ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 276 หงส์สิ้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กำแพงช่องว่างในสวนโจวเริ่มเกิดสัญญาณแตกสลาย

การต่อสู้สนามนี้แน่นอนว่าต้องนำมาซึ่งผลกระทบ สวีโหย่วหรงและหนานเค่อ สายเลือดดั้งเดิมของพวกนางยิ่งใหญ่เกินไป ตอนนี้แผดเผาไฟชีวิตจนถึงขีดสุด ไอพลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาได้เลยขั้นสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจีไปนานแล้ว ถึงขีดสูงสุดที่กฎระเบียบของสวนโจวอนุญาต

แน่นอนว่า สวนโจวไม่ดับสลาย เพราะว่ากฎระเบียบที่รับผิดชอบค้ำจุนการเคลื่อนไหวของกฎระเบียบของโลกใบนี้จะทำลายพลังคุกคามทั้งหมดโดยตรง ก็คือการมีอยู่ของสวีโหย่วหรงและหนานเค่อ

ศาสตราที่สวนโจวใช้ ก็คือเศษซากแผ่นกำแพงของช่องว่างที่แตกสลายเหล่านั้น

เศษซากแผ่นกำแพงช่องว่างเหล่านั้น ออกจากท้องฟ้าค่ำคืน กลายเป็นดาวตก ยิงไปยังยอดเขาอัสดง!

ถ้าสวีโหย่วหรงและหนานเค่อไม่ยุติการต่อสู้ เพิ่มไอพลังปราณของตัวเองขึ้นต่อไปอีก ฉะนั้นพวกนางต้องตายแน่ๆ จะเหมือนกับเขาอัสดงลูกนี้ ถูกดาวตกจำนวนมากทำให้กลายเป็นฝุ่นผง!

พวกนางจะตาย

หนานเค่อรู้จุดนี้ชัดเจนมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่นางแทงกระบี่ไขว้ทักษิณใส่สวีโหย่วหรง ก็ได้ทำให้ช่องว่างของสวนโจวเริ่มบิดเบี้ยว

นี่ทำให้นางมั่นใจว่าในที่สุดขีดสูงสุดที่โลกสวนโจวสามารถรับได้คืออะไร สิ่งที่นางจะทำก็คือเพิ่มระดับความสามารถของตัวเองให้ถึงขีดสูงสุด บังคับให้สวีโหย่วหรงเพิ่มขีดความสามารถให้ถึงที่สุดไปพร้อมกัน จากนั้นก็จะเลยขีดสูงสุดที่สวนโจวสามารถรับได้!

นี่ก็คือกลยุทธ์การรบของนาง

นี่หมายถึงสงครามที่สมบูรณ์ของนาง!

ทำไมอาจารย์ของนาง คนชุดดำ กุนซือของเผ่ามารผู้วางแผนได้หมดจดรอบคอบท่านนั้นถึงมอบภารกิจที่ยากอย่างการสังหารสวีโหย่วหรงนี้ให้กับนาง? ก็เป็นเพราะว่าคนชุดดำเข้าใจอย่างยิ่งว่านางยอมที่จะตายไปพร้อมกันกับสวีโหย่วหรง

โชคชะตาของนางขึ้นอยู่กับสวีโหย่วหรง ฉะนั้นนางจึงเชิญชวนฝั่งตรงข้ามเดินไปยังจุดสิ้นสุดของโชคชะตาด้วยกัน นางมีความสุข เพราะนี่หมายความว่าโชคชะตาของฝั่งตรงข้ามก็ขึ้นอยู่กับนางเช่นกัน

ฉะนั้น คืนนี้สวีโหย่วหรงจะต้องตายในสวนโจวแน่ๆ แม้ว่าสาวน้อยเผ่ามนุษย์จะไม่ยอมรับก็ไม่อาจฝ่าฝืนได้ ถ้านางยังคงแผดเผาเลือดแท้หงส์สวรรค์ต่อไป โลกของสวนโจวจะมีดาวตกจำนวนมากตกลงมา นำมาซึ่งความตาย แต่ถ้านางหยุด ก็จะถูกหนานเค่อแทงตายเร็วขึ้น

นี่เป็นสนามต่อสู้แห่งชะตากรรม นี่เป็นสนามต่อสู้ที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ จุดจบของการต่อสู้ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ช่างน่าโศกเศร้าและทำให้ใจคนเกิดความเคว้งคว้าง

