักปราชญ์เข้าสิงก่อนล่ะ’…ความสิ้นหวังท่วมหัวใจของสวี่ซินเหนียน เขาถึงขั้นคิดที่จะสารภาพทุกอย่างและขอให้ราชสำนักลงโทษสถานเบา

แต่ตรรกะก็บอกเขาว่า ทันทีที่เขายอมรับว่า ‘เส้นทางลำเค็ญ’ ไม่ใช่ผลงานของเขา สิ่งที่รออยู่ก็มีเพียงจุดจบที่ต้องตกสู่ขุมนรกแน่นอน

ไม่มีใครสนใจว่าเป็นเพราะพี่ใหญ่เก็งข้อสอบถูกต้อง

‘ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าจะทำอย่างไรดี ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการมาเยือนตำหนักกระดิ่งทองครั้งแรก จะกลับกลายเป็นครั้งสุดท้ายของสวี่ซินเหนียนผู้นี้ เขารู้ซึ้งถึงความยากลำบากและอันตรายของแวดวงขุนนางอย่างดี

พี่ใหญ่ ข้าควรทำอย่างไรดี…’

สีหน้าท่าทางของสวี่ซินเหนียนล้วนถูกจับตามองจากเหล่าขุนนางและจักรพรรดิหยวนจิ่ง

ดวงตาของเจ้ากรมซุนเป็นประกายด้วยความปีติ คราวนั้นสวี่ชีอันเขียนบทกวีและตรึงเขาไว้บนเสาแห่งความอัปยศ แต่คราวนี้ชะตามันเปลี่ยนไปแล้ว ถึงตาเขาเอาคืนบ้าง

ฉินหยวนเต้ารองเจ้ากรมทหาร แอบถอนหายใจออกมาเงียบๆ คิดว่าสถานการณ์โดยรวมได้คลี่คลายแล้ว หลังจากโค่นล้มจ้าวถิงฟางได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปของเขาคือการวางแผนชิงมหาสำนักตงเก๋อ

ศาลาในที่มีสมุหราชเลขาธิการหวางเป็นรากฐาน ซ้ำยังมีเจ้ากรมซุนเป็นดั่งกระดูกสันหลังของพรรคหวาง ไม่มีทางย้อนกลับได้แล้ว ราวกับตอกตะปูไว้บนไม้กระดาน[2]

หยวนสยงเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายมองไปยังเว่ยเยวียน จิตใจเขาไม่เป็นสุข เพราะเว่ยเยวียนไม่ยอมเคลื่อนไหว เป็นผลให้เสียแผนไปอย่างนั้น

แต่อย่างไรก็ตาม ทำให้เว่ยเยวียนเสียมือดีไปสักคนหนึ่ง ก็ไม่ถือว่าขาดทุนเสียทีเดียว

‘เดินมาถึงขั้นนี้แล้วจนได้’…เว่ยเยวียนถอนหายใจเงียบๆ ครั้งแรกที่เขารู้ว่าสวี่ซินเหนียนพัวพันกับคดีทุจริตการสอบเคอจวี่ เว่ยเยวียนรู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก แต่หลังจากที่สวี่ชีอันมาสารภาพว่าเป็นคนแต่งกลอนแทน เว่ยเยวียนจึงให้คำแนะนำว่า

พยายามถอยออกมาเงียบๆ อย่ากระโตกกระตาก

นี่เป็นความผิดร้ายแรงถึงแก่ชีวิต

‘ดูเหมือนสวี่หนิงเยี่ยนจะมีที่พึ่งอื่น ถึงเขาจะไม่พูด แต่ข้าก็สัมผัสได้’…เว่ยเยวียนพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ถึงการย้ายฝั่งของเฉากั๋วกง แต่เว่ยเยวียนไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาการบทกลอนอย่างไรดี

จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรสวี่ซินเหนียนจากพระที่นั่ง พระสุรเสียงทุ้มต่ำเฉียบขาด “ไม่กล้าหรือ”

