บทที่ 1016 หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว โดย Ink Stone_Fantasy
ในความเงียบงัน ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดส่งกลิ่นหอมมีเอกลักษณ์อยู่ในพื้นที่ว่างใต้ดิน
ฮวาหูเตี๋ยสวมกระโปรงยาวเดินเนิบนาบเพียงลำพัง เมื่อเดินมาถึงทางเดินตรงลานบ้านด้านหลัง นางก็นั่งพิงรั้วและวางแขนข้างหนึ่งพาดบนรั้ว ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะตีรั้วเบาๆ ขณะกำลังครุ่นคิด บนใบหน้าก็เริ่มเผยรอยยิ้มบางๆ พร้อมพึมพำว่า “อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง มายังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ยังไม่รู้แม้แต่รายละเอียดของสถานการณ์ ก็กล้าพาตัวเองเข้ามาเสี่ยงอันตรายแล้ว ใช้คำพูดสองสามคำปั่นชีวิตคนเล่นในฝ่ามือ ช่างมีความสามารถจริงๆ ช่างมีจิตวิญญาณที่กล้าหาญ! เดิมทีนึกว่าเป็นพวกหลับหูหลับตาวิ่งมาทำงาน นึกไม่ถึงว่าจะมีตัวละครที่ได้มาตรฐานแบบนี้ คนคนนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ! ได้ยินว่าเจ้าตุ้งติ้งไม่ค่อยได้รับความสำคัญจากตระกูลโค่ว แต่กลับรับลูกน้องที่มีฝีมือแบบนี้เอาไว้ ถึงได้ปล่อยออกมาทำงานรับใช้อย่างสุดชีวิต สงสัยการทกสอบครั้งนี้จะควรค่าแก่การรอคอย…”
ส่วนบทสรุปในการเจรจาของปานเยว่กงและภรรยาก็เป็นตามที่เหมียวอี้คาดไว้ เมื่อมีทางออกก็ไม่มีใครปฏิเสธ แต่กลับมีเงื่อนไขอีกข้อ
ชิงเหมยไม่มีความเห็นอะไร แต่ปานเยว่กงกลับไม่มีทางย่อมให้คนพาเมียตัวเองไปโดยอาศัยแค่คำพูดปากเปล่าของเหมียวอี้ เขาตอบตกลงเงื่อนไขของเหมียวอี้ และยินดีจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ห้ามให้ความปลอดภัยของเมียตัวเองอยู่ในมือคนอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ทำ
และก่อนที่จะทำแบบนั้น เขาก็ต้องการให้เหมียวอี้ลงนามรับประกัน ถ้าเหมียวอี้กล้าข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อย่าว่าแต่ใช้อำนาจคุกคามเหมียวอี้ อย่างน้อยเขาก็สามารถเปิดเผยชื่อของเหมียวอี้ได้
“ไม่มีปัญหา!” เหมียวอี้กล่าวอย่างสบายอกสบายใจ ตอบรับในคำเดียว
เมื่อเป็นแบบนี้ ปานเยว่กงก็วางใจแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายปรึกษาหารือรายละเอียดกันอีกครั้ง จนกระทั่งได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย
หลังจากตกลงเรื่องนี้กันได้แล้ว สองสามีภรรยาก็ต้องไปกับเหมียวอี้แล้ว ปานเยว่กงเรียกลูกน้องมามอบหมายงานของป่าลืมทุกข์ ส่วนชิงเหมยก็กลับมาบอกลาฮวาหูเตี๋ยที่ตำหนักสวรรค์ลานบ้านด้านหลัง
ในศาลา สตรีสองคนนั่งลงด้วยกัน ฮวาหูเตี๋ยถามว่า “จะไปกับคนคนนั้นจริงๆ เหรอ?”