ราวกับว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้

แต่ยอดเขาอัสดง มีผู้สังเกตการณ์อยู่เสมอ

ผู้เฒ่าดีดพิณเงียบขรึมไร้วาจา ชมการต่อสู้จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป

เขามั่นใจอย่างมาก กลยุทธ์การรบขององค์หญิงหนานเค่อแน่นอนว่าต้องได้รับการยินยอมจากใต้เท้าชุดดำ แต่ในขณะเดียวกันเขายิ่งมั่นใจว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทราชามารมิได้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

เขาไม่อาจมององค์หญิงหนานเค่อตายไปต่อหน้าต่อตาของเขาได้ เพราะว่าเขาไม่อาจแบกรับความโกรธเคืองของราชามารหลังจากเกิดเรื่องได้ ยิ่งไม่อยากให้ชนกลุ่มน้อยที่ดำรงอยู่อย่างยากลำบากในเมืองเสวี่ยเหล่าจนถึงปัจจุบันหายไป ถูกราชามารที่โมโหโทโสผลักลงไปในเหวลึก ทั้งชีวิตจมสู่ก้นบึ้งไม่สามารถพลิกชีวิตได้อีก

ฉะนั้นนิ้วมือของเขาจึงวางลงบนสายพิณ ปล่อยเสียงออกไปเสียงหนึ่งอย่างตั้งใจเข้มงวดอย่างยิ่ง

ได้ยินเสียงเสียงนี้ สายตาที่ไม่แยแสของหนานเค่อกะพริบความโมโหออกมาครู่หนึ่ง จากนั้นสักพัก ถึงจะฟื้นกลับมาไม่แยแสตามปกติ…การต่อสู้สนามนี้ระหว่างนางและสวีโหย่วหรง ไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จิตวิญญาณและความแน่วแน่ทั้งหมดทั้งมวลในตอนนี้ของนางล้วนอยู่ที่สวีโหย่วหรง ไม่มีปัญญาหยุดยั้งผู้เฒ่าดีดพิณผู้ยื่นมือมาช่วยตัวเองท่านนั้น

เรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็ทำได้เพียงยอมรับ

สิ่งที่ทำให้นางสงบคือ คืนนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นก็คือสวีโหย่วหรงต้องตายแน่ๆ

……

……

เสียงพิณดังขึ้นมาติงๆ อ่อนโยนอย่างมาก กลับแอบแฝงไว้ด้วยการสังหาร

เสียงพิณเข้าหู สีหน้าของสวีโหย่วหรงยิ่งขาวซีดราวกับหิมะ เกลียวคลื่นจำนวนมากโหมซัดสาดในห้วงแห่งจิต คาดไม่ถึงว่าเกือบจะกำธนูยาวกูถงไม่อยู่ ให้กระบี่แหลมคมของหนานเค่อตัดลงมาที่ร่างกายของตัวเอง

ผู้อาวุโสที่มาจากเผ่าพ่อมดมังกรเทียนท่านนั้น พลังโจมตีทางจิตวิญญาณน่ากลัวอย่างยิ่ง จิตวิญญาณของนางต้องนำมาต่อสู้ต้านทานกับหนานเค่อที่น่ากลัวยิ่งกว่า คาดไม่ถึงว่าถูกจู่โจมทีหนึ่งก็บาดเจ็บสาหัส!

เลือดสดสายหนึ่งค่อยๆ ไหลลงจากริมฝีปากของนาง

เทียบกับเลือดสดที่หลั่งไหลออกจากนิ้วมือของนางที่จับธนูยาวนั้นต่างกัน เลือดสายนี้ไม่ได้มาจากความตั้งใจแน่วแน่ ไม่ได้ตั้งใจกระทำการแผดเผาชีวิตเอง แต่เป็นผลลัพธ์จากการได้รับบาดเจ็บ

สายตาของนางยังคงสงบ สีหน้ายังคงจดจ่อ มองหนานเค่ออย่างเงียบๆ ไม่ชายตาเหลือบแลผู้เฒ่าดีดพิณสักปราดหนึ่ง มือซ้ายยกขึ้นตีทะลุลมกลางคืน ตกลงไปในแสงท้องฟ้าค่ำคืน

ไม่ใช่ว่าอาศัยเพียงความว่างเปล่าก็สามารถโจมตีศัตรูที่มองไม่เห็นด้วยวิทยายุทธ์มหัศจรรย์ นางแค่เอามือตบตีไปยังในแสงท้องฟ้าค่ำคืนเท่านั้น

ในแสงราตรีไม่มีอะไรเลย นางตบตีอะไร?

