ตอนที่ 161 อาหารอร่อยต้องพึ่งน้ำมัน + 162 พ่อต้องกินของดีๆ หน่อย โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 161 อาหารอร่อยต้องพึ่งน้ำมัน
เนื้อเค็มต้องใช้น้ำร้อนล้างให้สะอาดและหั่นเป็นแผ่นบาง จากนั้นตีด้วยไข่ไก่สี่ฟอง ทำเป็นเมนูไข่ตุ๋นเนื้อเค็ม ต่อไปนำเอามันฝรั่งแผ่นที่แช่เสร็จไปผัดรวมกับเนื้อเค็ม รสชาติที่ออกมาถือว่าใช้ได้เลย ส่วนวุ้นเส้นที่มีก็อย่าได้สิ้นเปลืองเปล่า นำมาผัดทำเมนูมดขึ้นต้นไม้(หมูผัดวุ้นเส้น) รสชาติก็ดีไม่ต่างกัน
เมนูสุดท้ายที่จะทำคือซุปเต้าหู้แผ่นใส่ไข่ เธอใส่เต้าหู้แผ่นสองชิ้น อย่าให้สดเกินไป!
การทำอาหารของอู่เหมยดูคล่องแคล่วชำนาญ ทั้งตอกไข่ หั่นเนื้อ รวมทั้งเทน้ำมันลงในกระทะ เธอใช้เวลาไม่นานก็ทำเสร็จ อาหารที่ผัดออกมามีหน้าตาและกลิ่นที่ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัว ขนาดการจัดจานยังจัดได้สวย
อาจารย์แม่จางที่ออกมาทำมื้อเย็นเหมือนกับเธอ แต่พอเห็นอู่เหมยที่กำลังผัดผักด้วยกระทะใบใหญ่อยู่จึงตกใจ “เหมยเหมยทำไมถึงมาทำกับข้าวได้ล่ะ ระวังน้ำมันกระเด็นด้วยนะ”
“แม่หนูไปส่งพี่ที่โรงพยาบาลยังไม่กลับมา ในบ้านเลยไม่มีคนทำกับข้าวค่ะ” อู่เหมยเช็ดเหงื่อออกพลางเทน้ำมันลงไปหนึ่งทัพพีใหญ่ๆ อย่างสบายใจ กับข้าวจะอร่อยหรือไม่อร่อยขึ้นอยู่กับน้ำมันที่ใส่ เหอปี้อวิ๋นเป็นพวกขี้งก ใส่น้ำมันแค่นิดเดียว ผัดวุ้นเส้นไม่ใส่น้ำมันเป็นอะไรที่ไม่อร่อยสักนิด เธอเลยต้องใส่ให้เยอะหน่อย
อาจารย์แม่จางมองหม้อน้ำมันที่ลดลงไปครึ่งหม้ออย่างรวดเร็ว พลางคิดติเตียนในใจ น้ำมันหนึ่งทัพพีเธอสามารถทำกับข้าวได้ถึงสามอย่าง ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแค่เด็กน้อย ไม่เคยดูแลจัดการเรื่องในบ้านก็คงไม่รู้หรอกว่าช่วงนี้เป็นยุคข้าวยากหมากแพง
แต่จะว่าไปกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ยดูจะรุนแรงจริงๆ จนถึงขั้นต้องไปตรวจถึงโรงพยาบาล อาจารย์แม่จางมองเด็กน้อยที่กำลังฮัมเพลงอยู่ ภายในใจของเธฮรู้สึกไม่ชอบใจต่อการกระทำของเหอปี้อวิ๋น
หากว่าเหอปี้อวิ๋นไม่ลำเอียงเกินไป รักใคร่เอ็นดูสองพี่น้องเท่ากันตั้งแต่แรกคงไม่มีอะไรเปลี่ยนเหมือนน้ำกับไฟแบบนี้?
ช่างเป็นเวรเป็นกรรมจริงๆ!