เอื๊อก…สวี่ซินเหนียนกลืนน้ำลาย จะเงียบหรือตอบก็มีค่าเท่ากัน จึงกัดฟันพูดว่า “ฝ่าบาท ขอพระราชทานหัวข้อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งแย้มพระสรวลและตรัสสบายๆ “เพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิ ขอยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ตายเพื่อความยุติธรรม อืม เช่นนั้นเอา ‘ภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ’ เป็นหัวข้อแต่งกลอนก็แล้วกัน ให้เวลาหนึ่งชั่วก้านธูป”

เมื่อได้ยินหัวข้อจากจักรพรรดิหยวนจิ่ง เจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ ก็อดขำไม่ได้

ฝ่าบาททรงทราบดีว่าสวี่ซินเหนียนเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ แต่ก็ยังทำเช่นนี้โดยเจตนา

ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่สมัยโบราณกาล บทกวีเกี่ยวกับการภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ มักจะถูกเขียนขึ้นในช่วงแผ่นดินแตกแยก บ้านเมืองล่มสลาย ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุขน้อยนักที่จะปรากฏผลงานชั้นเอกในหัวข้อนี้

คำถามนี้โหดหินสุดๆ!

‘ภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ’…ร่างกายของสวี่ซินเหนียนแข็งทื่อ ถูกตรึงอยู่กับที่

วันนั้นพี่ใหญ่จับฉลากได้หัวข้อมาสองหัวข้อ หัวข้อแรกคือถ่ายทอดปณิธาน หัวข้อที่สองคือความรักชาติ หัวข้อถ่ายทอดปณิธานได้แจ้งเกิดในการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ไปแล้ว และช่วยให้เขาได้กลายเป็นฮุ่ยหยวนของราชสำนัก

จากนั้นบทกวีรักชาติที่เหลืออยู่ก็ไร้ประโยชน์ไปโดยปริยาย

เขาไม่เคยคาดคิดว่าหัวข้อที่จักรพรรดิหยวนจิ่งมอบให้จะเป็นบทกลอนเกี่ยวกับความภักดีต่อจักรพรรดิ รักชาติยิ่งชีพ

‘หรือ หรือว่า…ฝ่าบาททรงร่วมมือกับท่านพี่ มิฉะนั้นจะอธิบายความบังเอิญนี้ได้อย่างไร’

จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องไปที่ฮุ่ยหยวนจากการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ในห้องโถงอย่างเฉื่อยชา การสังเกตคำพูดท่าทางเป็นทักษะที่จักรพรรดิได้ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระราชโอรส

สีหน้า แววตาของสวี่ฮุ่ยหยวนผู้นี้ ระคนด้วยความหวาดกลัว สิ้นหวัง จนถึงขั้นตื่นตระหนก

อวี้อ๋องผู้ผ่านการเป็นพระราชโอรสมาเช่นเดียวกันก็กระแอมไอและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท…”

“อวี้อ๋อง!”

รองเจ้ากรมทหารขัดจังหวะเสียงดังกึกก้อง “เวลาหนึ่งก้านธูปนั้นมีจำกัด โปรดอย่ารบกวนการแต่งบทกลอนของสวี่ฮุ่ยหยวนเลยขอรับ เหล่าขุนนางในราชสำนักกำลังตั้งตารออยู่”

สีหน้าของอวี้อ๋องเคร่งเครียดขึ้นมา

เหล่าขุนนางต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป บางคนกังวล บางคนมีความสุข บางคนยิ้มเยาะ บางคนส่งสายตาเย็นชา

ท่ามกลางความเงียบงัน สวี่ซินเหนียนพูดเสียงดัง “ไม่ต้องรอให้หมดหนึ่งก้านธูปก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เป็นพระมหากรุณาที่ฝ่าบาททรงเมตตาประทานโอกาสกระหม่อม สวี่ชีอันพี่ชายคนโตของกระหม่อมเป็นถึงกวีเอก รังสรรค์บทกวีได้อย่างใจนึก

“กระหม่อมไม่อาจทำให้ท่านพี่อับอายได้เด็ดขาด”

หืม?!

จู่ๆ ก็มั่นอกมั่นใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น?