เค่อต่อมา ในแสงท้องฟ้าค่ำคืนจู่ๆ มีถาดสีดำใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ถาดสีดำใบนั้นลอยคว้างอยู่กลางอากาศข้างกายนางอย่างเงียบๆ ราวกับว่าอยู่ตรงนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ว่าไม่มีใครสังเกตเห็น

นี่เป็นถาดดาวโชคชะตาของสวีโหย่วหรง

มือซ้ายของนางตกลงบนตรงกลางของถาดดาวโชคชะตา

ไม่มีการค่อยๆ เคลื่อนนิ้วมือในเวลาแบบนี้ ไม่มีเวลาไปทดลองคำนวณว่าโชคชะตาของตัวเองจริงๆ แล้วคืออะไร

สิ่งที่นางจะทำ สิ่งนางที่สามารถทำได้ เป็นได้เพียงการพยายามจัดการโชคชะตาของตัวเอง

นางแอบรวบรวมพลังของตนเอาไว้เงียบๆ มาเป็นเวลานาน ปราณแท้เข้มข้นที่สะสมเอาไว้เตรียมหาโอกาสจู่โจมหนานเค่อให้จบในคราวเดียว กลับนำมาใส่เข้าไปในถาดดาวโชคชะตาผ่านการตบตีครั้งนี้!

เสียงดังที่หนักหน่วงเสียงหนึ่งดังขึ้น!

เสียงดังเสียงนี้เหมือนเสียงตีฆ้องทองแดง เสียงนั้นไม่น่าฟัง หนักหน่วงเล็กน้อย

แต่ยังคงเสียงดังฟังชัด

นี่เป็นเสียงที่ปล่อยออกมาของถาดดวงโชคชะตา

นี่เป็นเสียงเข้มแข็งที่ปล่อยออกมาจากโชคชะตา

สายลมกระโชกบนยอดเขา ถาดดวงโชคชะตาส่องแสงสว่างไสว วงโคจรเส้นชีวิตที่หมุนเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเหล่านั้นนอกจากตัวนางเองแล้วไม่มีใครสามารถดูรู้เรื่อง กำลังกลายเป็นเส้นแสงจำนวนมากที่ทำให้คนเวียนหัว

เสียงพิณติงตังที่ราวกับเสียงน้ำไหล ถูกเสียงฆ้องแตกนี้ตัดขาดโดยตรง

สายพิณจำนวนมากบนกู่ฉินส่งเสียงเพี๊ยะๆ แล้วขาดออกจากกัน

สีหน้าของผู้เฒ่าดีดพิณขาวซีด ราวกับถูกโจมตีอย่างแรง พ่นเลือดออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทำการตีโชคชะตาให้สับสน ทำให้ศัตรูที่แข็งแกร่งได้รับบาดเจ็บสาหัส การกระทำครั้งนี้ของสวีโหย่วหรงมองดูเหมือนจะเบาบาง ความจริงแล้วแข็งแกร่งจนถึงขั้นยากที่จะจินตนาการ แต่เพื่อการนี้นางก็ต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายที่หนักหนานี้อย่างมาก

เสียงอันอ่อนวัยของหนานเค่อดังขึ้นอีกครั้ง กระบี่ไขว้ทักษิณเข้าใกล้อีกสามส่วน!

มือของสวีโหย่วหรงที่กำธนูยาวกูถงสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง สายตายังคงสงบแน่นิ่ง กลับไม่สว่างชัดเหมือนก่อนหน้านี้อีก แสดงให้เห็นถึงความหม่นหมองเล็กน้อย

สิ่งที่น่าตกใจมากที่สุดก็คือ เลือดสดที่ไหลออกมาจากริมฝีปากของนางนั้นยิ่งมายิ่งเยอะ

ผู้เฒ่าดีดพิณขับเคลื่อนจิตสัมผัสอันแกร่งกล้ากดทับอาการบาดเจ็บสาหัสในห้วงแห่งจิตเชิงบังคับ ทำให้ปราณแท้ที่สับสนวุ่นวายในเส้นลมปราณสงบลงในช่วงเวลาอันสั้น ไม่สนใจสภาพบาดแผล คล้อยตามเสียงร้องโหยหวนที่ยาวเสียงหนึ่ง ลงมืออีกครั้ง!