“เหมยเหมยผัดได้หอมมากเลย ฉันได้กลิ่นนี่แทบจะน้ำลายไหล”
หมูผัดวุ้นเส้นใส่กลีบกระเทียมเมื่อออกจากเตามาถึงกับเป็นประกาย พร้อมกับกลิ่นหอมหวนที่ล่องลอยออกมา อาจารย์แม่จางเห็นเองกับตาว่าอู่เหมยผัดผักจานนี้ไม่ใส่น้ำแม่แต่หยดเดียว ถ้าไม่อร่อยคงจะแปลก
“อาจารย์แม่จางรีบเอาจานมาเร็วค่ะ แต่ก่อนหนูกินกับข้าวที่อาจารย์แม่จางทำบ่อยๆ วันนี้ลองชิมฝีมือหนูดูสิคะ”
อู่เหมยยิ้มหวานและพูดออกไป การทำกับข้าวถือเป็นสิ่งที่เธอมั่นใจที่สุดแล้ว เมื่อก่อนทานกับข้าวที่อาจารย์แม่จางทำมาเยอะมาก พอดีกับตอนนี้ที่เหอปี้อวิ๋นไม่อยู่บ้าน เธอจะต้องตอบแทนน้ำใจบ้าง เธอไม่รู้สึกเสียดายสักนิดที่ใช้ข้าวของของเหอปี้อวิ๋นมาทำ
แน่นอนว่าอาจารย์แม่จางจะรับของจากเด็กได้ยังไง เธอได้แต่โบกมือปฏิเสธไม่หยุด อู่เหมยจึงถือโอกาสวิ่งไปที่บ้านตระกูลจางด้วยตัวเองเพื่อหยิบจาน เธอตักกับข้าววางไว้ครึ่งค่อนจานและยื่นให้อาจารย์แม่จางด้วยรอยยิ้ม “หนูทำเองค่ะ รับรองว่าอร่อย”
อู่เหมยทยอยยกกับข้าวทั้งสามจานเข้าไปในบ้านด้วยความร่าเริง เธอเปลี่ยนไปจากที่เคยอมทุกข์ กลายเป็นสาวน้อยที่สดใสร่าเริง แค่เห็นก็ทำให้คนรู้สึกชอบใจแล้ว
อาจารย์แม่จางส่ายหัวเบาๆ แล้วยิ้มยกมุมปาก
เด็กดีขนาดนี้ต่างต้องเป็นที่รักของทุกคน เสียดายที่ไม่ใช่ลูกสาวของเธอ!
อาจารย์แม่จางที่ทำกับข้าวเสร็จนานแล้ว คนบ้านตระกูลจางที่มองดูอู่เหมยด้วยความนิ่งอึ้งปนตกใจ เห็นเธอวิ่งเข้าวิ่งออกและบนโต๊ะที่เพิ่มมาด้วยผัดวุ้นเส้นหอมๆ นี่อู่เหมยเธอไปทำอะไรมาจนเสียสติหรือไง?
“รีบกินเถอะ ครูเหอพาอู่เยวี่ยไปโรงพยาบาลยังไม่กลับมา อู่เหมยเป็นคนทำมื้อเย็น ตั้งใจที่จะให้พวกเราชิมฝีมือของเธอเลยนะ เด็กคนนี้มีความตั้งใจจริงๆ!” อาจารย์แม่จางอธิบาย
ลูกชายของบ้านตระกูลจาง จางจ้วงจ้วง พึ่งจะมีอายุได้สิบขวบแต่ร่างกายกำยำเหมือนลูกวัวมาก เขาทนไม่ไหวตั้งแต่แรกจึงใช้ตะเกียบคีบผัดวุ้นเส้นในจานเข้าปาก ดวงตาเขาถึงกับเปล่งประกาย กลืนกินลงไปดั่งหมาป่าและเสือที่หิวโหย
“อร่อยจัง แม่ครับ กับข้าวฝีมือพี่เหมยเหมยนี่อร่อยจริงๆ!”