ชิงเหมยพยักหน้า “ในปีนั้นที่ข้าหนีมาที่ดาววิงวอนชีพ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่สาวช่วยชี้แนะและเป็นคนกลางติดต่อให้ ข้าก็คงไม่ได้พบกับท่านสามี ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ ในหลายปีมานี้ ตอนนี้มีโอกาสได้รับอิสระแล้ว ย่อมไม่อยากปล่อยไป ท่านสามีใจร้อนกว่าข้าอีก”
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ พยักหน้าบอกว่า “ถ้าสามารถลบล้างข้อหาและช่วยคืนอิสระให้เจ้าได้ ปานเยว่กงย่อมใจร้อนอยู่แล้ว”
แต่ในใจกลับแอบถอนหายใจยาว เจ้าหนุ่มนั่นใช้ได้จริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำ พอมาถึงก็สามารถทำให้สองสามีภรรยาที่ไม่เคยเจอหน้ามาก่อนกลายเป็นกระบองเหล็กสองด้ามที่เอาไว้ตีคนแล้ว คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า คนหนึ่งวรยุทธ์บงกชทองขั้นเก้า ช่างเป็นผู้ช่วยที่ดีจริงๆ
หารู้ไม่ว่าเหมียวอี้ก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน เมื่อพลังไม่พอก็ทำได้เพียงใช้สมอง ถ้ามีพลังจะมัวพูดมากแบบนี้ทำไม ถ้าจับได้ก็จับ ฆ่าได้ก็ฆ่า จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป
“ที่จริงพวกเราสองสามีภรรยาไปกับเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาอะไร ในเมื่อเขาสามารถหาที่นี่พบ ก็รับประกันได้ยากว่าคนอื่นๆ ของตำหนักสวรรค์จะหาที่นี่ไม่พบ หลบอยู่ข้างกายเขาก็ดีเหมือนกัน” ชิงเหมยถอนหายใจ
“หลักการก็เป็นแบบนี้ รักษาตัวให้ดีๆ !” ฮวาหูเตี๋ยทอดถอนใจเช่นกัน ในน้ำเสียงสื่ออารมณ์ซับซ้อน
บางอย่างนางก็พูดออกมาไม่ได้ เพราะในใจนางรู้ดี นอกจากพวกเหมียวอี้ที่รู้ว่าชิงเหมยอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็อาจจะไม่รู้ก็ได้ สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะว่านางเป็นคนปล่อยข่าวเอง ฐานะอย่างนางก็โดนกดดัดจนหมดทางเลือกเหมือนกัน แต่นางก็นับว่าลำเอียงเพราะเห็นแก่ไมตรีที่มีต่อสองสามีภรรยาแล้ว นางให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจนกับพวกเหมียวอี้ไป ตามความคิดของนาง ประการแรกคือหวังให้พวกหมียวอี้เห็นว่ายากแล้วยอมถอย นั่นคือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางแล้ว ประการต่อมาก็คือมีปานเยว่กงอยู่ด้วย นางเดาว่าพวกเหมียวอี้อาจจะทำไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่ว่าแต่ละคนมีวรยุทธ์เป็นอย่างไร พลังระดับบงกชทองขั้นเก้าของปานเยว่กงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ทว่าคาดการณ์มาดีอย่างไร อย่างก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนประหลาดอย่างเหมียวอี้โผล่มา ไม่น่าเชื่อว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งแต่ยังกล้ามาขอคนกับปานเยว่กงแบบต่อหน้า ทั้งยังล่อลวงสองสามีภรรยาไปด้วยกันได้อีก ทำให้นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ดันไม่สะดวกจะช่วยทั้งสองฝ่าย เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสองฝ่าย ก็ทำได้เพียงกดกลั้นคำพูดบางคำไว้ในใจ…
ตอนที่เหมียวอี้ออกจากตำหนักใต้ดิน ปานเยว่กงก็ยังไม่วางใจเสีนทั้งหมด พาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ในทางใต้ดิน กว่าจะโผล่ขึ้นมาที่ผิวดินได้ก็ทำเอาเหมียวอี้มึนหัว
ตอนที่เหาะออกมาจากป่าลืมทุกข์ เหมียวอี้ก็มมองทะเลป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลเบื้องล่าง แยกไม่ออกเหมือนกันว่าทางใต้ดินอยู่ตรงตำแหน่งไหนกันแน่ เขาเอียงศีรษะมองสองสามีภรรยา แล้วพูดหยอกล้อว่า “ปานเยว่กง เจ้านี่ระวังตัวใช้ได้เลยนะ”
