บทที่ 43 การสารภาพ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 43
การสารภาพ

มู่หรงเสวี่ยที่จัดการปัญหาใหญ่ๆไปได้แล้วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

เช้าวันต่อมาที่โต๊ะอาหารเช้า!
“พี่จื่อเหวิน ช่วงนี้ยุ่งๆเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

มู่หรงเสวี่ยจะสังเกตเห็นไหมน่ะ?! ก็แน่นอนอยู่แล้ว ช่วงนี้เขามัวแต่ยุ่งกับงานใต้ดิน จะมีปัญหาหรือเปล่าน่ะ?!

“ ไม่มีอะไรหรอก มีอะไรหรือเปล่า? เสี่ยวเสวี่ยมีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่า?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือถ้าพี่ยุ่งงั้นต่อไปพี่ไม่ต้องมารับมาส่งฉันแล้วก็ได้นะ เดี๋ยวฉันหาบอดี้การ์ดคนอื่นแทนได้” ก่อนหน้านี้มู่หรงเสวี่ยเคยบอกไว้ว่าเธอมีเรื่องที่จะคุยกับพี่จื่อเหวิน เธออยากให้พี่จื่อเหวินไปดูแลฝ่ายรักษาความปลอดภัยบริษัทแทน

โม่จื่อเหวินประหลาดใจมากพร้อมกับมองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างไม่เกรงใจ “เสี่ยวเสวี่ย ผมทำอะไรไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า?” ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่จ้างงานเขา แล้วความพยายามทั้งหมดของเขาที่เสียไปล่ะ!? เหตุผลที่เขายุ่งมากก็เพราะต้องการที่จะฝึกตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อมาปกป้องเธอ เขาได้รวบรวมพวกแก๊งมากมายและสร้างแก๊งเม็กซิกันขึ้นมา ส่วนอีกสามแก๊งที่เหลือยังจัดการได้ไม่ง่ายเท่าไร

“เปล่าเลย พี่จื่อเหวินทำงานได้อย่างดีมาก แต่ฉันคิดว่าทำผิดกับพี่ที่ให้พี่มาเป็นบอดี้การ์ดของตัวเอง”

“ผมไม่เสียใจเลยนะครับ เป็นเกียรติของผมมากกว่า” โม่จื่อเหวินตอบอย่างระมัดระวัง

มู่หรงเสวี่ยยิ้ม ในฐานะคู่หูเธอโชคดีมากที่มีสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์แบบนี้ แต่! ไม่มีใครพูดกันแบบนั้น

“แต่พี่จื่อเหวิน ฉันมีเรื่องอื่นอีกที่ต้องทำ ตอนนี้ เสี่ยวเข่อลี่ไปอยู่ที่อื่นแล้ว ตอนนี้เลยไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัยนอกจากนี้ฉันเองก็มีความสามารถในการป้องกันตัวเองด้วยนะ”

ป้องกันตนเองงั้นเหรอ?! เขาไม่เชื่อ ถ้าเธอปกป้องตัวเองได้แล้วเธอจะถูกชางกวนโม่รังแกได้ยังไง หรือว่าเสี่ยวเสวี่ยต้องการให้เขาทำแบบนั้นเอง?!

“มีอะไรหรือเปล่า? ถ้าผมไม่ได้ปกป้องคุณงั้นจะมีอะไรที่ผมจะทำได้ดีอีกเหรอครับ?” ควรจะต้องจัดการเรื่องธุระของเสี่ยวเสวี่ยก่อนดีกว่าแล้วเรื่องแก๊งค่อยจัดการทีหลังก็ได้

“ฉันเดาว่าพี่คงหนีฉันไม่พ้นหรอกนะ ฉันอยากให้พี่มีบทบาทในบริษัทของฉันด้วย ในบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและพี่จะมีหน้าที่ดูแลแผนกรักษาความปลอดภัย ครั้งที่แล้วพี่ได้คุยกับเพื่อนทหารผ่านศึกแล้วหรือยัง?! ถ้าพี่ติดต่อพวกเขาไปแล้วก็ให้เขามาทำงานได้ไม่มีปัญหา ทางบริษัทจะมอบหมายงานให้ หากมีใครได้รับบาดเจ็บพี่พิจารณาความร้ายแรงของอาการแล้วบอกฉันด้วย”
“แต่เสี่ยวเสวี่ย ในช่วงนี้คุณถูกลักพาตัวบ่อยมากเลย ผมเป็นห่วงจริงๆนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับฉัน ฉันต้องการการสนับสนุนมากกว่า จะเป็นประโยชน์มากสำหรับฉันที่พี่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้”

การจัดการเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย เขาแค่คิดเรื่องชางกวนโม่ แต่เสี่ยวเสวี่ยพูดถูก การให้การสนับสนุนเธอสำคัญที่สุด “งั้นผมสัญญาครับ”

มู่หรงเสวี่ยเห็นจื่อเหวินไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องรายได้ เธอก็อดขำไม่ได้ เขาไม่คิดถึงเรื่องของตัวเองเลยได้ยังไง

“ในเรื่องของรายได้ นอกจากเงินเดือนแล้ว ฉันจะยกหุ้นของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปให้พี่อีก 5%”

โม่จื่อเหวินตกตะลึง “ไม่ ผมจะรับแค่เงินเดือนเท่านั้นครับ! ส่วนหุ้นคุณหนูเก็บไว้เถอะครับ”

“ทำไมพี่ถึงเรียกฉันว่าคุณหนูอีกแล้วล่ะ ฉันปฏิบัติกับพี่เหมือนครอบครัว ไม่เคยทำเหมือนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเลย การที่ฉันแบ่งหุ้นให้พี่มันก็มีจุดประสงค์ ฉันรู้ว่าพี่ต้องทำงานอย่างเต็มความสามารถฉะนั้นอย่าปฏิเสธเลย หรือว่าพี่ไม่อยากที่จะช่วยฉัน ฉันไม่เชื่อหรอกนะ!”
มู่หรงเสวี่ยกัดปากตัวเองและแสร้งทำเป็นเสียใจ เธอไม่ใช่เจ้านายใจร้ายและความสามารถของโม่จื่อเหวินก็ดีมากกว่าแค่ฝีมือการผูกเชือกซึ่งจะมีประโยชน์กับบริษัทของเธออย่างมาก

โม่จื่อเหวินขมวดคิ้วและเพียงตอบออกมาสั้นๆ “ตกลง!”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างพอใจ อันที่จริงตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องใช้บอดี้การ์ดแล้ว ถ้าเจอกับพวกคนร้ายเธอก็สามารถใช้ยาได้ ในมิติลับเธอได้กลั่นยาป้องกันตัวไว้จำนวนมากซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนจำนวนมากเวียนหัว มันไม่มีประโยชน์ที่จะมีผู้คุ้มกันถ้าเธอต้องไปเจอกับชางกวนโม่ จะดีกว่าถ้าจะให้พี่จื่อเหวินไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่า

ที่โรงเรียนหลายวันนี้ไม่มีโม่อ้ายลี่เพราะเธอขอลาหยุด ถึงแม้มู่หรงเสวี่ยจะช่วยรักษาคุณปู่ไปแล้วแต่ท่านก็ยังไม่แข็งแรงเท่าไร อ้ายลี่จึงขอลาหยุดเพื่อที่จะดูแลท่าน มู่หรงเสวี่ยคิดอยู่สักพัก วันนี้รีบกลับไปเพื่อปรับแต่งยาให้คุณปู่โม่ดีกว่า แล้วช่วงนี้เสี่ยวหลินก็ยุ่งๆอยู่ที่บ้านด้วย ตอนนี้เธอไม่รู้เลยว่าเสี่ยวหลินเป็นยังไงบ้าง

เพราะมัวแต่คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ มู่หรงเสวี่ยจึงไม่สังเกตเห็นร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ
“อ่า! น่าเสียใจจริงๆที่มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจกันเลยแบบนี้” หน้าผากของเธอชนเข้ากับคางของอีกฝ่าย

