บทที่ 86 มังกรสวรรค์

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 86

มังกรสวรรค์

“เสี่ยวหยู เป็นอะไรไปหน้าซีดมาเลย? นี่เจ้าคิดว่าข้าอ่อนปวกเปียกถึงขนาดจะรับมือกับนิกายทั้งแปดไม่ได้เลยงั้นหรือ?” แม้ว่าเขาจะตกใจกับข่าวที่เสี่ยวหยูรายงาน แต่เขาก็ไม่ได้มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้เสี่ยวหยูจะเชื่อมั่นในตัวเย่เย่ขนาดไหนแต่นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ และนางยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า

“โจวหลานเป็นถึงสาวใช้ของโจวไท่ผู้เป็นศิษย์เอกแห่งนิกายวิถีสวรรค์ และเขายังเป็นถึงอันดับที่ 98 ของเหล่าบรรดามังกรสวรรค์ทั้ง 200 คนด้วยนะเจ้าคะ! ข้าคิดว่ามันยังเร็วเกินไปสำหรับท่านที่จะประมือกับพวกเขา”

น้ำเสียงของเสี่ยวหยูแสดงถึงความเกรงกลัวเมื่อพูดถึงอันดับมังกรสวรรค์ เพราะว่าการจัดอันดับนี้คือการจัดอันดับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินฉางหลางจำนวน 200 คน และพวกเขาเหล่านี้มี

วรยุทธ์ขั้นต่ำอยู่ที่ระดับเทพอสูรไร้เงาทั้งสิ้น โจวไท่นอกจากจะติดอันดับด้วยอายุที่น้อยกว่าเลข 3 เขายังติดอันดับต่ำกว่า 100 อีกด้วย

แม้ว่าวรยุทธ์ในขั้นเทพยุทธ์ของเย่เย่ในขณะนี้จะเทียบเท่ากับเทพอสูรไร้เงาที่เพิ่งบรรลุได้หมาดๆ แต่เขาก็ยังไม่อยู่ในสายตาของโจวไท่เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามตราบใดที่เย่เย่ยังถือยาบรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงาอยู่นั้นเขาก็สามารถสร้างความตกตะลึงให้กับโจวไท่ได้เช่นกัน

“ต่อให้โจวไท่มาหาข้าด้วยตัวเอง ข้าก็รับมือเขาได้แน่นอน! เจ้าอย่าได้เป็นห่วงข้าเลย ทำหน้าที่ดูแลกิจการของเจ้าต่อไปเหมือนเดิมเถอะ”

เย่เย่พูดพลางเอามือลูบไปที่ไรผมของเสี่ยวหยูที่จ้องมองเขาด้วยความหนักอกหนักใจ เนื่องจากเขาไม่เคยบอกเสี่ยวหยูเกี่ยวกับระบบแลกเปลี่ยนของเขาเลย เขาปิดบังนางแทบจะทุกเรื่องและปล่อยให้มันคลุมเครือมาโดยตลอด

“นายน้อย พลังของเหล่ามังกรสวรรค์ไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ! ข้าไม่อยากเห็นท่านมาเป็นอะไรไปต่อหน้าข้า ดังนั้นข้าว่าท่านควรไปให้ไกลจากหลิงเฉิงจนกว่าเหตุการณ์จะสงบลงนะเจ้าคะ ถ้ามีใครจะมาขอเข้าพบท่าน หรือถามถึงท่านข้าจะอธิบายให้เองเจ้าค่ะ!”

เสี่ยวหยูไม่วางใจง่ายๆ นางยังคงย้ำคำเดิม แต่สิ่งที่นางพูดมาไม่ทำให้เย่เย่กลัวหรือคิดจะหนีเลยแม้แต่น้อย เขายังคิดถึงข่าวลือบางอย่างที่เขาได้ยินมาอีกด้วย

“เสี่ยวหยู ข้าเคยได้ยินมาว่ามีชายแข็งแกร่งที่ฝึกตนอย่างสันโดษอยู่บนเขาแห่งต้นกำเนิดใกล้หลิงเฉิง เจ้าเคยได้ยินอะไรแบบนี้มาบ้างไหม?”

เย่เย่กำลังสงสัยถึงระดับพลังของมังกรสวรรค์ เขาต้องการจะหาโอกาสทดสอบพลังของเขาโดยเทียบกับชายคนนั้นที่คาดว่าอยู่ระดับเดียวกับเหล่ามังกรสวรรค์

“จากเบาะแสบางแหล่ง ดูเหมือนว่าที่นายน้อยพูดมาจะเป็นเรื่องจริงนะเจ้าคะ แต่ข้าเองก็ไม่ มั่นใจเรื่องระดับพลังของเขาเหมือนกัน” เสี่ยวหยูนิ่งไปสักพักราวกับนึกอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะพยักหน้าและตอบคำถามของเย่เย่

“ดีมาก! เช่นนั้นเจ้าส่งคนไปที่เขาแห่งต้นกำเนิดและหาเบาะแสที่อยู่ของเขาส่งมาให้ข้า ยิ่งเร็วยิ่งดี!”