“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่คิดจะปกป้องชีวิตตัวเองก็เท่านั้น” ปานเยว่กงกล่าวอย่างจนใจ
“เอาไว้เดี๋ยวเจอกัน!” เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนหน้านี้ได้พูดสิ่งที่ควรพูดไปชัดเจนแล้ว จึงพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคเดียว แล้วเหาะแยกออกไปลำพัง
หลังจากมาถึงจุดที่แยกกันก่อนหน้านี้ และได้พบกับพวกมู่หรงซิงหัวแล้ว มู่หรงซิงหัวก็ถามทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ต้องพูดถึงแล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมยกเมียให้แต่โดยดี แถมข้ายังเกือบเอาชีวิตไม่รอด พลังของปานเยว่กงไม่ธรรมดาจริงๆ เหนือกว่าเจิ้งหรูหลงเยอะ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
สวีถังหรานส่ายหน้ายิ้ม “บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าเข้าไป แต่เจ้าก็ไม่ฟัง จะมีสักกี่คนที่จะส่งเมียตัวเองออกไปตายได้ แต่ก็ยังดี รักษาชีวิตไว้ได้ก็นับว่าดีแล้ว”
“ในเมื่อปานเยว่กงรับมือด้วยยาก งั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายแล้วกัน จากเก้าคนหายไปสักคนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าจับได้แปดคนจากหนึ่งร้อยคน อันดับพวกเราก็ไม่แย่แล้ว หยางไท่กล่าว
เหมียวอี้คิดในใจว่า อย่างพวกเจ้าน่ะ ถ้าเจอใครสักคนที่รับมือยาก ก็คงจะถอยไปหาเป้าหมายที่ต่ำลง จากแปดเปลี่ยนเป็นเจ็ด แล้วสุดท้ายก็กลายเป็น แค่รักษาชีวิตไว้ได้ก็เพียงพอแล้ว
แต่ละคนมีเป้าหมายต่างกัน เวลาทำงานร่วมกัน เหมียวอี้ก็ไม่อยากว่าอะไรพวกเขามาก จึงบอกว่า “งั้นก็ไปจับคนต่อไปทีเป็นโจรราคะแล้วกัน”
นักโทษที่ถูกเรียกว่า ‘โจรราคะ’ เจิงอีอี นี่ไม่ใช่นักโทษหลบหนี แต่เป็นนักโทษที่ที่ทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า คนคนนี้ค่อนข้างประหลาด เป็นแบบฉบับของมหาโจรย่ำดอกไม้ ปกติคนในแดนฝึกตนมักจะไม่ขาดผู้หญิง คนที่มีพลังอภินิหาร อย่างน้อยถ้าอยากได้พวกผู้หญิงสวยที่เป็นมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ไม่รู้ว่าปกติเจ้าบ้านี่มีความแค้นอะไรกับขุนนางตำหนักสวรรค์นักหนา เลือกลงมือกับพวกภรรยาของขุนนางโดยเฉพาะ หลังจากทำสำเร็จแล้วก็ไม่ฆ่าทิ้ง ทว่ามีนิสัยที่ไม่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หลังจากลงมือย่ำยีเสร็จแล้ว ก็จะทิ้งรอยสักอักษรสีดำไว้ที่แผ่นหลังของเหยื่อโดยไม่ให้รู้ตัวว่า : เจิงอีอีเคยมาเล่นที่นี่หนึ่งครั้ง!
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่โดนเขาย่ำยีล้วนไม่กล้าประกาศเสียงดัง แค่อยากจะปิดบังไว้ แต่ใครจะคิดว่าโจรจะทิ้งรอยสักที่ลบไม่ออกไว้ที่แผ่นหลังตน พอสามีภรรยาร่วมห้องหลับนอนกันก็เผยพิรุธทันที แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
วิธีการนี้โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่าคนเสียอีก แต่เจ้าบ้านี่ก็มีความสามารถมาก มีวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าเท่านั้น แต่กลับก่อคดีซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งยังหนีรอดครั้งแล้วครั้งเล่า เรียกได้ว่าประหลาดพิลึก จากข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา ดาววิงวอนชีพก็คือรังโจรของเจิงอีอี
มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นชิงชัง “ก็แค่พวกหน้าด้านไร้ยางอาย! ครั้งนี้ไม่ปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้แน่!”