เขาทะยานออกจากข้างกู่ฉิน มือสองข้างวางลงบนยอดศีรษะของสวีโหย่วหรงโดยตรง ในแสงท้องฟ้ายามค่ำคืน เห็นเพียงสิบนิ้วมือของเขาสะท้อนแสงสีขาวออกมา กลับเหมือนกับไม่มีเนื้อเลือด ราวเหลือเพียงกระดูกขาว

หลังจากที่มือซ้ายของสวีโหย่วหรงตบไปที่ถาดดาวโชคชะตาแล้วเกิดเสียงดังออกมา ก็อาศัยจังหวะนั้นกำมุมของถาดดาวโชคชะตาไว้แน่น

นางไม่รู้ว่ามือสองข้างของผู้อาวุโสเผ่าพ่อมดคนนี้มีอะไรแปลกประหลาด คิดๆ ดูแล้วต้องมีพิษร้ายแน่ๆ นางคิดก็ไม่คิด ข้อมือพลิกทีหนึ่ง ถาดดาวโชคชะตาที่ถืออยู่ก็ฟาดไปยังใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม

การฟาดนี้มองดูแล้วเหมือนง่าย คล้ายกับเด็กน้อยต่อยตีกัน แต่ความจริงแล้วไม่ง่ายดายเลย

นี่เป็นกระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้า กระบวนท่าสุดท้าย

กระบี่แสงชั่วพริบตาของสำนักเทียนเต้าถูกขนานนามอย่างมีชื่อเสียงด้านการใช้ความเร็วและแหลมคมเป็นหลัก และกระบวนท่าสุดท้ายนี้มีระดับความเร็วถึงขั้นยากที่จะจินตนาการ เพราะว่ามันรวดเร็ว ฉะนั้นมองดูแล้วจึงง่ายมาก

กระบี่แสงชั่วพริบตาของสวีโหย่วหรง เมื่อเทียบกับนักเรียนคนไหนก็ตามในสำนักเทียนเต้านั้นล้วนเรียนได้ดีกว่า

การตบนี้ของนางเมื่อเทียบกับท่าสุดท้ายของกระบี่แสงชั่วพริบตาของนักเรียนคนไหนก็ตามในสำนักแล้วล้วนรวดเร็วร้ายแรงกว่า

ผู้เฒ่าดีดพิณก็ไม่สามารถหลบหลีกได้

เสียงกระทบกระทั่งที่หนักหน่วงเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้เฒ่าดีดพิณหลบไม่ได้ ใช้มือสองข้างปะทะกับถาดดาวโชคชะตาในมือของนางโดยตรง นิ้วขาดกระดูกแตกกะทันหัน ถอยอย่างต่อเนื่องไปสิบกว่าจั้ง กระอักเลือดออกมาไม่หยุด!

สวีโหย่วหรงได้รับการสะเทือนกลับของการโจมตีครั้งนี้เช่นกัน สายตาหม่นหมองลงยิ่งขึ้น

สายตาของหนานเค่อยังคงล่องลอยไม่แยแส แต่กลับสว่างชัดขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีการก่อน

ท่านี้ของผู้เฒ่าดีดพิณพ่ายแพ้อย่างอนาถ แต่ได้ช่วงชิงโอกาสที่ดีที่สุดในคืนนี้ให้กับนาง

เสียงโหยหวนที่สดใสของผู้เยาว์ดังขึ้นมาอีกครั้งที่หน้าผา

รูปร่างของหนานเค่อจู่ๆ ก็เปลี่ยนแปลง เก็บม่านกระบี่ ไม่แม้จะสนใจลูกธนูอู๋สิบกว่าดอก มือสองข้างประกบกัน นำเอากระบี่ไขว้ทักษิณหลวมรวมเป็นหนึ่งเดียว แทงไปยังสวีโหย่วหรง!

