ตอนที่ 656 ชิงเฉินก่อเรื่องแล้ว

พันธกานต์ปราณอัคคี

ภายใต้สายตาของเจ้าปีศาจลั่วเฟิง หลัวอวี้เฉิงประสานมือทั้งสองข้างไว้หลังศีรษะ พลางเอนกายอย่างสบายใจพลางเอ่ย “ข้อเสนอของท่านเจ้าปีศาจ ให้ข้าได้พิจารณาสักหน่อย มิเช่นนั้นเอาเยี่ยงนี้หรือไม่ ข้าสามารถโน้มน้าวให้ลั่วหยางเจินจวินคลายห่วงพันธนาการอสูรให้ได้ เพียงแต่ท่านต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

“เงื่อนไขอะไร” เจ้าปีศาจลั่วเฟิงหัวใจเต้นรัวด้วยลางสังหรณ์ไม่ดีนัก

เห็นหลัวอวี้เฉิงยิ้มจนตาหยีและพูดว่า “ก่อนที่พวกเราจะกลับไปถึงดินแดนเทียนหยวน หากบังเอิญพบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับถอดดวงจิตเข้า ท่านต้องช่วยรับมือ”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงสีหน้าทะมึน เขากัดฟันพลางพูด “อาศัยร่างกายในตอนนี้ของข้าเช่นนั้นหรือ”

นึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกโกรธ คนเหล่านี้คือความโชคร้ายที่ถูกลิขิตมาของเขา ทันทีที่พบเจอก็เผชิญกับหายนะมากมาย จงหลางมิได้คล้ายกับเทียนหยวนเช่นนั้น เขาไม่อาจท่องไปในแดนนี้ได้อย่างเสรีโดยง่าย!

ดูเหมือนว่าหลัวอวี้เฉิงจะเดาความในใจของเจ้าปีศาจได้แล้ว เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและพูด “ท่านเจ้าปีศาจ พวกเราอย่าได้กล่าวโทษกันเลย เทียบกันแล้วพวกเราน่าเวทนายิ่งนัก ชิงเฉินจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใดก็มิอาจรู้ เป็นอย่างไรเล่า ท่านรับปากหรือไม่”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงรู้สึกไม่สบอารมณ์ เมื่อสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ถูกปล่อยออกมาจากกายของหลัวอวี้เฉิง เขาเชิดคางขึ้นพลางกล่าว “ข้าไม่รับปาก แล้วเจ้าจะทำไมหรือ”

หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้วอย่างเกียจคร้าน จากนั้นเสียง ปึง ก็ดังขึ้น ฝ่ามือกระแทกลงไปบนโต๊ะ ทำเอาผู้คนต่างสะดุ้งตกใจ

“ท่านเจ้าปีศาจ ข้าน้อยมิใช่ชิงเฉิน นางรักศิษย์ตัวน้อยของนาง แต่ข้ามิได้รัก หากข้าจะจัดการตัวหายนะเช่นท่านก็มิใช่เรื่องใหญ่อะไร รอจนนางฟื้นขึ้นมาค่อยยอมรับผิดและขอให้นางลงโทษก็ได้!”

ปากของเจ้าปีศาจบิดเบี้ยว เขาจะปริปากพูดก็เห็นหลัวอวี้เฉิงโน้มกายเข้ามา “คิดๆ ดูแล้ว ชิงเฉินเองก็คงมิฆ่าข้าเพราะเหตุนี้หรอกใช่หรือไม่”

“เจ้ามิกลัวนางเกลียดเจ้าหรือ” เจ้าปีศาจโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อลดระยะห่างระหว่างทั้งสองคน จากนั้นถามอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ

หลัวอวี้เฉิงหัวเราะเยาะกับตนเอง “เหอะ หากนางจะเกลียดข้าก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างไรเสียเมื่อกลับไปดินแดนเทียนหยวนแล้ว ข้าน้อยก็ต้องกลับตระกูล และจะไม่ปรากฏตัวในใต้หล้าอีกตลอดกาล!”