เจิงอีอีมีเพียงวรยุทธ์บงกชทองขั้นห้า พอคิดไปคิดมาพวกเขาก็รู้สึกมั่นใจ หลังจากมีความเห็นตรงกันแล้ว ก็หยิบข้อมูลที่ฮวาหูเตี๋ยให้ออกมาศึกษาและวินิจฉัย
เจิงอีอีซ่อนตัวอยู่ที่ซีกตะวันตกของดาววิงวอนชีพ ฝั่งนั้นไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เป็นตอนกลางคืนตลอดเวลา มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี
เมื่อแยะแยะตำแหน่งคร่าวๆ ที่เจิงอีอีซ่อนตัวได้แล้ว พวกเขาก็เหาะไปยังซีกตะวันตกด้วยความเร็วสูง
ขณะที่เหาะไปยังดินแดนที่มีสีของท้องฟ้ายามสายัณห์ จู่ๆ ก็เห็นหญิงชายคู่หนึ่งเหาะมาตรงหน้า หลังจากทั้งสองฝ่ายเหาะเฉียดผ่านกันไปประมาณร้อยจั้ง จู่ๆ หยางไท่ก็บอกว่า “ไม่ดีแล้ว เกรงว่าสองคนนี้จะมีเจตนาไม่ดี”
พวกเขาหันกลับไปมอง เห็นชายหญิงที่เพิ่งเหาะผ่านไปเลี้ยวไล่ตามมาแล้ว
ฝั่งนี้เพิ่งจะเตรียมป้องกัน แต่กลับได้ยินฝ่ายตรงข้ามร่ายอิทธิฤทธิ์สามเสียงดังว่า”ข้างหน้าใช้น้องหนิวโหย่วเต๋อหรือเปล่า?”
พวกเขาชะงักทันที มู่หรงซิงหัวถามว่า “น้องหนิว เจ้ารู้จักเหรอ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าสงสัย “เสียงก็ฟังดูคุ้นหูนะ แต่ไม่เคยเจอตัวมาก่อน”
หลังจากใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง หยางไท่ก็บอกว่า “พวกเขาปลอมตัวมา บนใบหน้าสวมหน้ากากไว้”
หลังจากพวกเขาได้ยินดังนั้น ก็ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองให้ละเอียดเหมือนกัน เป็นแบบนั้นจริงๆ ด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายตะโกนกลับมาอีกว่า “สหายเก่าเจอหน้ากัน ทำไมน้องหนิวไม่สนใจล่ะ เป็นพวกเราสองสามีภรรยาไง!”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเข้าในในทันที รีบกวักมือบอกทุกคน “หยุดก่อนๆ เป็นสหายของข้าเอง!”
ที่แท้ก็เป็นสหาย! คนที่เหลือโล่งใจ ตอนนี้หยุดเหาะแล้ว
เหมียวอี้เลี้ยวและเหาะเข้าไป ไปลอยอยู่กับสองสามึภรรยาอยู่กลางอากาศ สองสามีภรรยาย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนอยู่แล้ว เป็นปานเยว่กงกับชิงเหมยนั่นเอง
ทว่าหลังจากเหมียวอี้พาทั้งสองกลับมา กลับยิ้มพลางแนะนำให้สมาชิกที่เหลือรู้จัก “พวกเขาสองสามีภรรยาคือสหายเก่าของข้า ไม่เจอกันมาหลายปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่ บังเอิญมากจริงๆ พวกเขาสองสามีภรรยามีพลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่ง ในเมื่อเจอกันแล้ว ข้าย่อมเชิญให้พวกเขามาช่วยพวกเราอีกแรง เมื่อมีไมตรีเก่าๆ พวกเขาก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ไม่ถือสาที่จะช่วยเหลือ เพียงแต่พวกเขาไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่อยากเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนเห็น และไม่ยากเปิดเผยชื่อจริงด้วย เรียกพวกเขาว่าหนิวโหย่วไฉกับหนิวโหย่วโส้วแล้วกัน หวังว่าทุกคนจะไม่ถือสา!”
