บทที่ 218 หาเรื่องในงานเลี้ยง

รักหวานอมเปรี้ยว

มายมิ้นท์ก็ได้ยินเช่นกัน ยิ้มอย่างไม่แยแส ไม่เก็บมาใส่ใจ

คำพูดเหล่านี้ เธอได้ยินมาแล้วไม่รู้ตั้งเท่าไร

“พี่ พี่ไม่โกรธเหรอ?” ราเม็งเห็นมายมิ้นท์ยิ้มนิดๆ ก็ขมวดคิ้วถามขึ้น

มายมิ้นท์ดื่มน้ำผลไม้ “มีอะไรให้โกรธ”

“พวกเขาว่าคุณขนาดนี้” ราเม็งหรี่ตา สายตากวาดมองไปที่คนพวกนี้ ราวกับกำลังจดจำใบหน้าคนเหล่านี้เอาไว้

มายมิ้นท์ยิ้ม “พวกเขาอยากพูดก็ให้พวกเขาพูดไปเถอะ ฉันปิดปากพวกเขาได้หรือไง อีกอย่างคนตั้งมากมาย ฉันโกรธไม่ไหวหรอกนะ”

“แต่ฉันโกรธ” ในดวงตาราเม็งมีความมุ่งร้ายเคลื่อนผ่าน แล้วหายวับไปทันที

คนเหล่านี้ กล้าดูถูกพี่ เขาจะไม่ปล่อยไปสักคนเดียว!

มายมิ้นท์ไม่รู้ในใจราเม็งกำลังคิดอะไร ก็ตบบ่าเขา “เอาล่ะ ฉันรู้นายไม่พอใจแทนฉัน แต่ฉันไม่โกรธแล้ว นายก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย ให้พวกเขาทำไปเถอะ แค่พวกปากจัดเท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องหรอก”

ราเม็งยิ้มขณะพยักหน้า “ฉันรู้แล้วพี่”

“ดื่มน้ำผลไม้หมดแล้ว ฉันจะไปเอาอีกแก้ว” มายมิ้นท์วางแก้วเปล่าไว้ข้างๆ แล้วไปที่บริเวณน้ำผลไม้อีกครั้ง

ตรงนั้นเหลือแค่ราเม็งและลาเต้สองคน

ลาเต้วางมือไว้บนไหล่เขา แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าหนู คนพวกนี้ นายจะลงมือ?”

ราเม็งปัดมือเขาลงไป ตอบกลับด้วยความเย็นชา “พวกมันกล้าใส่ร้ายพี่ แน่นอนว่าฉันต้องสั่งสอนพวกมันหน่อย”

“ฉันสนับสนุนนาย แต่ใจเย็นหน่อยนะ ถ้าพวกมันสงสัยเกี่ยวกับตัวมิ้นท์……”

“ฉันรู้” ราเม็งผลุบตาลงขัดคำพูดเขา

ลาเต้ตบบ่าเขา “รู้ก็ดี เอาล่ะ มิ้นท์กลับมาแล้ว ห้ามพลาดเด็ดขาด”

ราเม็งตอบอืม

มายมิ้นท์ถือน้ำมะม่วงแก้วหนึ่งเดินมา ยิ้มขณะถาม “พวกนายกำลังคุยอะไรกัน เมื่อกี้ฉันเห็นพวกนายทำหน้าจริงจังตอนฉันอยู่ตรงนั้น”

“เรากำลังคุยว่าวันเกิดเธอ จะให้ของขวัญอะไรเธอ” ลาเต้ยิ้มขณะพูดไปงั้นๆ

ราเม็งพยักหน้าให้ความร่วมมือ “ใช่พี่ พี่อยากได้อะไร?”

มายมิ้นท์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “วันเกิดฉันตั้งมิถุนายนปีหน้า อีกตั้งครึ่งปี พวกนายคุยกันเรื่องเตรียมของขวัญให้ฉัน ไม่คิดว่ามันเร็วไปหน่อยเหรอ?”

