ภาคที่ 4 ตอนที่ 84 ตามตื้อเดินเที่ยวด้วยกัน

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ตอนคุณหนูจวินเดินเข้ามา จูจั้นกำลังคุยเล่นกับพวกจางเป่าถังและซื่อเฟิ่งที่มาถามข่าวคราว 

 

 

“พี่รอง พี่สะใภ้มาแล้ว” จางเป่าถังเห็นเป็นคนแรก รีบเอ่ยอย่างดีอกดีใจ 

 

 

จูจั้นหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วคล้องหัวไหล่ซื่อเฟิงไว้ 

 

 

“พูดเช่นนี้แม่นางไม่ต้องใจเจ้ารึ?” เขาเอ่ยสนทนาต่อจากเมื่อครู่ 

 

 

ซื่อเฟิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม 

 

 

“อย่างไรคุณชายน้อยก็ไม่ต้องใจนางเหมือนกัน” เขาเอ่ย 

 

 

จางเป่าถังยื่นมือตบจูจั้น 

 

 

“พี่รอง พี่รอง” เขาเอ่ยเรียก 

 

 

จูจั้นถลึงตา 

 

 

“ทำอะไร?” เขาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นก็หันหน้ามา คล้ายเพิ่งมองเห็นคุณหนูจวินที่ยืนอยู่หลังร่าง “เจ้ามาได้ยังไง?” 

 

 

เหมือนเขาไม่รู้ว่าทำไมนางมาที่นี่ คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม 

 

 

“บังเอิญจริง” นางเอ่ย “ข้ามาโรงหมอจิ่วหลิง” 

 

 

จูจั้นร้องอ้อ 

 

 

“พี่สะใภ้ พวกเราคิดจะไปกินน้ำแกงแพะ” จางเป่าถังเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ครั้งนี้ท่านไปด้วยได้แล้วกระมัง?” 

 

 

ครั้งนี้ 

 

 

คุณหนูจวินคิดถึงปีนั้นที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวงพบพวกจูจั้นพวก จางเป่าถังก็เอ่ยวาจาชวนทานอาหารด้วยกันเช่นนี้ออกมาเหมือนกัน แต่เวลานั้นไม่ได้จริงใจเท่าเวลานี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังถูกจูจั้นปฏิเสธด้วย 

 

 

เวลานั้นสำหรับพวกเขาแล้วนางเป็นเพียงคนแปลกหน้าประหลาดคนหนึ่ง ส่วนตอนนี้นางกลายเป็นภรรยาของจูจั้นแล้ว 

 

 

“ได้สิ” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเราไปกินนำแกงแพะซีซีกันเถอะ” 

 

 

จางเป่าถังร้องเอ๋ 

 

 

“พี่สะใภ้…” เขาเอ่ย 

 

 

จูจั้นกระแอมแผ่วเบาขัดเขา 

 

 

“ยังไม่แต่งงาน ไม่ต้องเรียกเช่นนี้” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ผู้อื่นมีชื่อ” 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านก็รู้จักน้ำแกงแพะซีซีด้วยรึ?” จางเป่าถังเอ่ยรับข้อเสนออย่างรวดเร็ว 

 

 

น้ำแกงแพะซีซีเป็นร้านเก่าแก่ในเมืองหลวง แต่ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ดังนั้นไม่ใช่เหลาสุราร้านอาหารใหญ่ที่ทุกคนจะแย่งกันไป 

 

 

ที่รู้จัก พราะอาจารย์ชมมันไม่ขาดปาก เพียงแต่ทุกครั้งที่กลับเมืองหลวงล้วนรีบร้อน ตลอดมาบอกว่ามีโอกาสค่อยไป หลังแต่งงานลู่อวิ๋นฉีก็บอกว่ามีโอกาสจะพานางไป หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว 

 

 

“ท่านชายเคยบอกไว้” นางอมยิ้มตอบ พลางมองจูจั้นทีหนึ่ง 

 

 

จูจั้นยิ้มเย็นชาให้นาง แต่ไม่ได้โต้แย้งเพียงหันหน้าหนี 

 

 

………………………………………. 

 

 

………………………………………. 

 

 

เมื่อเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ลู่อวิ๋นฉีก็ยืนขึ้น องครักษ์เสื้อแพรข้างกายรีบตามติดเขา แต่ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ก้าวเท้าไปข้างหน้า เพียงยืนยิ่งสงบมองอยู่ที่มุมถนน 

 

 

ถนนครึ่งสายไม่มีใครกล้าผ่านที่นี่นานแล้ว 

 

 

รอเห็นพวกจูจั้นขึ้นม้าเดินไปด้านหน้า ลู่อวิ๋นฉีตอนนี้ถึงขึ้นม้าบ้าง เหล่าองครักษ์เสื้อแพรข้างกายย่อมติดตาม ดาบข้าวเอวกระทบเกรียบกราวเสียงดังอย่างยิ่ง 