หนิวโหย่วเต๋อ หนิวโหย่วไฉ หนิวโหย่วโส้ว[1] แปลกพิลึกใช้ได้เลย พวกมู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วหลุดขำ ทุกคนไม่สนใจหรอกว่าจะเป็นชื่อปลอมหรือชื่อจริง มีคนเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเป็นเรื่องที่ดีสุดๆ จึงกุมหมัดคารวะทันที “รบกวนคู่ที่เพรียบพร้อมด้วยคุณธรรมทั้งสองท่านแล้ว!”
เหมียวอี้แนะนำพวกมู่หรงซิงหัวให้รู้จักทันที
ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนพวกมู่หรงซิงหัว ปานเยว่กงกับชิงเหมยไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงกุมหมัดคารวะ นับว่าแสดงออกว่ารู้จักแล้ว
ที่ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง ก็คือความประสงค์ของปานเยว่กง อีกฝ่ายมีภาพวาดของชิงเหมยอยู่ในมือ หน้าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงจะต้องจำได้แน่ ก็เหมือนอย่างที่เขาบอกเหมียวอี้ เขาแค่อยากจะสร้างผลงานเพื่อชดเชยความผิดและล้างข้อหาคืนอิสระให้เมียเมียตัวเอง แต่ไม่ได้อยากส่งเมียตัวเองให้อยู่ในมือคนอื่น เมื่อทำแบบนี้หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา เขาก็ยังสามารถพาเมียหลบหนีได้ เขาไม่อาจปิดตายทางหนีทีไล่ของตัวเอง
สำหรับเรื่องนี้ เหมียวอี้ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร เขาอยากจะจัดการเพียงคนเดียว และยิ่งอยากจะให้สองสามีภรรยาเชื่อฟังเขาคนเดียว แบบนี้เวลาข้างกายมีคนเพิ่มมาคอยปกป้องสองคน จะได้ไม่ต้องกังวลว่าพวกคนต่ำทรามสวีถังหรานจะเล่นไม่ซื่อลับหลัง
ขณะที่อยู่ต่อหน้าพวกมู่หรงซิงหัว เหมียวอี้ก็พลิกฝ่ามือ ไม่หน้าเชื่อว่าจะนำเกราะรบผลึกแดงทั้งชุดที่โค่วเหวินหลามอบให้ออกมา แล้วโยนให้ปานเยว่กง “พี่โหย่วไฉ ข้าไม่ให้ท่านช่วยเหลือเปล่าๆ หรอก ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง เอาไปใช้!” จากนั้นก็โยนเกราะทองสามแถบชุดหนึ่งให้ชิงเหมย “พี่สะใภ้ ใช้แก้ขัดไปก่อนแล้วกัน เกราะรบผลึกแดงทั้งชุด ข้าเองก็ไม่ได้มีเหลือเฟือ แต่ยังดีที่มันเป็นเกราะรบของตำหนักสวรรค์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้น ก็แกล้งเล่นละครเป็นคนของตำหนักสวรรค์ไป อย่างน้อยก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามลูบหน้าปะจมูก”
พวกมู่หรงซิงหัวอ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ เกราะรบผลึกแดงทั้งชุดเชียวนะ เจ้าบ้านี่บทจะให้ก็ให้เลย สงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสหายเก่าสองคนนี้จะไม่ธรรมดา! เจ้าบ้านี่มีสหายสองคนคอยช่วยเหลือ พวกเขาก็เลิกคิดที่จะมีเจตนาร้ายแอบแฝงไปได้เลย
ปานเยว่กงที่ถือเกราะรบก็ตะลึงค้างเช่นกัน มองเหมียวอี้ด้วยความอึ้งอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พยักหน้าช้าๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ข้าเชื่อคำพูดเจ้าแล้ว ขอเพียงพวกเราสองสามีภรรยาผ่านด่านนี้ไปได้ ขอเพียงเจ้าไม่รังเกียจ เจ้ากับข้าก็เป็นสหายกันได้!”
…………………………
[1] หนิวโหย่วเต๋อ 牛有德 แปลว่าเก่งและมีคุณธรรม 牛有财 หนิวโหย่วไฉ แปลว่าเก่งและมีเงิน 牛有寿 หนิวโหย่วโส้ว แปลว่าเก่งและอายุยืน