เมื่อทุกคนได้ยินคำนี้ล้วนตกตะลึง

โดยเฉพาะอีกาไฟที่รีบหันมามองหลัวอวี้เฉิง สุดท้ายมันก็แอบถอนใจเงียบๆ และเบือนสายตากลับไป

ยามนี้เองที่เยี่ยเทียนหยวนผลักประตูออกมา เขาเห็นใบหน้าของหลัวอวี้เฉิงกับเจ้าปีศาจอยู่ใกล้กันมา ดวงตาทั้งสองประสานกันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ “สหายหลัว พวกเจ้า…”

หลัวอวี้เฉิงกับเจ้าปีศาจลั่วเฟิงผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนหยวนดูเหมือนการปกปิดความเข้าใจผิด

“ได้ ข้ารับปาก”

รอจนเยี่ยเทียนหยวนเดินเข้ามาใกล้ เจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็กวาดตามองหลัวอวี้เฉิงอย่างเร่งรัด

หลัวอวี้เฉิงเอ่ย “สหายเยี่ย ปลดห่วงพันธนาการอสูรของเจ้าปีศาจได้หรือไม่”

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก “สหายหลัว หรือว่าเจ้า…”

ประโยคหลังนั้นมิกล้าเอื้อนเอ่ยออกมา ในใจคิดว่าสหายหลัวเอ๋ย แม้ว่าข้าจะเข้าใจความรู้สึกที่เจ้ามีต่อศิษย์น้อง แต่นางเป็นภรรยาของข้าแล้ว และจะมิปล่อยมือให้เจ้าเป็นอันขาด แต่เจ้าก็มิได้อับจนหนทางจนต้องกลายเป็นนิยมชมชอบบุรุษเยี่ยงนี้!

แม้ว่าหลัวอวี้เฉิงจะฉลาดหลักแหลม แต่คิดไม่ถึงว่าความคิดของเยี่ยเทียนหยวนจะผิดเพี้ยนไปไกลเสียขนาดนี้ เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “สหายเยี่ยเป็นอะไรไปหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร”

“อืม ในเมื่อไม่เป็นอะไร ก็รีบปลดห่วงพันธนาการอสูรของเจ้าปีศาจเถิด”

เยี่ยเทียนหยวนยืนนิ่ง ตามด้วยเอ่ยเสียงเบา “สหายหลัว เจ้าปีศาจจิตใจอำมหิตนัก เขาจะต้องหลอกให้เจ้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน…”

หลัวอวี้เฉิงชะงัก ทันใดนั้นก็เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียนหยวน เขากระตุกมุมปากแล้วถาม “สหายเยี่ย เจ้าหมายความว่า เจ้าปีศาจมิได้จริงใจกับข้าเช่นนั้นหรือ”

เยี่ยเทียนหยวนถอนหายใจ พลางพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

หลัวอวี้เฉิงโกรธจนมือสั่น นึกไม่ถึงเลยว่าเขายังจะกล้าพยักหน้า ยังจะกล้าพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง!

“เยี่ยเทียนหยวน ข้าควรจะฆ่าเจ้าเสียแต่แรก!” หลัวอวี้เฉิงที่สง่างามและหยิ่งยโสอย่างองค์ชายผู้สูงศักดิ์มาตลอดแผดเสียงออกมา เขาชักดาบอ่อนที่รัดอยู่ตรงเอวและแทงออกไป

เยี่ยเทียนหยวนรีบยกดาบยาวเพลิงม่วงขึ้นต้าน จากนั้นพูดอย่างไม่เข้าใจ “สหายหลัว…”

“หุบปาก ข้าไม่อยากได้ยินเสียงของเจ้าในตอนนี้ ข้าแค่อยากจะฆ่าเจ้า!”