“นายน้อย ท่านตั้งใจจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ? ท่านจะร่วมมือกับเขาเพื่อปราบโจวไท่หรือเจ้าคะ? ข้าคิดว่านั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย คนถือสันโดษเช่นเขาจะยอมร่วมมือกะใครกันล่ะเจ้าคะ? หรือต่อให้เขายอมร่วมมือท่านกับเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโจวไท่อยู่ดี นายน้อยขอร้องล่ะ ท่านอพยพออกไปจากหลิงเฉิงสักระยะนึงก่อน ข้าจะดูแลหอการค้าหยูเย่เอง ท่านวางใจได้เลย”

เสี่ยวหยูที่เป็นห่วงเย่เย่มากกว่าใครๆ นางส่ายหัวปฏิเสธคำสั่งของเย่เย่ ตอนนี้นางต้องการเพียงแค่ให้เขาหนีออกจากเมืองหลิงเฉิงให้เร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของนายน้อยผู้เป็นที่รักของนาง

“เสี่ยวหยู เจ้าน่ะหมดความเชื่อมั่นในตัวข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เย่เย่นั้นรู้ดีว่าหากเขาหลบหนีไปแล้วเสี่ยวหยูอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ถึงแม้จะทำให้นางไม่สบายใจอยู่บ้างแต่เขาไม่มีวันทิ้งนางไปไหนไกลเป็นอันขาด

“ข้าบอกตอนไหนว่าข้าจะร่วมมือกับชายรักสันโดษนั่นต่อสู้กับโจวไท่? ข้าแค่ต้องการประลองฝีมือกับเขาเพื่อทดสอบระดับพลังของข้าเท่านั้นเอง”

เสี่ยวหยูอึ้งอยู่สักพัก ก่อนที่นางจะถามเย่เย่ด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า

“นายน้อย!? หรือว่าท่าน…ท่านบรรลุขั้นเทพอสูรไร้เงาแล้วหรือเจ้าคะ!?” เสี่ยวหยูเมื่อได้ยินความประสงค์ของนายน้อยจึงคิดไปเองว่าเย่เย่นั้นบรรลุขั้นเหนือกว่าเทพยุทธ์เป็นที่เรียบร้อย

“ยังสักหน่อย..แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ! พลังเทพยุทธ์ของข้าตอนนี้ไล่เลี่ยกับเทพอสูรไร้เงาชั้นต้นได้แล้วล่ะ”

เย่เย่ตอบอย่างใจเย็น นัยน์ตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

เสี่ยวหยูที่เห็นท่าทีมั่นอกมั่นใจของเย่เย่ นางก็คลายความตึงเครียดลง นางดีใจจนกระโจนใส่หลังของนายน้อยของนาง

“นายน้อยของข้าเก่งที่สุดเลย! ตั้งแต่ท่านบรรลุจ้าววรยุทธ์ผ่านมาแค่ครึ่งปีวรยุทธ์ของท่านก็เทียบเท่าเทพอสูรไร้เงาเลยนะ!? นายน้อยของข้าเหมาะสมกับคำว่าอัจฉริยะมากกว่าโจวไท่เป็นไหนๆ”

“สะ..เสี่ยวหยู มันหนักนะ”

เสี่ยวหยูเกาะหลังนายน้อย และกอดคอเขาด้วยความรักจนคอของเขาแทบจะหลุดออกจากบ่า สายตาของนางที่มองเย่เย่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจที่มีต่อเขา นางไม่เคยคิดเลยว่าอดีตนายน้อยจอมกะล่อนเสเพลแห่งเฟิงเจิ้นของนางจะมีวันนี้ได้

“เสี่ยวหยู พอได้แล้ว!”

“จะ..เจ้าค่ะ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้าอดดีใจกับนายน้อยไม่ได้จริงๆนี่เจ้าคะ”

“เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ!”