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ลูกธนูอู๋ทะลุท้องฟ้ายามค่ำคืนมาถึงแล้ว!

ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ลูกธนูอู๋สิบกว่าดอกพุ่งเข้าปักร่างกายของนาง!

สีหน้าของหนานเค่อไม่เปลี่ยน ราวกับไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดเลย

แสงกระบี่สองสายที่สว่างอย่างยิ่ง ราวกับแม่น้ำดวงดาวสองสาย ตัดผ่านหน้าของสวีโหย่วหรง

เสียงเสียดสีดังขึ้น นั่นเป็นเสียงธนูถงระเบิดหน้าผา

ในที่สุด ธนูถงไม่สามารถต้านทานพลังของกระบี่ไขว้ทักษิณ หลุดออกจากพื้นดิน!

ธนูยาวที่หลุดออกจากพื้น ก็เหมือนกับต้นอู๋ถงที่ไม่มีราก ปรากฏความเหี่ยวเฉาออกมาเล็กน้อยในทันที

แสงกระบี่ที่สว่างไสวทลายธนูแล้วเข้าแทงไปที่หน้าอกซ้ายของสวีโหย่วหรง ระเบิดเลือดสดออกมาสายหนึ่ง!

แม้จะถึงด่านสำคัญเช่นนี้แล้ว สายตาของสวีโหย่วหรงยังคงสงบ ข้อมือพลิกทีหนึ่ง ถือธนูยาวทางขวางผลักกระบี่ของหนานเค่อออกไป ลอยไปด้านหลังอย่างเร่งรีบ ชุดบูชาสีขาวเปิดออกในลมกลางคืน ข้างบนเปรอะเปื้อนเลือดสด ราวกับนกกระเรียนขาวที่บาดเจ็บ ยังคงบริสุทธิ์เหนือโลกีย์

หนานเค่อให้โอกาสนางในการหลบหนีได้เสียที่ไหน ทะยานตามไปข้างหน้า ราวกับเงา

ธนูถงโจมตีกับกระบี่ไขว้ทักษิณ เกิดเป็นน้ำเชี่ยวกรากจำนวนมากในท้องฟ้าค่ำคืน!

ทั้งตัวหนานเค่อเต็มไปด้วยเลือด ดวงตากลับสว่างกว่าเดิม มือสองข้างละออกจากด้ามกระบี่ แทงออกไปอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า!

ปลายนิ้วแหลมของนางกะพริบแสงสีเขียวที่อึมครึมออกมา!

นกยูงมีขนหางเส้นหนึ่ง มีพิษร้ายแรงที่สุด แหลมคมที่สุด และรวดเร็วที่สุดในโลกนี้

นี่ก็คือขนนกยูง ขนนกยูงที่แท้จริง!

สิบนิ้วมือของหนานเค่อเสียบเข้าไปในสองไหล่ของสวีโหย่วหรง สลักลึกเข้ากระดูก!

เลือดสดสาดกระเซ็นทั่วทิศทาง แสงสว่างสีทองคล้ายจะมีร่องรอยสีดำเพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก!

……

……

เจ็บ เจ็บมาก เจ็บมากจริงๆ

สวีโหย่วหรงไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน

ดังนั้นนางจึงโกรธมาก โกรธอย่างไม่เคยโกรธมาก่อน

ชุดบูชาสีขาวคล้อยตามเสียงฉีกลากยาว ขาดออกเป็นริ้วจำนวนมาก

แสงสีทองจำนวนหลายสาย มุ่งไปตามทิศทางนิ้วของนาง โจมตีลงบนตัวหนานเค่อ

เสียงจู่โจมอันหนักหน่วงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

บนตัวของหนานเค่อปรากฏรูนิ้วมือจำนวนมาก เลือดสดที่ฉูดฉาดพุ่งทะลักออกมาไม่หยุดหย่อน!

นกยูงมีขน

หงส์มีขน

นี่ก็คือขนหงส์หมื่นเส้นของสวีโหย่วหรง!