จางจ้วงจ้วงอดไม่ได้ที่จะใช้ตะเกียบคีบกับข้าวอีกครั้ง พี่ชายทั้งสามของเขามองจนน้ำลายไหล จึงได้รีบคีบอาหารตาม ทุกคนต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ พี่คนโตเพิ่งจะอายุได้สิบเจ็ดปี พี่คนที่สองเพิ่งจะสิบห้า พี่คนที่สามอายุสิบสอง พวกเขาถือเป็นวัยที่กำลังกินเก่ง วัยที่กำลังเจริญเติบโต ทั้งสี่คนต่างพากันคีบวุ้นเส้นในจานอย่างพอดิบพอดี
“พ่อครับแม่ครับ รีบกินเร็ว อร่อยจริงๆ นะ”
จางเผิงพี่คนโตพูด ทั้งสี่พี่น้องจึงรู้กันเองและเลือกกินกับข้าวอย่างอื่นไปด้วย ผัดวุ้นเส้นจานนั้นจึงเหลือไว้ให้พ่อกับแม่
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 162 พ่อต้องกินของดีๆ หน่อย
อู่เหมยได้จัดวางกับข้าวพร้อมทั้งตักข้าวเสร็จเรียบร้อย เธอตะโกนเรียก “พ่อคะ กินข้าวกัน”
เป็นจังหวะที่อู่เจิ้งซือกำลังหิว เขาจึงเดินออกมาอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมๆ ของอาหารลอยเข้ามาแตะที่ปลายจมูกของเขาทำให้ท้องเริ่มร้องขึ้นเรื่อยๆ เขานั่งลงและเริ่มทานอาหาร พออาหารคำแรกเข้าปากได้เขาก็รู้สึกพอใจและพยักเพยิดหน้าเป็นคำตอบ
ฝีมือการทำอาหารของลูกสาวคนเล็กถือว่าใช้ได้เลยล่ะ อร่อยกว่าที่ภรรยาของเขาทำมาก หน้าตาและกลิ่นเข้ากันได้อย่างลงตัว
“กับข้าวรสชาติดีมาก ต้องลำบากลูกจริงๆ” อู่เจิ้งซือหน้าตายิ้มแย้มและพูดจาอ่อนโยน สายตาบ่งบอกถึงความรักใคร่และเอ็นดู
อู่เหมยดูตกใจไปชั่วขณะ เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร เพราะปกติเธอจะชินกับความเมินเฉยและสายตาเย็นชา แต่พอได้รับสายตารักใคร่เอ็นดูแบบนี้ทำให้เธอไม่ชินและตั้งตัวไม่ทัน อู่เหมยจึงก้มหัวลงอย่างรวดเร็วและพูดด้วยเสียงเบา “ไม่ลำบากเลยค่ะ พ่อกินไข่นี่สิ”
เธอคีบไข่ให้อู่เจิ้งซือเพื่อปกปิดความไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง จากนั้นก็คีบให้ตัวเองตาม กลิ่นสดใหม่ของเนื้อเค็มได้ซึมเข้าไปในไข่ซึ่งได้รสชาติสดอร่อยจริงๆ ดูเหมือนว่าจะถูกปากอู่เจิ้งซือด้วย เขากินไปเยอะอย่างไม่รู้ตัวเพราะได้ตักข้าวถ้วยที่สองเพิ่ม
อู่เหมยยัดข้าวคำโตเข้าเต็มปาก ไข่มีอยู่จำกัดจึงกินได้แค่คนละใบ แต่เนื้อมีให้กินเยอะ เนื้อเค็มที่ทำจากหมูหมักทั้งหอมทั้งเหนียว ไม่มีความเลี่ยนเลย อู่เหมยและอู่เจิ้งซือกินจนน้ำมันเลอะไปเต็มปาก บรรยากาศสามัคคีปรองดองแบบนี้หาได้ยากมาก
จังหวะที่เหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยกลับมาถึง บรรยากาศในการกินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุขของสองพ่อลูกที่เหอปี้อวิ๋นไม่เห็นเป็นแบบนั้น ส่วนอู่เยวี่ยก็มองภาพนั้นอย่างไม่เข้าตา
ยัยอู่เหมยจอมกลับกลอก ทีเมื่อก่อนให้ทำงานบ้านกลับชอบอ้างนั่นอ้างนี่ แต่พอเธอกับแม่ไม่อยู่กลับกระตือรือร้นนัก คงเป็นเพราะอยากทำตัวเอาอกเอาใจคุณพ่อล่ะสิ!
หึ แค่คะแนนชุ่ยๆ ของคนโง่ ต่อให้เอาใจได้ดีแค่ไหน คุณพ่อก็ชอบที่หนึ่งอย่างเธอเท่านั้น!
สิ่งที่ทำให้เหอปี้อวิ๋นกังวลกลับเป็นเรื่องอื่น กับข้าวสามอย่างที่วางอยู่พร้อมกับซุปอีกหนึ่งอย่าง ยัยลูกคนมีเงิน เธอเดินออกไปตักข้าวด้านนอกทำให้มองเห็นหม้อน้ำมันที่ลดลงไปครึ่งหม้อ ดวงตาของเหอปี้อวิ๋นร้อนราวกับไฟลุกไหม้
น้ำมันหม้อนั้นเธอเพิ่งจะกรอกไปเมื่อวาน ตอนนี้หายไปเกินครึ่งหม้อ ยัยเด็กบ้านี่เทใช้เหมือนน้ำหรือไง!