“เจ้าค่าา ไปเดี๋ยวนี้แหละเจ้าค่ะ” เสี่ยวหยูที่รู้สึกเหมือนโดนผลักไสไล่ส่ง ก็เดินไหล่ห่อออกไปจากลานฝึก แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นานมาแล้วที่นางไม่ได้ใช้เวลาส่วนตัวของนางกับคนรักของนาง

หลังจากที่มองดูเสี่ยวหยูกระโดดโลดเต้นไปมา หัวใจของเย่เย่ก็พองโตอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าตัวเขาจะมายังโลกนี้ได้ไม่นานนักแต่เขาก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าโลกที่เขาจากมาเสียอีก

ด้วยความจริงใจของเสี่ยวหยูที่คอยช่วยเหลือเย่เย่มาโดยตลอดทำให้ เย่เย่สัมผัสถึงความอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน เขาจะปฏิญาณกับตนเองว่าต่อให้จะเป็นมังกรสวรรค์หรือใครหน้าไหนเขาจะไม่ยอมให้มาทำร้ายเสี่ยวหยูของเขาเป็นอันขาด

หลังจากที่โจวหลานมาถึงปราการหลิงหยวนได้ไม่นานในที่สุดพวกเขาก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว โจวหลานไม่ได้นำทัพปราการหลิงหยวนของนางมาบุกรุกหอการค้าหยูเย่แต่อย่างใด นางเพียงส่งจดหมายเชิญเพื่อพูดคุยกับเย่เย่อย่างสันติ

“จดหมายเชิญของศัตรูงั้นเรอะ!?”

หลังจากที่เย่เย่ได้รับจดหมาย เขาลังเลเพียงเล็กน้อยก่อนจะตอบรับคำเชิญ ก่อนทั้งสองฝ่ายจะเดินทางไปพบกันที่ศาลากลางน้ำชานเมืองทิศตะวันออกของเมืองหลิงเฉิง

“ข้าก็เคยได้ยินมาบ้างว่าท่านเย่เย่เป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่ไม่นึกเลยว่าจะกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้”

โจวหลานที่มารอที่ศาลากลางน้ำฮู่ซินอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นเย่เย่เดินมาคนเดียวโดยไม่มีผู้คุ้มกันใดๆ ดวงตาของนางก็แสดงความประหลาดใจออกมา ก่อนที่เธอจะตั้งสติและนึกถึงภารกิจที่โจวไท่มอบหมายเอาไว้

“ข้าขอคารวะ ท่านโจวหลาน ศิษย์แห่งนิกายวิถีสวรรค์หนึ่งในนิกายทั้งแปดที่แข็งแกร่งที่สุด นับเป็นเกียรติของข้าแล้วที่ได้พบสตรีมากความสามารถที่หาได้ยากยิ่งเช่นท่าน!”

เย่เย่เดินผ่านผู้คุ้มกันของปราการหลิงหยวนที่คอยคุ้มกันอยู่บริเวณรอบนอกศาลา ก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งทิศตรงข้ามของโจวหลานอย่างช้าๆ แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าศิษย์นิกายวิถีสวรรค์แล้วเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด

“ท่านเย่ ท่านคิดยังไงที่มาคนเดียวเช่นนี้? หากนี่เป็นกับดักท่านไม่คิดเลยหรือว่าท่านจะเอาชีวิตมาทิ้งง่ายๆน่ะ?”

โจวหลานถามเย่เย่อย่างประหลาดใจที่เถ้าแก่หอการค้าหยูเย่อันเลื่องชื่ออย่างเขาไม่พาพรรคพวกมาคุ้มกันเลยแม้แต่คนเดียว

“ถึงแม้ท่านโจวหลานจะเป็นตัวแทนของปราการ หลิงหยวน แต่ท่านก็เป็นถึงศิษย์แห่งนิกายวิถีสวรรค์ หากมีข่าวลือเสียๆหายๆอย่างเช่นปราการหลิงหยวนหลบใต้กระโปรงผู้หญิงพวกท่านคงเสียหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว”

โจวหลานได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ “คิก คิก ท่านเย่เย่ช่างเป็นคนที่มีอารมณ์ขันเสียจริง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมปราการหลิงหยวนจึงกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของท่านอย่างง่ายดาย”

“อะไรกัน!? คนเป็นเหยื่อน่ะมันข้าต่างหากเล่า!” เย่เย่ชี้หน้าตนเอง พร้อมตอบกลับอย่างหน้าระรื่น เขาแกล้งทำเป็นไขสือไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น

โจวหลานนั้นไม่ได้สนใจแต่แรกแล้วว่าใครจะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อ นางจึงเปลี่ยนน้ำเสียงและตัดเข้าสู่ประเด็นหลักของการเจรจาในวันนี้

“ท่านจะเป็นผู้ล่าหรือเหยื่อไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ท่านสังหารศิษยานุศิษย์ชั้นสูงของปราการหลิงหยวนทำให้อิทธิพลของพวกเราในหลิงเฉิงลดลงอย่างมาก ไม่เพียงเท่านั้นพวกท่านยังใช้โอกาสนี้ในการยึดแย่งลูกค้า และทรัพยากรของพวกเราไปอีกด้วย หวังว่าท่านคงไม่ได้มองข้ามเรื่องนี้ไป?”