“เสี่ยวเสวี่ยเป็นอะไรหรือเปล่า?” หยางเฟิงถามอย่างกังวล เดิมทีเขายืนพิงต้นไม้ที่ข้างทางเพื่อรอมู่หรงเสวี่ย แต่มู่หรงเสวี่ยไม่ได้มองถนนเลยเดินเข้ามาชน เขาจึงเตือนเธอไม่ทัน

ตั้งแต่วันนั้นที่ไปทานอาหารค่ำที่ตระกูลมู่หรง ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่คุยกับเธอแต่ดูเหมือนช่วงนี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวเสวี่ยยุ่งเรื่องอะไรอยู่? วันนี้ไม่มีใครเขาเลยออกมาจากห้องก่อนเวลาเพื่อออกมารอเจอเธอข้างนอก โชคดีที่ทันได้เจอ

“อ่า!? รุ่นพี่หยางเองเหรอ ฉันไม่เป็นไร ทำไมนายมาอยู่ตรงนี้ล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยลูบหน้าผากและถามอย่างสงสัย
หยางเฟิงยิ้ม “ฉันมารอเธอไง!”
รอเธอเหรอ?!! “มีอะไรเหรอ? มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”

หยางเฟิงชูตั๋วสองใบในมือ“ คือเพื่อนฉันส่งตั๋วหนังมาให้สองใบ เราไปดูด้วยกันไหม?” อันที่จริงเขาเป็นคนที่ซื้อมาเองแหละ ฮ่าฮ่า!

ดูหนังเหรอ?! นานแค่ไหนแล้วนะที่เธอไม่ได้ไปดูหนัง? ในชีวิตที่แล้วเธออยากไปดูหนังและไปซื้อของกับฟางฉีฮัวเหมือนคู่รักธรรมดา ๆ แต่เธอมักจะบอกเสมอว่าการดูหนังไม่เหมาะกับตัวตนของเธอ เธอควรไปแต่งานเลี้ยงชั้นสูงและอะไรพวกนั้น เธอรู้ว่าเขาชอบปาร์ตี้และเข้าร่วมงานเลี้ยงกับเธอเสมอ อีกทั้งครอบครัวก็รู้ความจริงที่ว่าพวกเขาคบกัน

ในตอนนั้นเธอดูมีความสุขมากที่ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปิดกว้างและต่อมาเธอก็ถูกพ่อแม่ต่อต้านและอื่น ๆอีก และทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนของฟางฉีฮัว เธอเป็นคนโง่อะไรอย่างนี้! ใช่ไหม!?

“เสี่ยวเสวี่ย ได้ยินฉันไหม?” สีหน้าที่คาดเดาไม่ได้ของเสี่ยวเสวี่ยทำให้เขาประหลาดใจ

มู่หรงเสวี่ยที่กลับมาได้สติอีกครั้ง ยิ้มออกมา สิ่งที่เธอไม่เคยลองในชีวิตที่แล้ว ในที่สุดในชีวิตนี้เธอก็ได้ทำแล้วและมันก็คงจะดีที่จะได้ไปดูหนังกับเพื่อน “ดีเลย! เมื่อไรดีล่ะ?”

ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธในที่สุดก็มลายหายไป “บ่ายนี้เลย หลังเลิกเรียนฉันจะรอเธอนะ!”

“ได้เลย แล้วเจอกันตอนบ่ายนะ”

พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานและไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลินจื่อชิง ลูกพี่ลูกน้องของหยางเฟิงซึ่งเรียนชั้นเดียวกับมู่หรงเสวี่ยได้ซ่อนตัวอยู่ข้างรั้วด้านหลังพวกเขาและแอบฟังเรื่องทั้งหมด

ลูกพี่ลูกน้องเธอซื้อตั๋วหนังมาชวนผู้หญิงราคาถูกคนนั้นไปดูเนี่ยนะ!!! เธอบังเอิญเห็นลูกพี่ลูกน้องของเธอซื้อตั๋วหนังเมื่อวานนี้ ตอนนั้นเธอคิดว่าเขาจะเอามาดูกับเธอ วันนี้เธอเลยอารมณ์ดี เธอรอให้ลูกพี่ลูกน้องของเธอมาเอ่ยปากชวนว่า: ไปดูหนังกันเถอะ! แต่ใครจะรู้ว่ามันจะไม่ใช่!