“ไม่เร็ว ของขวัญบางอย่าง ต้องสั่งทำล่วงหน้า” ราเม็งส่ายหน้า ตอบกลับอย่างอ่อนโยน

ลาเต้ตอบอืมๆ “ใช่แล้วมิ้นท์”

“พวกนายคุยกันว่าจะเตรียมของขวัญวันเกิดให้มิ้นท์เหรอ เพิ่มฉันอีกคนสิ” ในเวลานี้ จู่ๆ ทามทอยก็เดินมาพูดแทรก

ลาเต้กลอกตาใส่เขา “วันเกิดมิ้นท์มันเกี่ยวอะไรกับนาย”

“ทำไมไม่เกี่ยวล่ะ ฉันก็เป็นเพื่อนมายมิ้นท์นะ” ทามทอยยืดอกพูดขึ้น

ลาเต้ยิ้มเยาะ “พูดให้ถูกหน่อย เพื่อนของนายคือเปปเปอร์ต่างหาก”

“แล้วยังไงล่ะ เพื่อนไม่จำกัดจำนวนสักหน่อย และฉันกับมายมิ้นท์ก็เป็นพันธมิตรกันด้วยล่ะ จริงไหม?” ทามทอยขยิบตาให้มายมิ้นท์

ลาเต้เบ้ปาก ไม่มีอะไรจะพูดทันที

ราเม็งหรี่ตา “พี่ พี่กับคุณทามทอยร่วมมืออะไรกันอ่ะ?”

“บางอย่างที่สำคัญมาก ส่วนรายละเอียด ยังไม่บอกนาย” มายมิ้นท์ยิ้มขณะตอบ

นี่คือความรักและความแค้นของตระกูลกิตติภัคโสภณ ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ตระกูลชุติเกษมสามตระกูล ไม่จำเป็นต้องบอกราเม็ง

บอกราเม็งไป ก็แค่ทำให้ราเม็งกังวล

เห็นมายมิ้นท์ไม่ยอมพูด แววตาราเม็งมืดลง ทำท่าจิตตกอย่างมาก

“จริงสิ มายมิ้นท์ ฉันจะพาคุณไปรู้จักกับเจ้าพ่อธุรกิจสองสามคน” ในเวลานี้ จู่ๆ ทามทอยก็พูดขึ้น

ดวงตามายมิ้นท์เป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นก็มองเขาอย่างสงสัย “ทำไมคุณใจดีให้เส้นสายฉันขนาดนี้?”

“ถือว่าขอบคุณที่ครั้งก่อนคุณดูแลไมโลไง เอาล่ะ ไปกันเถอะ อย่าให้พวกเจ้าพ่อรอนานเลย”

ถึงแม้ลาเต้จะไม่พอใจ แต่เพื่อกิจการของมิ้นท์ เขาก็ไม่ได้ห้าม

ราเม็งมองแผ่นหลังทามทอยด้วยสีหน้ามืดมน “ลาเต้ ความสัมพันธ์ของเขากับพี่ ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”

เขารู้จักทามทอยคนนี้ เป็นเพื่อนของเปปเปอร์ เมื่อก่อนไม่ได้พัวพันกับพี่สาวเท่าไร

ทำไมแค่ผ่านไปสองเดือนกว่า ทามทอยกับพี่ถึงได้สนิทกันแบบนี้ อีกอย่างแววตาที่ทามทอยมองพี่ มันทำให้เขาไม่ชอบเลย

“เพราะร่วมมือกันล่ะมั้ง” ลาเต้เขย่าไวน์แดงแล้วตอบกลับ

ราเม็งหันหน้าไปมองเขา “ร่วมมืออะไรกันแน่?”

ลาเต้แบมือ “นายอย่าถามเยอะนักเลย ในเมื่อมิ้นท์ไม่อยากบอกนาย แน่นอนว่าฉันก็ขัดเธอไม่ได้ ไปกันเถอะ พี่จะพานายไปรู้จักเจ้าพ่อวงการบันเทิงสองสามคน”

อีกด้านหนึ่ง ด้วยการนำของทามทอย มิ้นท์ได้รู้จักประธานธุรกิจไม่น้อยเลย ได้รับนามบัตรมาไม่น้อยด้วย

ถึงแม้ประธานเหล่านี้ จำนวนมากให้นามบัตรเพราะเห็นแก่หน้าทามทอย แต่ก็มีส่วนหนึ่ง ที่ให้เพราะการสนทนาของเธอเอง

ถึงแม้ส่วนนั้นจะไม่มาก แต่สำหรับมายมิ้นท์ มันก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ

อย่างน้อย เธอก็ได้ผ่านสายตาของประธานส่วนนี้ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในภายภาคหน้า จะราบรื่นอย่างมาก

“มายมิ้นท์ ฉันไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งนะ คุณ……”

“ฉันจะไปบริเวณพักผ่อน ยืนนานแล้ว อยากนั่งพอดี” มายมิ้นท์ขัดคำพูดทามทอย ยิ้มให้เขาแล้วพูดขึ้น

ทามทอยพยักหน้า “งั้นก็ได้ ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”

เขาวางแก้วเหล้าบนถาดที่บริกรเดินผ่านมา แล้วหันตัวเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่

มายมิ้นท์ใส่นามบัตรไว้ในกระเป๋าถือเรียบร้อย เตรียมจะไปบริเวณพักผ่อน

เดินไปได้สองก้าว ก็มีเสียงถากถางของผู้หญิงเรียกเอาไว้ “นี่มายมิ้นท์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้อยู่คนเดียว พวกแฟนของคุณล่ะ?”