เห็นทั้งสองคนต่อสู้กันในชั่วพริบตา ทุกคนต่างอึ้งจนโง่งมแล้ว

อีกาไฟถลึงตามองเจ้าปีศาจ “เจ้าทำอะไรลงไป”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้ามิได้ทำอะไร”

“ถ้ามิได้ทำอะไร แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้ต่อสู้กันเล่า”

เจ้าปีศาจลั่วเฟิงโกรธเข้าแล้ว “อีกาที่ทั้งอ้วนทั้งดำเช่นเจ้า อย่าได้มาพูดคุยกับข้าอย่างโอหังเยี่ยงนี้!”

“ทั้งอ้วนทั้งดำเช่นนั้นหรือ” อีกาไฟกรีดร้อง มันกระพือปีกและบินไปยังใบหน้าของเจ้าปีศาจ ใช้กรงเล็บของมันกรีดไปพลางพูด “หมาป่าน้อย เขาน้อย ช่วยข้าฟาดเขาให้ตายไปเลย!”

“พวกเจ้า…” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ทุกคนหยุดลงทันที จากนั้นก็มองตรงไปยังทิศทางของเสียง

เมื่อดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

เห็นมั่วชิงเฉินยืนอยู่เงียบๆ ด้วยใบหน้างุนงงตรงหน้าประตูที่เปิดเอาไว้

“ชิงเฉิน/นายท่าน ฟื้นแล้ว!” ทุกคนล้วนพุ่งเข้าไปจนเกิดลมสายหนึ่ง

แต่ยังไม่ทันถึง มั่วชิงเฉินหายไปเสียแล้ว รอบๆ เหลือเพียงแค่แสงวิญญาณอันอ่อนแสงกำลังขยับขึ้นลง

ทุกคนหน้าถอดสีและรีบพุ่งเข้าไปในเรือน กลับเห็นมั่วชิงเฉินที่เรือนผมขาวโพลนดุจหิมะกำลังนอนไม่ขยับอยู่บนเตียง

หลังจากสำรวจมั่วชิงเฉินอย่างรวดเร็ว ทุกคนก็เงียบลงอยู่ครู่

“สหายเยี่ย เมื่อครู่…เจ้าทำอย่างไร” หลัวอวี้เฉิงถามอย่างยากลำบาก

เยี่ยเทียนหยวนใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยแต่ก็ตอบออกมา “ก็ทำตามวิธีที่สหายหลัวว่า ใช้ไฟจริงกระตุ้นไฟชีวิตในตันเถียนของชิงเฉิน เพียงแต่กายของชิงเฉินอ่อนแอเกินไป ข้ามิกล้าใช้เวลานานจนเกินไป…”

สองมนุษย์สามอสูรวิญญาณครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ก็ไม่เข้าใจนักว่าเมื่อครู่เห็นมั่วชิงเฉินได้อย่างไร เจ้าปีศาจที่มองดูอยู่โดยมีมือทั้งสองข้างประคองใบหน้าเอาไว้อธิบาย “มิเห็นมีอะไรประหลาด นางกำลังจะไปถึงขั้นถอดดวงจิต ดวงจิตจึงหลุดลอยออกมาอย่างไม่รู้ตัว”

“ดวงจิตหลุดลอยออกมาอย่างไม่รู้ตัวหรือ” เยี่ยเทียนหยวนและหลัวอวี้เฉิงสบตากัน จากนั้นก็หัวใจเต้นแรงพร้อมๆ กัน

เจ้าปีศาจยิ้ม จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ออกว่าปลงหรือว่าหวาดกลัว “ใช่แล้ว จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับนาง พวกเจ้าเองก็ทราบดีว่าหลังจากผู้บำเพ็ญเพียรเข้าสู่ระดับก่อกำเนิดแล้ว สามารถควบคุมดวงจิตให้ออกจากร่างได้ ดังเช่นการบำเพ็ญคู่และการหนีเอาชีวิตรอด แต่การเข้าสู่ระดับถอดดวงจิตนั้นไม่เหมือนกัน แรกเริ่มก็คือการไม่ควบคุม ปล่อยให้ดวงจิตหลุดลอยออกมาอย่างไม่รู้ตัวและเลื่อนขั้นเช่นนี้ นางในตอนนี้มีประสบการณ์เช่นนี้ ถ้าหากว่าดวงจิตจดจำสภาพเช่นนี้ได้เองก็จะเป็นประโยชน์แก่การเลื่อนขั้นในอนาคต”