ผู้หญิงราคาถูกคนนั้นกล้าหลอกล่อลูกพี่ลูกน้องของเธอ เธอจะไม่ปล่อยมู่หรงเสวี่ยไป ครั้งล่าสุดที่เธอเห็นมู่หรงเสวี่ย เธอรู้สึกรังเกียจ ตอนนั้นเธอต้องการสอนบทเรียนให้มู่หรงเสวี่ย แต่ต่อมาเธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนถ่ายภาพมู่หรงเสวี่ย แม้ว่าจะมีลูกพี่ลูกน้องเธออยู่ในภาพด้วย แต่เธอก็รู้ว่ารูปนั้นเป็นของปลอมเพราะเธอก็ทานอาหารที่นั่นด้วยเพียงแค่อยู่ห่างออกไปหลายโต๊ะ

ในตอนนั้นมีใครบางคนที่เล่นงานมู่หรงเสวี่ยซึ่งทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก และในเมื่อมีคนอื่นทำไปแล้วเธอจึงขี้เกียจที่ลงมือเอง นอกจากนี้ญาติของเธอก็ไม่ชอบการกระทำของเธอด้วย เธอไม่ได้คิดว่านังคนนี้จะมาล่อลวงลูกพี่ลูกน้องของเธอจริงๆ เธอรู้จักลูกพี่ลูกน้องของเธอดี ถ้ามู่หรงเสวี่ยไม่ใช่สาวในดวงใจเขา เธอก็คงไม่สนใจ นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องจะไปดูหนังอีกนะ

ลูกพี่ลูกน้องเป็นของเธอ! ห้ามใครมาขโมย!!! ใครกล้าเข้ามาใกล้ เธอเอาตายแน่!
ในช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน

มู่หรงเสวี่ยอยู่ไกลจนมองไม่เห็น หยางเฟิงจึงตะโกนเรียกเธอ
“มู่หรง ทางนี้!”
ความงดงามของวัยเยาว์ เธอช่างโชคดีจริงๆที่สามารถได้มีมันอีกครั้ง “รุ่นพี่หยาง ไปกันเถอะ!”

ทั้งสองเดินไปบนถนนในโรงเรียนด้วยกันอย่างช้าๆกลายเป็นภาพที่สวยงาม นักเรียนหลายคนรอบตัวหันหลังกลับมามองบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีนักเรียนชายและหญิงจำนวนมากที่ต่างอิจฉาริษยาและเกลียดชัง

“รุ่นพี่หยาง นายนี่โดดเด่นจนฉันกลัวว่าตัวเองจะถูกแฟนคลับนายเล่นงานแล้วเนี่ย”

“ฮ่า ฮ่า อย่ามาแซวฉันเลย แฟนคลับเสี่ยวเสวี่ยก็ไม่น้อยไปกว่าฉันหรอกนะ…” หยางเฟิงจำได้ว่าตอนที่เพื่อนๆผู้ชายในชั้นโหวตว่าอยากจะรู้จักกับสาวคนไหนมากที่สุด เสี่ยวเสวี่ยได้คะแนนโหวตสูงที่สุดเลย

มู่หรงเสวี่ยที่เดินมาถึงที่ลานจอดรถ เดินตรงไปที่ประตูเพื่อที่จะเปิดประตูและขึ้นรถ แต่หยางเฟิงหยุดเธอไว้ก่อนที่จะเปิดประตูรถ
“เสี่ยวเสวี่ยเดินไปกันเถอะ เราไม่ได้เดินเล่นด้วยกันมานานแล้วนะ แล้วโรงภาพยนตร์ก็อยู่ไม่ไกลด้วย”

มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะผ่อนคลายด้วย จึงพยักหน้าและเก็บกุญแจรถไป
หยางเฟิงเผยรอยยิ้มกว้างและทำให้สาว ๆ ที่เดินผ่านไปมานับไม่ถ้วนประหลาดใจ

มีอาคารสูงมากมายบนถนนและผู้คนหลั่งไหลเดินกันไม่ขาดสาย

มู่หรงเสวี่ยอารมณ์ดีจนแวะซื้อไอศกรีมสองถ้วย ส่งถ้วยหนึ่งให้หยางเฟิง

ฮ่า ฮ่า! วิเศษจริงๆ! ถ้าพวกลูกคุณหนูพวกนั้นมาเห็น เดาว่าเธอจะต้องทำให้พวกเขาขายหน้ามากแน่ๆที่มาลดตัวลงมากินอาหารข้างทางแบบนี้ สกปรกจริงๆ!!!