เหล่าขุนนางในท้องพระโรง อวี้อ๋อง และจักรพรรดิหยวนจิ่งต่างตกตะลึงในเวลาเดียวกัน

ชั่วขณะหลังจากนั้น เสียงของเขาก็ดังขึ้นเป็นจังหวะ กึงก้องไปทั่วตำหนัก

“เมฆดำโถมสู่เมืองแพ้แตกพ่าย เกราะต้องแสงทิวากรผ่องอำไพ”[3]

เพียงประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ก็ทำให้บังเกิดภาพนิมิตในใจทุกคนราวกับมีชีวิตจริง ข้าศึกถาโถมเข้าสู่เมืองราวกับเมฆดำ เบื้องหน้ากำแพงเมือง เกราะของกองทัพทหารหาญกระทบแสงตะวัน พร้อมออกรบ

สวี่ซินเหนียนหันไปมองข้างหลัง กวาดสายตามองขุนนางทั่วท้องพระโรง และท่องกลอนต่อ “เสียงแตรก้องฟ้ายามสารทฤดู เลือดหลั่งนองแดงฉานกลับม่วงคล้ำยามราตรีเยือน”

ทั้งราชสำนักต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าปัญญาชนผู้นี้ไม่เคยอยู่ในสนามรบ แต่ไฉนกลับพรรณนาฉากของสนามรบได้อย่างเหมาะสมและลึกซึ้งขนาดนี้

“ม้วนธงแดงประจันหน้าสีตลธารา ตีกลองหุ้มน้ำค้างไซร้ไร้เสียงส่งถึง”

“ตีกลองหุ้มน้ำค้างไซร้ไร้เสียงส่งถึง ข้ารู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังวันวานที่พร้อมสละชีพในสนามรบ เพื่อปกป้องชายแดนเลย” เหวยไห่ป๋อรู้สึกทึ่ง จนเอ่ยปากชื่นชมเสียงดัง

ส่วนขุนนางที่เหลือต่างเคลิ้บเคลิ้มไปกับมนต์เสน่ห์ของบทกลอน

ขุนนางบุ๋นขมวดคิ้ว เหลือบมองทหารชั้นต่ำด้วยความขยะแขยง นึกรังเกียจที่พวกเขาขัดจังหวะอย่างกะทันหัน

เจ้ากรมซุนเหลือบมองที่หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหยวนสยงมองไปยังฉินหยวนเต้า รองเจ้ากรมทหารด้วยความงุนงงในขณะที่ฉินหยวนเต้ามองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

ทั้งสี่คนจ้องมองกันเงียบๆ หัวใจของพวกเขาหล่นวูบ

ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กลอนบทนี้…ก็ใช้ได้ แต่มันเกี่ยวกับความภักดีต่อจักรพรรดิตรงไหน สิ่งที่เจ้าเขียนนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการสู้รบในสมรภูมิ ท่านฮุ่ยหยวนรูปงามเอ๋ย แม้แต่หัวข้อบทกลอนก็ไม่อาจเทียบเคียงกันได้เลย”

“หากไม่ได้ทุจริตจริงจะเรียกว่าอะไรเล่า”

“ถูกต้อง!” ฉินหยวนเต้ากล่าวเสียงดัง

สวี่ซินเหนียนทำหูทวนลม หันกลับมาอย่างรวดเร็ว และค้อมศีรษะลง กุมมือคำนับจักรพรรดิหยวนจิ่ง และกล่าวเสียงดังกึกก้องทั่วท้องพระโรง

“ขอตอบแทนมหากรุณาฯ ของพระตั่งทอง ยอมตายเอาดาบหน้าเพื่อองค์เหนือหัว”

ลมหายใจของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่หยุดนิ่ง จ้องไปที่สวี่ซินเหนียนด้วยความงุนงง รู้สึกได้แค่ว่าเหมือนถูกตบหน้าด้วยฝ่ามือที่มองไม่เห็น ไฟกัลป์ลุกโชนในใจของเขา

เจ้ากรมซุนและคนอื่นๆ ต่างหน้าซีด เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นขึ้นบริเวณขมับ