……

……

การบำเพ็ญเพียรทั้งหมดล้วนแสดงออกแล้ว

ศาสตราเทพอาวุธมารทั้งหมดล้วนใช้แล้ว

วิชายุทธ์ป้องกันตัวทั้งหมดล้วนใช้แล้ว

ปราณแท้ทั้งหมดล้วนใช้ออกทั้งหมดแล้ว

เลือดทั้งหมดล้วนเกือบจะไหลออกหมดแล้ว

การต่อสู้สนามนี้ช่างรุนแรงเช่นนี้ เด็ดขาดเช่นนี้

ยอดเขาอัสดงเงียบสงบไปทั่ว ฝุ่นควันบริเวณหน้าผาค่อยๆ หายไป เลือดสดที่สาดลงเหล่านั้นยังคงแผดเผาอยู่ ร้อนอุ่นและเยือกเย็นที่รุนแรงผสมผสานปลาสนาการจากกันไม่หยุด สว่างไสวอย่างยิ่ง

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ข้างหน้าผา สีหน้าขาวซีด บนเสื้อเต็มไปด้วยจุดเลือด

หนานเค่อมองดูแล้วน่าสงสารกว่า ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผล เลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง

แต่นางชนะแล้ว

เสียงร้องดังฟังชัดหนึ่งเสียง ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องบนยอดเขาอัสดง!

เสียงของนางช่างอ่อนเดียงสาเช่นนี้ กลับก็เย็นชาเช่นนั้น

เสียงร้องนี้เยือกเย็น! ทะนง! เด็ดขาด! คาดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับให้ความรู้สึกบ้าคลั่งชนิดหนึ่ง!

แม้จะน่าเสียดายเล็กน้อย แต่ชัยชนะถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

แม้จะมีผู้แข็งแกร่งช่วยเหลือ แต่การตายถึงเป็นการตัดสินแพ้ชนะที่ยุติธรรมที่สุด

นางและสวีโหย่วหรงล้วนน้ำมันหมดไฟดับมอดแล้ว แต่เค่อต่อไป สวีโหย่วหรงก็จะเสียชีวิต

คืนนี้ ในที่สุดนางได้รบชนะคู่ต่อสู้แห่งโชคชะตา

นี่แปลว่านางรบชนะโชคชะตาของตัวเอง

เสียงร้องของมยุรา ค่อยๆ ต่ำลง จากนั้นก็ยุติ

หนานเค่อกลับไปเป็นสภาพเดิมที่ไม่แยแส พูดอย่างแน่นิ่งว่า “เลือดของข้าอยู่ในร่างกายของเจ้า ด้านหลังของเจ้าเป็นเหวลึกหมื่นจั้ง ฉะนั้นเจ้าตายแน่ๆ”

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ข้างหน้าผา ลมกลางคืนพัดผ่านเส้นผมบางข้างแก้ม นางก้มหัว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

กำลังคิดว่าต้องใช้ท่าทีอย่างไรในการต้อนรับความตายอยู่หรือ?

“เชิญนำเกียรติยศนี้มอบให้ข้า”

หนานเค่อมองนางพลางพูดอย่างตั้งใจ

สวีโหย่วหรงเงยหน้ามองไปยังนาง นัยน์ตาปรากฏท่าทีหยอกล้อ ราวกับมองทะลุเรื่องราวบนโลก เหมือนคนแก่ที่สามารถต้อนรับความตายได้อย่างสงบ แต่ก็เหมือนเด็กน้อยที่ซุกซน

“ทำไมต้องให้เจ้าดีใจด้วย?”

นางยิ้มพลางพูดจบประโยคนี้ หันหลังเดินเข้าไปยังแสงราตรีบนหน้าผา

มองข้างหน้าผาที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน ดวงตาของหนานเค่อปรากฏความอ้างว้าง พูดอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าเป็นคนโง่หรือ? รึนึกว่าตัวเองเป็นหงส์จริงๆ?”

สวีโหย่วหรงเป็นหงส์สวรรค์กลับชาติ ไม่ใช่หงส์จริงๆ

นางไม่มีปีกคู่ และก็ไม่ได้บำเพ็ญจนถึงขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าไม่สามารถบินได้อย่างอิสระ หากนางเดินเข้าไปในม่านรัตติกาลบนหน้าผา แน่นอนว่าต้องตกลงไปในห้วงเหวมรณะ

……

……

เงียบสงบไปถ้วนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาหรือที่อื่น

สวีโหย่วหรง…หงส์สวรรค์กลับชาติมาเกิด แม้จะอยู่ในยุคที่สิบกว่าปีที่ผ่านมามีดอกไม้ป่าเบิกบาน เป็นดอกไม้สดที่สวยงามที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ถูกเผ่ามนุษย์มองเป็นผู้นำในอนาคต ถูกเผ่ามารมองเป็นสตรีวัยเยาว์ที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในอนาคต กลับเสียชีวิตในสวนโจวอย่างเงียบสงบเช่นนี้หรือ?