เมื่อทุกคนได้ยินก็พากันโล่งอก

แต่กลับได้ยินน้ำเสียงของเจ้าปีศาจเปลี่ยนไป “แต่พวกเจ้าก็ต้องเป็นกังวลว่า ถ้าหากหลังจากนี้นางเกิดสภาวะเช่นนี้บ่อยเข้า ดวงจิตล่องลอยไปหนใดก็มิอาจทราบ อีกทั้งยังกลับมาไม่ได้คงจะไม่ดีนัก”

หลังเจ้าปีศาจพูดจบ หลัวอวี้เฉิงก็พูดถึงเงื่อนไขที่เขาทำกับเจ้าปีศาจ เยี่ยเทียนหยวนก็คลายห่วงพันธนาการอสูรให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ

จากนั้นเจ้าปีศาจลั่วเฟิงก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องของตัวเองเพื่อนรักษาอาการบาดเจ็บ เยี่ยเทียนหยวนกับหลัวอวี้เฉิงก็ไปที่สวนดอกไม้ขององค์หญิงฝูเยาในทุกๆ วันตอนพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อใช้จิตวิญญาณและโลหิตรดน้ำต้นไม้

หลังกลับมาเยี่ยเทียนหยวนก็ใช้เวลาสักพักในการรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่มั่วชิงเฉิน ทุกคนล้วนเป็นกังวล กลัวว่าดวงจิตของมั่วชิงเฉินจะหายไป

ชั่วพริบตาเดียววันที่สงบเช่นนี้ก็ผ่านไปเจ็ดปี วันนี้เกิดบางอย่างผิดปกติขึ้น

ในเวลาปกติแล้ว ทุกๆ วันยามเยี่ยเทียนหยวนรักษาอาการบาดเจ็บให้มั่วชิงเฉิน ทุกคนก็จะสร้างม่านป้องกันและบำเพ็ญเพียรอยู่ในห้องของตนเพื่อไม่เป็นการรบกวน

แต่วิธีการรักษาที่เยี่ยเทียนหยวนมอบให้แก่มั่วชิงเฉินนั้น ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรคู่อื่นที่มักได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย กลับเป็นเพราะว่าเขาบำรุงอีกฝ่ายที่กายบาดเจ็บอยู่ฝ่ายเดียว ประกอบกับเขาสูญเสียจิตวิญญาณและโลหิตอยู่วันแล้ววันเล่า กำลังของเขาจึงถดถอยลงไปเรื่อยๆ

วันนี้ยามเขารักษาอาการบาดเจ็บให้มั่วชิงเฉิน ด้วยจิตใจและร่างกายที่เหนื่อยล้าจึงเผลอหลับไป แม้จะเพียงครู่เดียวแล้วก็ตื่นขึ้นมา แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว

ดวงจิตของมั่วชิงเฉินออกจากร่างแล้วหายไปแล้ว!

ทั้งกายและโลหิตของเยี่ยเทียนพลันแข็งทื่อ เขาวิ่งโซซัดโซเซออกไปนอกห้องและใช้สติสัมปชัญญะเฮือกสุดท้ายเพื่อตะโกนเรียกทุกคน

“พวกเจ้าตามข้ามา!” หมาป่าน้อยพูดขึ้นโดยพลัน มันกางปีกสีดำทั้งสองข้างออกและบินออกไปข้างนอก

เพราะเขาทำพันธสัญญากับมั่วชิงเฉิน หลังจากเขาเลื่อนขั้นก็สามารถดมกลิ่นหอมที่วิญญาณของนางปล่อยออกมาได้

อีกฝั่งหนึ่ง มั่วชิงเฉินเหาะประหนึ่งหมอกสีเขียว จากนั้นร่อนลงมายังสวนดอกไม้แห่งหนึ่งอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