 

 

พวกเขาติดตามไม่ไกลไม่ใกล้ ที่ซึ่งผ่านไปคนเดินถนนพากันหลีกออก 

 

 

จางเป่าถังหันหลับไปมองทีหนึ่ง 

 

 

“พี่รอง สุนัขฝูงนั้นยังตามอยู่เลย” เขาเอ่ยขึ้น 

 

 

จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับสีหน้าดูแคลน 

 

 

“ขอแค่ไม่ขวางทางก็นับว่าเป็นสุนัขที่ดีตัวหนึ่ง” เขาเอ่ย 

 

 

ตอนลู่อวิ๋นฉีเห็นพวกเขาทะลุถนนใหญ่เดินเข้าไปในซอยน้อยเส้นหนึ่งก็สีหน้านิ่งสนิทไม่เปลี่ยนสักนิด 

 

 

“ใต้เท้า เป็นอะไรไปขอรับ?” องครักษ์เสื้อแพรข้างกายมองรอบด้านอย่างระวังทันที 

 

 

“ไม่มีอะไร” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น มุมปากผุดรอยยิ้มบาง “บังเอิญจริง ดียิ่ง” 

 

 

อะไรบังเอิญจริง? ดียิ่งอีก? 

 

 

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรสีหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ พวกเขาเพียงต้องเชื่อฟังคำสั่งก็พอ เห็นลู่อวิ๋นฉีกระตุ้นม้าเดินหน้า ผู้คนรีบห้อมล้อมหน้าหลัง 

 

 

ในซอยเล็กๆ เพราะฉับพลันคนมากมายจึงแออัด ส่วนร้านน้ำแกงแพะหน้าร้านเล็กๆเห็นองครักษ์เสื้อแพรมาถึงลูกค้าทั้งหลายก็แตกกระเจิงดั่งวิหคทันที 

 

 

พวกจูจั้นนั่งลงข้างใน เถ้าแก่กับพนักงานตัวสั่นระริกมาต้อนรับพวกลู่อวิ๋นฉี 

 

 

“ใต้เท้ารับอะไรดีขอรับ?” พวกเขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง 

 

 

ลู่อวิ๋นฉีชี้พวกจูจั้น 

 

 

“พวกเขารับอะไร ข้าก็เอาอย่างนั้น” เขาเอ่ย 

 

 

เป็นศัตรูกันจริงๆด้วย เถ้าแก่ในใจร้องโอดครวญไม่หยุด ในเมืองหลวงทุกคนล้วนรู้ว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงพบลู่อวิ๋นฉีเข้าย่อมไม่ได้อยู่สงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้ที่ทั้งสองแย่งหญิงงามคนเดียวกันอีก 

 

 

แต่เห็นลู่อวิ๋นฉีเพียงเอ่ยประโยคเดียวก็นั่งลงไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างอื่น พวกจูจั้นฝั่งนั้นก็คล้ายมองไม่เห็นลู่อวิ๋นฉี ในใจเถ้าแก่ก็สวดหาเทพเจ้าพระพุทธองค์ทั้งหลายบนชั้นฟ้าพาพนักงานวุ่นวายทำงาน 

 

 

อาหารของร้านน้ำแกงแพะเรียบง่ายยิ่ง ไม่นานก็ยกมา จูจั้นสี่คนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีด้านนี้คนเดียวนั่งโต๊ะหนึ่งเหมือนกัน ในห้องโถงใหญ่โตมีเพียงสองโต๊ะนี้ ด้านหนึ่งคุยเล่นหัวเราะครึกครื้น ด้านหนึ่งเงียบสงบไร้เสียง เถ้าแก่กับพนักงานยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกประหนึ่งน้ำไฟสองสิ่งปะทะกัน 

 

 

“พี่สะใภ้…คุณหนูจวินท่านลองชิมนี่” จางเป่าถังเอ่ยอย่างเป็นมิตร ส่งกระดูกแพะชิ้นโตตรงหน้ามาวางเบื้องหน้าคุณหนูจวิน 

 

 

คุณหนูจวินม้วนแขนเสื้อเบาๆ หยิบกระดูกชิ้นโตขึ้นมาแทะอย่างที่สำหรับผู้หญิงแล้วไม่สง่างามเท่าไร 

 

 

และอีกด้านหนึ่ง ลู่อวิ๋นฉีก็หยิบกระดูกแพะขึ้นมากัดช้าๆ ด้วย 

 

 

“ทำอร่อยจริงๆ ด้วย” คุณหนูจวินปากกัดเคี้ยวไปพลางก็พยักหน้าติดกันไปพลาง 

 

 

นางกินรวดเร็วยิ่งฉับไวยิ่ง จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง 

 

 

“คุณหนูจวินดูเหมือนจะทานกระดูกชิ้นใหญ่บ่อยนะ” พวกเขายิ้มพูดขึ้น 

 