‘ขอตอบแทนมหากรุณาฯ ของพระตั่งทอง ยอมตายเอาดาบหน้าเพื่อองค์เหนือหัว’…จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพินิจใจความนั้นโดยไม่เร่งร้อน ก่อนจะค่อยๆ แย้มพระสรวล พระพักตร์มังกรฉายแววพอพระทัย

“กลอนดี กลอนดี สมแล้วที่เป็นฮุ่ยหยวน สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะผู้ประพันธ์ ‘เส้นทางลำเค็ญ’ ”

ด้วยสีพระพักตร์และพระสุรเสียงเช่นนั้น ใครเห็นย่อมมองออกว่า พระองค์กำลังสำราญพระทัยเพียงใด

หลังจากหยุดไปชั่วคราว จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสถามว่า “ว่าแต่ตั่งทองที่ว่านี้หมายความว่าอย่างไร”

‘ตั่งทอง ก็น่าจะเป็นตั่งที่หล่อด้วยทองคำสินะ’…สวี่ซินเหนียนโค้งคำนับและอธิบายตามความเข้าใจของตน “ขอภักดีต่อฝ่าบาท สละชีพเพื่อฝ่าบาท ต่อให้ไม่ใช่ตั่งที่หล่อด้วยทองคำ แต่เป็นตั่งหยก ก็หามาได้อย่างง่ายดายพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าช้าๆ และรอยยิ้มบนพระพักตร์หยักลึกขึ้นเรื่อยๆ “ไม่เลว ท้องพระโรงแยกแยะการตกรางวัลและการลงโทษอย่างชัดเจนเสมอมา ไม่เคยหยามเกียรติต่อวีรบุรุษ ข้าก็เช่นกัน”

พระองค์ตรัสต่อไปว่า “บทกวีของสวี่ฮุ่ยหยวนนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ชายของตน และ ’เส้นทางลำเค็ญ’ ที่เจ้าเป็นผู้แต่งเลย ส่วนการสอบหลักคำสอนและนโยบายนั้น ข้าจะรออ่านด้วยตัวเองตอนสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ดังนั้นอย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ

“ขอเพียงเจ้าสอบได้อันดับสอง ข้าก็ให้คำมั่นสัญญาได้ว่าจะให้เจ้าเข้าสู่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และแต่งตั้งเป็นบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการ”

สำนักบัณฑิตฮั่นหลินรู้จักกันในนามของสถานที่อบรมบัณฑิตฝึกหัด แม้บัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการจะเทียบไม่ได้กับบัณฑิตอันดับหนึ่ง แต่ก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติในการเข้าสู่ศาลาใน และกลายเป็นขุนนางใหญ่แห่งราชสำนัก

เว่ยเยวียนและสมุหราชเลขาธิการหวาง คนหนึ่งหันซ้าย คนหนึ่งหันขวา จ้องมองสวี่ซินเหนียนเป็นตาเดียว

สวี่ซินเหนียนโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก สะกดกั้นความปีติในใจของตน “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัส “ข้าเหนื่อยแล้ว เลิกประชุม”

จบแล้ว คดีทุจริตการสอบเคอจวี่ ดูเหมือนจะปิดฉากลงแล้ว

เว้นเสียแต่สวี่ซินเหนียนจะทำพลาดในการสอบหน้าพระที่นั่ง และเขียนบทความห่วยแตก ซึ่งความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ริบหรี่มาก ในฐานะบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่และฮุ่ยหยวนแห่งราชสำนัก ความสามารถของเขาย่อมติดอันดับต้นๆ ของบัณฑิตบรรณาการ

แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ว่า ฝ่าบาททรงชื่นชมเจ้าหนุ่มคนนี้เอามาก นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่

สีหน้าของขุนนางในท้องพระโรงดูแปลกประหลาด พวกเขาไม่คิดว่าคดีจะจบลงในลักษณะนี้

ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารไปอีก[4]…สีหน้าของเจ้ากรมซุนไม่น่ามองนัก หากการตรวจสอบราชสำนักสิ้นสุดลง และคดีทุจริตการสอบเคอจวี่สิ้นสุดเมื่อไร ต้องมีคนใช้โอกาสนี้โจมตีเขาอย่างแน่นอน โดยกล่าวหาว่าเขาใช้อำนาจในทางมิชอบ ยัดเยียดความผิดให้ผู้อื่น