ใจในของเหอปี้อวิ๋นเต็มไปด้วยความสงสัย เธอเดินกลับไปที่ห้องเก็บของและได้เห็นเนื้อเค็มส่วนสันขาที่ดีที่สุดที่ถูกตัดออกไป เธอกัดฟันแน่นจนฟันแทบหัก ใบหน้าที่แสดงออกบ่งบอกได้ชัดถึงความไม่พอใจ
เธอพยายามอดทนจนถึงที่สุดและไม่ได้โวยวายออกไป พร้อมกับตักข้าวเปล่าออกมาสองจานแล้วนั่งลงเพื่อทานข้าว บนใบหน้าของเธอปรากฏรอยยิ้มขึ้นทำให้อู่เจิ้งซือถามออกไปด้วยความเป็นห่วง “หมอว่าไงบ้าง?”
“บอกว่าไม่ใช้กลิ่นเต่า แต่หัวน่าจะไปติดกลิ่นหรืออะไรมา คุณหมอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แค่บอกให้รีบกลับไปสระผม ผ่านไปสักช่วงกลิ่นน่าจะหายไป” เหอปี้อวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ดีแล้ว เยวี่ยเยวี่ยต่อไปอย่าทำแบบวันนี้อีกล่ะ ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” อู่เจิ้งซือโล่งใจและพูดติเตียนอู่เยวี่ย
อู่เยวี่ยขานรับอย่างนอบน้อม “หนูขอโทษค่ะพ่อ”
เหอปี้อวิ๋นที่มัวแต่ตักซุปอยู่ “ก็เป็นเพราะเยวี่ยเยวี่ยตกใจจนขาดสติไม่ใช่เหรอ เยวี่ยเยวี่ยกินไข่นี่สิลูก วันนี้ทั้งวันแทบไม่ได้กินอะไรเลย!”
เธอใช้ตะเกียบคีบผัดวุ้นเส้นขึ้นมากิน พอเส้นเข้าปากถึงรู้ได้เลยว่าน้ำมันครึ่งหม้อหายไปไหน เธออดทนต่อไม่ไหวจึงพูดออกไป “เหมยเหมย ครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนพวกเศรษฐีนะ ไม่ว่าจะทำอะไรต้องรู้จักประหยัด แกดูผัดวุ้นเส้นจานนี้สิ มีแต่น้ำมัน สิ้นเปลืองเกินไปแล้วนะ”
อู่เหมยข่มเรื่องวุ้นเส้นไว้ จริงอยู่ที่ใส่น้ำมันเยอะไปหน่อย แต่ความเป็นจริงคือมันอร่อย เธอข่มสายตาไว้และหันไปพูดกับอู่เจิ้งซืออย่างมีเจตนา “ใช้น้ำมันทำกับข้าวไม่อร่อยหรอกเหรอ พ่อคะ กับข้าววันนี้อร่อยใช่ไหม?”
อู่เจิ้งซือที่นั่งกินด้วยความสบายใจจึงได้แต่พยักหน้าตอบ “รสชาติถือว่าใช้ได้ ฝีมืออู่เหมยนี่ดีจริงๆ”
“วันนี้พ่อกินข้าวไปตั้งสองถ้วยแหนะ พ่อผอมเกินไปแล้ว ต้องกินเยอะๆ นะคะ ต่อไปแม่ทำกับข้าวก็อย่าขี้เหนียวนักสิ เงินเดือนของพ่อก็ออกจะสูง ให้กินหมูกินไก่ทุกวันเรายังทำได้เลย แค่น้ำมันนิดๆ หน่อยๆ แม่ยังจะเสียดายอีกเหรอ? หรือว่าแม่ไม่สงสารพ่อเลย?”
อู่เหมยใช้พลังปาฏิหารย์เข้าช่วย เธอคิดคารมคมคายได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้เหอปี้อวิ๋นถกเถียงต่อไม่ได้ ใบหน้าของอู่เจิ้งซือกลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น เขารู้สึกพึงพอใจกับคำพูดของอู่เหมย
…………………………………………………………………………………………..