กลิ่นที่คุ้นเคยโชยมา นางเดินตามมันไปจากนั้นก็พบลูกท้อสีเขียวลูกหนึ่งอยู่มุมกำแพง

มั่วชิงเฉินในยามนี้มีนิสัยเหมือนปกติ แต่ไร้ความรู้สึกดั่งมนุษย์ อาศัยเพียงสัญชาตญาณในการกระทำการ

อีกทั้งแวบแรกที่เห็นลูกท้อสีเขียว สัญชาตญาณของนางก็เอาแต่กู่ร้องให้นางกินมันลงไป

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปลูบกลีบดอกไม้สีเขียว จ้องมองลูกท้อสีเขียวพลางครุ่นคิด จากนั้นดึงปากน้ำเต้าออก มุมปากอมยิ้มและใช้สุราเลิศรสในน้ำเต้ารดลงไป

กลิ่นสุรากระจายไปไกล อีกทั้งลูกท้อสีเขียวยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจขึ้น

ทันใดนั้นแสงวิญญาณของมันก็พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้าและเกิดเป็นดอกท้อขนาดใหญ่มากมาย

ดอกท้อสีเขียวผลิบานเป็นชั้นๆ แล้วก็ร่วงโรย จากนั้นดอกตูมดอกใหม่ที่งดงามยิ่งกว่าก็ผุดขึ้นมา

พริบตาเดียวใต้ฝ่าเท้าของมั่วชิงเฉินก็เต็มไปด้วยดอกท้อ และดอกท้อบนต้นก็ยังคงบานสะพรั่ง

มั่วชิงเฉินเอียงหน้ามองทุกอย่างด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ทันใดนั้นดอกท้อบนกิ่งไม้ทั้งหมดก็รวมกันในพริบตาเดียว และกลายเป็นดอกไม้ตูมขนาดมหึมา

สายลมอ่อนๆ โชยมา ดอกไม้ที่ตูมอยู่ก็สั่นไหวและบานออก สตรีชุดเขียวขนาดหนึ่งฉื่อนางหนึ่งเหาะออกมาจากข้างในอย่างเหนือความคาดหมาย

สตรีชุดเขียวบินออกมาอย่างช้าๆ สีหน้าปรากฏความหวาดกลัวเมื่อพบเข้ากับมั่วชิงเฉินและรีบพุ่งยังกิ่งไม้

มั่วชิงเฉินที่กายเหมือนควันสีเขียวเหาะขึ้น นางคว้าสตรีชุดเขียวเอาไว้ในมืออย่างรวดเร็ว พลางเอียงคอพินิจพิเคราะห์อย่างสงสัย จากนั้นก็แลบลิ้นเลียมุมปาก

สตรีชุดเขียวใบหน้าหวาดผวา นางวิงวอนไม่หยุด

แต่มั่วชิงเฉินกลับไม่ไหวติง นางทำเพียงคว้าสตรีชุดเขียวเข้าปากอย่างตามใจ

“หยุดนะ!” ไกลออกไปมีสตรีชุดเหลืองร่อนลงมา นางสะบัดแขนเสื้อเพียงคราเดียว ดอกไม้สดจำนวนมากก็ปลิวออกมา

เพียงแต่นอกจากดอกไม้สดพวกนี้จะสวยแล้วยังเป็นอาวุธสังหารอันน่าประหลาดใจ ทั้งหมดนั่นพุ่งเข้าจู่โจมมั่วชิงเฉิน

ดวงตาของมั่วชิงเฉินสงบนิ่ง นางอ้าปากและกลืนสตรีชุดเขียวลงไป

เส้นผมสีขาวโพลนของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีดำตั้งแต่โคนด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

เสียง พรึ่บ ดังขึ้น ตามด้วยห่วงสีทองหลายวงพุ่งเขาโจมตีดอกไม้สด จากนั้นเยี่ยเทียนหยวนและคนอื่นๆ ก็ร่อนลงมา

“องค์หญิงฝูเยา โปรดยั้งมือด้วย!”