ได้ยินคำพูดนี้ มายมิ้นท์ก็เม้มริมฝีปากแดง หันตัวไปมองขนมผิงและส้มเปรี้ยวที่เดินมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ส้มเปรี้ยวดึงแขนขนมผิงไว้ “ผิงอย่าทำแบบนี้”

จากนั้น เธอก็ยิ้มให้มายมิ้นท์อย่างรู้สึกผิดอีกครั้ง “คุณมายมิ้นท์ ฉันขอโทษคุณแทนผิงด้วยนะ ขอโทษทีค่ะ เธอไม่ได้ตั้งใจ เธอแค่เป็นคนขวานผ่าซากเท่านั้น”

“ขวานผ่าซากเหรอ?” มายมิ้นท์โกรธจนขำออกมา “คุณรู้ไหมว่าขวานผ่าซากแปลว่าอะไร? ความหมายของขวานผ่าซากคือ สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริง แต่แค่พูดเร็วเกินไปเท่านั้น ในเมื่อคุณใช้คำนี้ นั่นก็หมายความว่าคุณเห็นด้วยกับคำพูดเธอ ถ้าเป็นแบบนี้ คุณจะขอโทษไปทำไมล่ะ ไม่คิดว่ามันปลอมเสแสร้งไปหน่อยเหรอ!”

“คุณมายมิ้นท์ ทำไมคุณเป็นแบบนี้……” ส้มเปรี้ยวกัดปาก ทำท่าทางได้รับความคับข้องใจ “ถึงฉันจะใช้คำไม่ถูกต้อง คุณก็ไม่จำเป็นต้องด่าว่าฉันเสแสร้งนี่หน่า”

“จริง” ขนมผิงยืดคอมั่นใจ “ส้มเปรี้ยวแค่พูดผิดเท่านั้นเอง คุณต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? อีกอย่างฉันพูดผิดหรือไง ก็คุณกะหนุงกะหนิงกับผู้ชายมากมาย……”

“คุณอิจฉาหรือไง?” มายมิ้นท์กอดอก มองเธอด้วยความเยาะเย้ย

ขนมผิงหน้าแดงแล้ว ตะคอกด้วยความลนลาน “ใครอิจฉา”

“ในเมื่อคุณไม่อิจฉา ทำไมต้องลากพวกทามทอยมาหาเรื่องฉันด้วย? ถึงคุณต้องการหาเรื่องฉัน ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกผู้ชายรอบตัวฉันมาเป็นข้ออ้างนี่หน่า” มายมิ้นท์พูดเยาะเย้ย

“ฉัน……ฉัน……” ขนมผิงโกรธจนตาแดงไปหมด อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออก

มายมิ้นท์กวาดตามองทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา ในดวงตาเต็มไปด้วยการดูหมิ่น “คราวหน้าก่อนจะมาหาเรื่องฉัน ฉันแนะนำให้พวกคุณคิดช่องทางที่ดีกว่านี้ก่อนนะ ไม่งั้นจะหน้าแตกเอาง่ายๆ!”

สิ้นคำพูด เธอก็หันตัวเดินจากไป

ส้มเปรี้ยวกัดปาก ในดวงตามีความมุ่งร้ายเคลื่อนผ่านไป ทันใดนั้นก็ยื่นมือไปจับแขนมายมิ้นท์

มือเธอเพิ่งจับแขนมายมิ้นท์ เธอก็ทำท่าเหมือนโดนผลัก ถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็ล้มลงพื้น ไวน์แดงในมือก็แตกกระจาย เปื้อนชุดราตรีบนร่างเธอ

ฉากนี้ ทำให้คนทั้งงานเลี้ยงเงียบสงบ ต่างหันมามองทางนี้

ส้มเปรี้ยวเห็นว่าเป็นแบบนี้ ก็เงยหน้าขึ้น มองมายมิ้นท์ด้วยน้ำตานองหน้า “คุณมายมิ้นท์ คุณทำเกินไปแล้ว ฉันก็แค่แตะคุณเอง ทำไมคุณต้องผลักฉันด้วย?”