แต่ถ้าพูดอีกอย่าง เธอจะสนใจทำไมล่ะ?!

ด้วยอารมณ์ดี เธอเลียไอศกรีม มันทั้งเย็นและหวาน

หยางเฟิงรับไอศกรีมจากมู่หรงเสวี่ย เขารู้สึกเสียดาย การเลี้ยงดูทำให้เขาไม่สามารถกินไอศกรีมข้างถนนได้ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับชนชั้นเลย!

เพียงแค่มองไปที่เสี่ยวเสวี่ยที่กำลังเลียไอศกรีมและยิ้ม เขาก็รู้สึกอ่อนยวบในใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอมีด้านที่น่ารักเช่นนี้

หลังจากคิดได้เขาก็ฉีกซองและลองกัด มันหวานจริงๆด้วย

หลังจากดูหนังเสร็จ หยางเฟิงก็มาส่งมู่หรงเสวี่ยที่ด้านล่าง

ลมอุ่นพัดผ่านมาเบา ๆ ทำให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย คืนนี้ไม่มีเมฆเหมือนเช่นเคยและดวงจันทร์ก็โค้งเล็กน้อย มีดวงดาวสองสามดวง

“มู่หรงเสวี่ย ฉันมีเรื่องจะบอก” ดวงตาของหยางเฟิงกำลังจ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย และน้ำเสียงของเขาก็สดใสและน่าฟัง

เมื่อได้ยินเสียงมู่หรงเสวี่ยก็หันกลับมา พร้อมส่งรอยยิ้มสดใสให้เขา โดยไม่เห็นท่าทางแปลกๆของหยางเฟิงเลย “นายพูดมาเลย ฉันฟังอยู่”

หยางเฟิงมองไปที่ท่าทางซุกซนของเธอพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้า ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือมาจับไหล่เธอ พร้อมทั้งออกแรงหันร่างเล็กน้อยมา “เสี่ยวเสวี่ยมองฉันสิ!

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจในตอนแรก ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าหรือจะมีเรื่องสำคัญที่จะพูดเกี่ยวกับความร่วมมือกันระหว่างตระกูลมู่หรงกับตระกูลหยางหรือเปล่าน่ะ?

กะพริบตา, หน้าจริงจังและเคร่งขรึม!
หยางเฟิงมองเธอด้วยหางตา เขามีความสุขมากจนอยากกอดเธอไว้แน่น ๆ และบอกรักเธอ

ในเวลานี้มู่หรงเสวี่ยก็มองมาที่เขาเช่นกัน หยางเฟิงหล่อมากจริงๆ ด้วยใบหน้าที่ละเอียดอ่อนราวกับว่าถูกแกะสลักไว้ คิ้วที่หล่อได้รูปและริมฝีปากบางระเรื่อ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสาวๆในโรงเรียนถึงชอบเขากันใหญ่

ไม่มีอะไรจะพูดเหรอ? และทำไมยืนเฉยๆไม่เห็นพูดอะไรเลยล่ะ?ตระกูลหยางต้องการความช่วยเหลืออะไรจากตระกูล มู่หรงหรือเปล่าน่ะ? มันยากที่จะพูดขอความช่วยเหลือหรือเปล่าน่ะ?