ขุนนางใกล้ชิดหกฝ่ายและขุนนางใหญ่ระดับสามคนอื่น ต่างก็รู้สึกผิดหวังและไม่พอใจกันเป็นแถว

ความไม่พอใจนี้เกือบจะพุ่งถึงจุดสูงสุด หลังจากได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งรับปากว่าจะให้สวี่ซินเหนียนเข้าสู่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน

บัณฑิตแห่งสำนักอวิ๋นลู่มีคุณสมบัติอะไรจะมาเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน ตลอดสองร้อยปีนับตั้งแต่ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

เหล่าขุนนางในและนอกพระตำหนัก ต่างก็แยกย้ายกันไปด้วยความรู้สึกต่างๆ นานา เมื่อพวกเขาเดินผ่านจัตุรัสใหญ่ ก็เห็นฆ้องเงินยืนถือดาบอยู่ โดยหันหน้าไปทางประตูอู่เหมิน ประจันหน้ากับเหล่าขุนนาง

เจ้าหญิงทั้งสอง ฮว๋ายชิ่งและหลินอันยืนอยู่ในระยะไกล ไม่ได้ยืนเคียงข้างสวี่ชีอัน

ฝั่งหนึ่งคือเดรัจฉานสวมเสื้อผ้านับร้อยคน ขุนนางอำมาตย์ผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของเมืองหลวง

ฝั่งหนึ่งคือทหารชั้นต่ำยืนจังก้าอยู่คนเดียว ฆ้องเงินแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล

หนึ่งเดียวผู้ขวางกั้นกลุ่มคนที่ทรงอำนาจสูงสุดในต้าฟ่ง

เหล่าขุนนางสังเกตเห็นฆ้องเงินตัวเล็กๆ ที่ยืนขวางถนน ก็จำตัวตนของเขาได้ ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้จักเขา

‘นี่มันคิดจะทำอะไร’

‘ไอ้ทหารชั้นต่ำนี่ คิดจะวางท่าจองหอง อวดฤทธิ์เดชงั้นหรือ’

หกชั้นศาล รองเจ้ากรม ขุนนางใกล้ชิดหกฝ่าย เชื้อพระวงศ์ และผู้สูงศักดิ์…ดวงตาทุกคู่จดจ้องสวี่ชีอัน เพื่อพิจารณาเขา

‘ก็แค่ทหารชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาขวางทางพวกข้า’

หนึ่งคน หนึ่งดาบยืนหยัดหน้าประตูอู่เหมิน ขวางกั้นเหล่าขุนนางโดยลำพัง

สวี่ชีอันเผชิญหน้ากับคณะขุนนาง ค่อยๆ กวาดตามองทุกคน ทันใดนั้นก็แค่นยิ้มเย้ยหยัน สูดลมเข้าสู่จุดตันเถียน และพูดช้าๆ

“จนกว่าชีพและนามพวกเจ้าจะย่อยยับ ตราบใดที่ธารายังไหลรินข้าจะไม่ยอมแพ้!…ถุย!”

เขาถ่มน้ำลายอย่างแรง กระชับดาบในมือแล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ

เยาะเย้ยขุนนางทั้งกลุ่ม!

ภายในและภายนอกประตูอู่เหมินบังเกิดความเงียบงันขึ้นชั่วขณะ

………………………………………………….

[1] 殿试 การสอบต่อหน้าพระที่นั่ง เป็นการสอบเข้ารับราชการขั้นสุดท้าย

[2] 板上钉钉 (สำนวน) สิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว ไม่มีทางย้อนกลับมาแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงได้อีก

[3] จากบทกวี 《全唐诗》โดยหลี่ เหอ

[4] 偷鸡不成蚀把米 ขโมยไก่ไม่ได้ ยังเสียข้าวสารอีก (สำนวน) แปลว่าฉวยโอกาสไม่สำเร็จยังขาดทุน