 

กินกระดูกเช่นนี้ต้องมีชั้นเชิง 

 

 

คุณหนูจวินกัดกระดูกอ่อนชิ้นหนึ่งแล้วหยุดนิดหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ใช่แค่กระดูกชิ้นใหญ่ที่ไหน ปลาดิบนางก็กินมาแล้ว 

 

 

“อะไรนางก็เคยกินมาแล้ว” จูจั้นเอ่ยด้านข้าง 

 

 

จางเป่าถังมองจูจั้นสีหน้าทอดถอนใจ 

 

 

“อย่างไรก็เป็นพี่รองที่เข้าใจพี่…คุณหนูจวิน” เขาเอ่ย “ใส่ใจจริงๆ” 

 

 

ประโยคก่อนหน้ายังนับว่าธรรมดา ประโยคหลังไม่มีสาเหตุจริงๆ จูจั้นถลึงตามองเขาทีหนึ่ง นี่ดูเป็นใส่ใจได้อย่างไร? 

 

 

คุณหนูจวินวางกระดูกลง ผายสองมือออกชูสูงขึ้นนิดหนึ่ง ไม่ให้แขนเสื้อเปื้อนน้ำมัน จางเป่าถังกำลังจะส่งผ้าขนหนูเปียกไปก็เห็นจูจั้นหยิบผ้าขนหนูขึ้นคว้าแขนคุณหนูจวินมาเช็ดมือให้นาง การเคลื่อนไหวชำนิชำนาญทั้งยังคล่องแคล่ว 

 

 

จูจั้นเช็ดสองทีถึงได้สติ ในใจด่ามารดาคำหนึ่ง ปรนนิบัติคนเช่นนี้จนกลายเป็นนิสัยไปได้อย่างไร! 

 

 

เขาเงยหน้าเห็นจางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งแรกสุดตาโตอ้าปากค้างจากนั้นยิ้มท่าทางมีเลศนัย ก็ด่ามารดาอีกคำหนึ่ง 

 

 

จูจั้นสองสามทีเช็ดมือคุณหนูจวินจนเสร็จ โยนผ้าขนหนูทิ้ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมากินเต้าหู้เส้นคำโตๆ ท่าทางประหนึ่งไม่มีอะไร สิ่งใดล้วนไม่เคยเกิดขึ้น 

 

 

“คุณหนูจวินท่านลองชิมนี่อีก” จางเป่าถังเอ่ยอย่างกระตือรือร้นอีกครั้ง 

 

 

คุณหนูจวินอมยิ้มรับไป 

 

 

เด็กสาวกินอย่างเปิดเผย คุยเล่นตามสลาย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารครึกครื้นอย่างยิ่ง สายตาของพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองลู่อวิ๋นฉีลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งในห้องเลย แต่สายตาของลู่อวิ๋นฉีกลับมองพวกเขาอยู่ตลอด พูดให้ชัดคือมองคุณหนูจวิน 

 

 

คุณหนูจวินกินอะไร เขาก็กินอันนั้น คุณหนูจวินยิ้ม เขาก็ยิ้ม เหมือนกับพวกเขากำลังร่วมนั่งทานอาหารประจันหน้ากันอยู่ 

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ไม่เคยเห็นมาก่อน 

 

 

คุณหนูจวินคิดถึงตอนเพิ่งเข้าเมืองหลวง ตอนอยู่ที่ร้านเต้าหู้ทอดกับหนิงอวินเจาก็เคยเห็นลู่อวิ๋นฉีพาสตรีคนหนึ่งมานั่งทานอาหารด้วยกันเช่นนี้ 

 

 

ตอนนั้นนางไม่รู้ ตอนนี้แน่นอนเข้าใจแล้ว สตรีผู้นั้นถูกลู่อวิ๋นฉีเอามาแทนตนเอง 

 

 

คิดถึงเรื่องนี้ คิดถึงผู้หญิงคนนั้น ก็คิดถึงสตรีมากกว่านั้นในเรือนหลังนั้นขึ้นมา แปะรวมกันออกมาเป็นตนเอง ส่วนลู่อวิ่นฉีก็กอดซ้ายโอบขวา 

 

 

คุณหนูจวินเพียงรู้สึกคลื่นไส้วูบหนึ่ง จึงวางช้อนน้ำแกงในมือลงหันหน้าไปอาเจียนลม 

 

 

คนบนโต๊ะตกใจสะดุ้งโหยง จางเป่าถังยิ่งลุกขึ้นมา 

 

 

“พี่สะใภ้” เขาตะโกน “ท่านมีแล้วหรือ?” 

 

 

จูจั้นที่กำลังผินหน้าไปมองคุณหนูจวินฉับพลันประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง 

 

 

“เจ้าสิมีแล้วน่ะ!” เขาถลึงตาตะโกน 

 

 

…………………………