มันแค่สายตาของเขาที่ดูแปลกๆ การที่จ้องตาเธออย่างอ่อนโยนราวกับมองหญิงคนรัก หญิงคนรักงั้นเหรอ?!! หัวใจของ มู่หรงเสวี่ยกระโดดเต้นรัวและต้องหยุดความคิดของตัวเองไว้

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันชอบเธอนะ! ฉันไม่รู้ว่ามันเริ่มเมื่อไหร่ ที่ภาพเธอคอยมาปรากฏอยู่ในใจของฉัน… ” หยางเฟิงพูดด้วยความรัก เขาชอบเธอมากจริงๆ เขารอไม่ไหว รอบๆตัวเธอมีแต่ผู้ชายดีๆมากมายมาล้อมรอบ ถ้าเขาไม่พูดออกมาเขาก็กลัวว่าเธอจะไม่มีวันได้รู้ความในใจของเขา

มู่หรงเสวี่ยเบิกตากว้าง ปากอ้าออกด้วยความไม่อยากจะเชื่อ รุ่นพี่หยางชอบเธอ … และรักเธอมานาน … เป็นไปได้ยังไง

พูดตามตรง หยางเฟิงเป็นคนดีมากๆ เขาเป็นคนหน้าตาดีและมีพื้นฐานครอบครัวที่ร่ำรวย เขายังเป็นผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้, มีเกียรติและมีอารมณ์ขัน สาวๆในโรงเรียนมากมายต่างก็อยากที่จะกระโจนเข้าใส่เขา

เมื่อได้ฟังแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยก็เงียบไป เธอก้มหัวลงเพื่อปกปิดอารมณ์ที่คุกรุ่นในดวงตาของเธอ

หากในชีวิตที่แล้วเธอไม่ได้เจอกับฟางฉีฮัว ถ้าเธอไม่ต้องทุกข์ทรมานเพราะความรู้สึกพวกนั้น

หยางเฟิงยังคงคิดว่าที่เสี่ยวเสวี่ยก้มหัวก็เพราะเขินอาย การที่เขาได้อยู่กับเสี่ยวเสวี่ยช่วงนี้ทำให้เขารู้ได้ว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีและไม่ได้รังเกียจเขา บางทีเธออาจจะชอบเขาบ้างก็ได้

“มู่หรง…”
“ฉันขอโทษนะรุ่นพี่หยาง ตอนนี้ฉันยังไม่อยากมีความรักเลย… ” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างสุภาพแต่ด้วยสายตาที่แน่วแน่ เธอไม่กล้าที่จะมีความสัมพันธ์อีกครั้ง

ดวงตาของหยางเฟิงมืดลง “ทำไมล่ะ? เธอมีคนที่ชอบแล้วงั้นเหรอ? หรือเธอคิดว่าฉันไม่ดีพอ?”

“เปล่า ฉันแค่ยังไม่พร้อม นายเป็นคนดีมาก ปัญหามันอยู่ที่ฉันเองแหละ…”
หยางเฟิงฝืนทนกับความรู้สึกสูญเสียในใจ บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป เสี่ยวเสวี่ยเพิ่งจะ 15 ปีเองและก็ยังเด็กมาก เขาไม่เข้าใจความรู้สึกเธอ ตราบใดที่เธอไม่ได้ไปคบกับคนอื่น เขาก็ยังมีโอกาส “งั้นในอนาคตเธอจะไม่หลบหน้าฉันใช่ไหม?”

มู่หรงเสวี่ยเห็นว่ารุ่นพี่หยางไม่ได้ถามอะไรต่อเลยรู้สึกโล่งใจ “แน่นอนอยู่แล้ว เรายังเป็นเพื่อนกันเสมอนะ”

สองคนยิ้มอย่างโล่งใจและเขินอายเล็กน้อย! ทำตัวเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น!

อีกด้านหนึ่งชางกวนโม่ถือรูปของมู่หรงเสวี่ยวันนี้ ซึ่งเป็นรูปที่มู่หรงเสวี่ยและหยางเฟิงที่กำลังมองกันและกันพร้อมรอยยิ้ม รอยยิ้มอย่างมีความสุขบนใบหน้าของเธอทำให้เขาปวดหัวใจ วันนี้แค่เพราะเขายุ่งกับเรื่องธุรกิจของเมืองหลวง ก็เลยมีบางคนมาเอาประโยชน์จากเรื่องนี้ไปเลย