หนานเค่อเดินไปถึงข้างหน้าผา มองเหวลึกดำมืดที่อยู่ด้านล่าง ครุ่นคิดอย่างเงียบขรึม แม้กระทั่งตายยังไม่ยอมตายในมือของข้า นี่ถือเป็นความทะนงสุดท้ายของเจ้าหรือการกลับสู่ความเป็นตัวเองของข้า?

มังกรดำเงียบขรึมไร้คำพูดอยู่เหนือเมฆ นางไม่ชอบเผ่ามนุษย์ อย่างมากก็แค่เฉินฉางเซิงที่เป็นข้อยกเว้น…โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสถึงเรื่องเล่าเก่าของดวงวิญญาณของบิดาในสวนโจว นางมีความรู้สึกเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์ยิ่งกว่าเดิม แน่นอนว่าก็รวมถึงสวีโหย่วหรงผู้ที่มีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของสตรีวัยเยาว์เผ่ามนุษย์ ตามหลักแล้ว นางไม่ควรมีความรู้สึกเห็นใจและโศกเศร้าใดๆ ในการตายของสวีโหย่วหรง อีกทั้งนางจำได้อย่างชัดเจนมาก เฉินฉางเซิงเคยพูดหลายครั้ง เขาไม่ได้ชอบคู่หมั้นผู้นี้ แต่เพราะเหตุใดนางยังคงรู้สึกว่ามีความอ้างว้างเล็กน้อย กระทั่งมีความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ถ้าให้เฉินฉางเซิงรู้ว่าตัวนางเห็นภาพการตายของสวีโหย่วหรงกับตา กลับไม่ได้ทำอะไร จะโทษตัวนางหรือไม่?

สวีโหย่วหรงตกลงไปในเหวลึกแห่งความตาย ดวงตาทั้งสองปิดสนิท เสียงลมข้างหูช่างไกลยิ่งนัก เลือดสดไหลออกจากริมฝีปากอีกครั้ง เมื่อพบกับลมกลางคืนก็เริ่มแผดเผา กลายเป็นเปลวไฟที่สว่างไสวกลุ่มหนึ่งลอยไปยังด้านหลัง กลับส่องสว่างได้แค่บริเวณเล็กๆ ด้านข้าง ไม่เพียงพอส่องสว่างหนทางข้างหน้า

ยิ่งใกล้พื้นดินขึ้นเรื่อยๆ แล้วใช่หรือไม่? ความตายก็ยิ่งใกล้มาเยือนขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่เหตุใดภูเขาลูกนี้ในสวนโจวถึงสูงขนาดนี้ ต้องตกลงไปอีกนานแค่ไหนถึงจะได้รับความสงบสุดท้าย?

ไม่ ความตายเป็นจุดจบ ไม่ใช่ความสงบ นั่นไม่ใช่ชายฝั่งทะเลดวงดาวที่นางบำเพ็ญค้นหา!

นางกระโดดออกจากข้างหน้าผา ไม่ใช่ไปตามหาความตาย เพียงแต่ไม่อยากตายในมือของเด็กผู้หญิงที่เหมือนกับวันๆ เอาแต่ตัดหญ้าให้หมู!

เพียงแต่ต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ตาย?

นางหลับตา คิดเรื่องนี้ จะมีคำตอบเสียที่ไหน

นางตกลงไปยิ่งมายิ่งเร็ว ลมยิ่งมายิ่งแรง

ทำให้นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเยือกเย็น อ้างว้างไร้ความช่วยเหลือ

จู่ๆ นางนึกถึงตอนออกจากจิงตูเมื่อหลายปีก่อน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เคยพูดกับนางประโยคหนึ่ง

“หงส์น้อย กลัวเจ็บได้ แต่อย่ากลัวตาย โดยเฉพาะ…ตัวเจ้า”

จากนั้น ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง