ตอนที่ 1604 วิหคเพลิงกลืนวิญญาณและเคลือบเพลิงสวรรค์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมาเลยสักกระผีก แต่กลับรู้สึกดีใจ 

 

 

เห็นได้ชัดว่าราคาของไผ่อัสนีทองนี้ ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ 

 

 

ทว่าจะว่าไปแล้วแม้ว่าเขาจะมีเคล็ดวิชาเซ่นอัสนี แต่จากความหวาดกลัวอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายของราชันย์ปีศาจในเหวพสุธา ก็รู้สึกว่าเหมือนไผ่อัสนีทองจะซ่อนอะไรสักอย่างไว้ 

 

 

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ราชันย์ปีศาจสองสามตนในตอนนั้นแค่หลอกใช้เขามากไปหน่อย ต่อให้ไผ่อัสนีทองมีความลับอะไรอื่นจริงๆ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางบอกเขา  

 

 

และไม่ว่าเผ่าวิญญาณเหาะเหินหรือว่าเมืองเมฆาตรงหน้า ก็ไม่มีทางหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับไผ่อัสนีทองรวมทั้งอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายในคัมภีร์ธรรมาๆ ได้มากนัก ก็ทำได้เพียงหยุดการค้นเอาไว้ชั่วคราว เก็บเอาไว้รอหาคำตอบทีหลัง 

 

 

ในตอนที่หานลี่ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วนัก การประมูลไผ่อัสนีทองก็เริ่มขึ้นแล้ว 

 

 

ไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์คนไหนบนชั้นสามเรียกราคา แค่อ้าปากก็เปล่งคำพูด”สองร้อยห้าสิบล้าน” ชั่วขณะทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่เดิมทีสนใจ ต้องหน้าซีดขาว 

 

 

ทว่าผู้ที่ร่ำรวยย่อมไม่ได้มีเพียงคนผู้นี้คนเดียว  

 

 

แทบจะในชั่วพริบตาตัวเลขสองร้อยหกสิบล้านและสองร้อยเจ็ดสิบล้านก็ดังออกมาจากปากของระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนจากชั้นสาม 

 

 

น้ำเสียงของบุรุษหนึ่งในนั้นไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า หานลี่รู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง เมื่อขบคิดอย่างละเอียด ก็แยกแยะฐานะของคนผู้นั้นได้ทันที นั่นก็คือเชียนจีจื่อ 

 

 

ชายชราเผ่าหมื่นโบราณผู้นี้ก็สนใจไผ่อัสนีทองของเขาเช่นกัน 

 

 

ส่วนอีกคนนั้นกลับเป็นบุรุษแซ่เลี่ยผู้ที่เคยใช้น้ำเสียงไม่เป็นมิตรตอนประมูลของเหลวเพลิงสวรรค์ในตอนแรก 

 

 

ทั้งสองคนเสนอราคาตามลำดับ คนอื่นๆ ที่เดิมทีคิดจะแย่งชิงก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป จึงทำได้เพียงมองไปยังไผ่อัสนีทองบนเวที แล้วลอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ เท่านั้น 

 

 

ยามนี้ในวิหารจึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด 

 

 

“สามร้อยล้านศิลาวิญญาณ!” 

 

 

ส่วนระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์นิรนามที่ตะโกนเรียกราคาในตอนแรกก็เงียบขรึมไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยตัวเลขที่ทำให้หานลี่ใจเต้นระรัวออกมา 

 

 

ยามนี้เชียนจีจื่อพลันถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นทั้งห้องก็ไม่มีเสียงเรียกราคาออกมาอีก 

 

 

“สามร้อยสิบล้านศิลาวิญญาณ! ผู้ที่เรียกราคาด้านนั้นคือสหายจิ้งสินะ ไผ่อัสนีทองมีความสำคัญกับผู้แซ่เลี่ยมาก หวังว่าสหายจะปล่อยให้ข้าสมปรารถนา” บุรุษแซ่เลี่ยดูเหมือนว่าจะลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้เสนอราคาออกมา ในเวลาเดียวกันก็เอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท 

 

 

“พี่เลี่ยกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ข้าน้อยยอมจ่ายราคาสูงเช่นนี้ ไผ่อัสนีทองย่อมสำคัญกับผู้แซ่จิ้งเช่นกัน เกรงว่าคงไม่อาจยอมให้ได้ สามร้อยยี่สิบล้าน!” บุรุษที่เริ่มเรียกรคากลับฉีกยิ้มจางๆ ไม่มีเจตนาจะยอมล้มเลิกเลยสักนิด แล้วประกาศราคาขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง 

 

 

“เยี่ยม ในเมื่อสหายจิ้งกล่าวเช่นนี้ ผู้แซ่เลี่ยเองก็ไม่ชอบแย่งชิงกับใคร ไผ่อัสนีทองลำนี้เป็นของนายท่านแล้ว” ดูเหมือนว่าบุรุษแซ่เลี่ยจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของฐานะอีกฝ่าย เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเอาไปให้ได้ ก็ยอมถอยให้ทันที 

 

 

แค่ในใจเกิดความกลัดกลุ้มอยู่ไม่น้อย 

 

 

“หึๆ ขอบพระคุณพี่เลี่ยที่ทำให้ข้าสมปรารถนา!” เสียงของบุรุษแซ่จิ้งผู้นั้นค่อนข้างพอใจ แต่ครู่ต่อมา น้ำเสียงก็หยุดไปกะทันหัน 

 

 

“สามร้อยยี่สิบล้าน” เสียงเสนอราคาดังออกมาจากชั้นหนึ่งของวิหาร 

 

 

น้ำเสียงไพเราะเสนาะหู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสตรีคนหนึ่ง 

 

 

ครานี้คนกว่าครึ่งพลันตกตะลึง อดที่จะมองไปตามต้นเสียงไม่ได้ 

 

 

ผู้ที่เรียกราคาคือหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าที่เพิ่งประมูลรถศึกอเวจีไปก่อนหน้า 

 

 

ทุกคนรวมทั้งหานลี่ล้วนพากันตกตะลึงค้าง 

 

 

เมื่อครู่สตรีผู้นี้เสียศิลาวิญญาณไปก้อนใหญ่ขนาดนั้น ตอนนี้ยังจ่ายศิลาวิญญาณด้วยราคาสูงเช่นนี้อีก  

 

 

นี่มันจะเกินไปหน่อยกระมัง  

 

 

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลของหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้านี้จะต้องสูงกว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ หรือ แต่จำนวนศิลาวิญญาณนั้น ตอนนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์จะเทียบเทียมได้ 

 

 

“สามร้อยสี่สิบล้าน!” น้ำเสียงของบุรุษแซ่จิ้งเคร่งขรึมขึ้น 

 

 

“สามร้อยห้าสิบล้าน!” หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้ากลับยังคงเรียกราคาออกมาอย่างไม่ร้อนรน 

 

 

ส่วนบุรุษแซ่จิ้งก็เงียบขรึมไปอีกครั้ง แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ใช้น้ำเสียงเย็นชาเป็นอย่างยิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า 

 

 

“สามร้อยหกสิบล้าน! หากมีคนเสนอราคาที่สูงกว่า ผู้แซ่จิ้งเองก็จะคำนับยอมถอยให้ทันที”  

 

 

แต่สิ้นเสียงเขาหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าก็เสนอราคาขึ้นมาอย่างราบเรียบเป็นอย่างยิ่งว่า “สามร้อยเจ็ดสิบล้าน”  

 

 

เมื่อได้ยินราคานี้บนชั้นสามก็มีเสียงหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยวของบุรุษแซ่จิ้งดังออกมา 

 

 

“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ในเมื่อนายท่านไม่ยอมทุ่มกับไผ่อัสนีทองขนาดนี้ หวังว่าสหายจะปลอดภัยหลังจากออกจากเมืองเมฆา!” 

 

 

ระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเมฆาผู้นี้ถูกระดับเผ่าเบื้องบนคนหนึ่งเรียกราคาทับตนเองหลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เผยเจตนาไม่เป็นมิตรของตนเองออกมา 

 

 

แต่หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้ากลับดูเหมือนไม่ได้ยินคำนี้อย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงจะไม่ตอบกลับ แม้กระทั่งยังไม่หันไปมองที่ชั้นสามแม้แต่แวบเดียว แค่ไปถึงเวทีอย่างไม่รีบร้อนหลังจากที่เซียวปู้อีประกาศว่านางได้สินค้าการประมูลไป จ่ายศิลาวิญญาณ รับไผ่อัสนีทองไป แล้วยังคงกลับไปนั่งที่เดิม 

 

 

หญิงสาวผู้นี้มีท่าทีไม่หวาดหวั่นสิ่งใดเช่นนี้ ยิ่งทำให้บุรุษแซ่จิ้งยิ่งเป็นกังวล หัวเราะอย่างเย็นชาสองสามครั้ง และไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา  

 

 

“เยี่ยม ในที่สุดจากนี้ก็มาถึงสินค้าอันล้ำค่าชิ้นสุดท้ายในงานประมูลของพวกเราครั้งนี้ และเป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายในรายการสุดท้ายของงานประมูล หึๆ หวังว่าคงไม่ต้องให้ผู้แซ่เซียวพูดอะไรอีก เหล่าสหายก็น่าจะรู้ว่าคือสิ่งใด นั่นคือยาลูกกลอนมหัศจรรย์สิบสามเม็ด ยาลูกกลอนมหัศจรรย์นั้นมหัศจรรย์ขนาดไหนคงไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงเป็นยาลูกกลอนช่วยให้ทะลวงระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยม และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากกินเข้าไปแล้ว มีสรรพคุณในการล้างไขกระดูก และซ่อมแซมร่างกาย แม้ว่างานประมูลในอดีตจะเคยมียาลูกกลอนมหัศจรรย์ร่วมประมูล แต่มากสุดก็แค่สามสี่เม็ด แม้กระทั่งเม็ดสองเม็ด ครั้งนี้อาวุโสต่างๆ ของเผ่าผลึก ยอมนำยาลูกกลอนมหัศจรรย์ออกมาขายในคราเดียว ความจริงแล้วก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผู้แซ่เซียวเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยเป็นผู้ดูแลหลักของงานประมูล ไม่แน่ว่าก็คงเข้าร่วมการแย่งชิงการประมูลยาลูกกลอนด้วย แม้ว่าข้าเองจะใช้ไม่ได้ แต่หากศิษย์ในสำนักได้กินสักเม็ด ก็คงเป็นวาสนาไม่น้อย” เซียวปู้อีสั่นศีรษะขณะเอ่ยไปพลาง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเสียดายไปพลาง  

 

 

จากนั้นเขาก็รับขวดสีเงินอ่อนขวดหนึ่งมาจากมือของนักรบชุดเกราะสวมหน้ากากสีทอง และชูมันขึ้นสูงให้ทุกคนชม! 

 

 

เมื่อเผชิญหน้ากับการประมูลสมบัติชิ้นสุดท้าย แม้ว่าจะไม่รู้ว่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ชั้นสามเหล่านั้นจะคิดเห็นอย่างไร แต่ชนต่างเผ่าธรรมดาๆ ที่ชั้นหนึ่งและสอง กลับตาเป็นประกาย จ้องเขม็งไปยังขวดสีเงินในมือของเซียวปู้อี 

 

 

พวกเขาบางก็มีสีหน้าเคร่งขรึม บ้างก็มีสีหน้าตื่นเต้นอดรนทนรอไม่ไหว บ้างกลับเผยสีหน้าตึงเครียดแปลกๆ ออกมา 

 

 

“เอาล่ะ ข้าน้อยจะไม่พูดพล่ามไร้สาระให้มากความ ยาลูกกลอนมหัศจรรย์ขวดนี้เปิดประมูลที่สามร้อยล้าน!” เซียวปู้อีหัวเราะน้อยๆ แล้วประกาศทันที 

 

 

เมื่อได้ยินราคาต่อจากนั้น หลังจากลูบใต้คางไปมาแล้วก็กอดอก หลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พร้อมหลับตาทั้งสองข้างลงในเวลาเดียวกัน 

 

 

ยามนี้หานลี่ไม่ได้สนใจยาลูกกลอนบนเวทีขวดนั้น แต่กำลังขบคิดอย่างหนักว่าจะไปหาสูตรปรุงยาลูกกลอนมหัศจรรย์มาจากที่ใดดี 

 

 

ขอแค่วัตถุดิบหลับคือพืชสมุนไพร เขาล้วนสามารถปรุงยาลูกกลอนขึ้นเองได้จำนวนนับไม่ถ้วน หากยาลูกกลอนมหัศจรรย์มีสรรพคุณน่าอัศจรรย์เช่นนั้นจริงๆ ภายใต้การช่วยเหลือของยาลูกกลอนชนิดนี้กับโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ที่ผสมอยู่ในร่างสองสามชนิด ก็น่าจะมีหวังในการบรรลุระดับผสานอินทรีย์แล้ว 

 

 

หานลี่ครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ…. 

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ในห้องลับ ณ ถ้ำพำนักแห่งหนึ่งบนภูเขานิทราเมฆา หานลี่นั่งสมาธิ มือหนึ่งถือถุงสีฟ้าอ่อนเอาไว้ อีกมือหนึ่งกำขวดเล็กสีขาวนวลใบหนึ่งเอาไว้ 

 

 

ชั่งน้ำหนักถุงด้วยมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา 

 

 

แน่นอนว่าในถุงนั้นย่อมเป็นศิลาวิญญาณระดับสุดยอดที่เขาได้มาจากงานประมูลสี่เผ่าในครั้งนี้ จำนวนของมันนั้นน่าจะเพียงพอกับการใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอดครึ่งหนึ่งแล้ว ดูแล้วหากไฉ่หลิวอิงยอมจ่ายค่าเสียหายในการส่งตัวอีกครึ่งให้ล่ะก็ ศิลาวิญญาณที่เหลือนี้ก็น่าจะพอจ่ายได้อย่างสบายๆ  

 

 

งานประมูลที่เขาเข้าร่วมครั้งที่แล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ของเผ่ามนุษย์ เห็นได้ชัดว่าประเมินความร่ำรวยศิลาวิญญาณของชนต่างเผ่าของแผ่นดินใหญ่อื่นมากไปหน่อย ทว่าเช่นนั้นค่าเสียหายที่ใช้เขตอาคมส่งตัวระดับสุดยอด ก็นับว่าไม่ใช่ปัญหา 

 

 

จากนี้เขาต้องไปที่แดนกว้างเย็น ช่วยเผ่าศิลารังไหมรวบรวมวัตถุดิบ และช่วยไฉ่หลิวอิง ต้วนเทียนเริ่นเอาของออกมาจากเขตอาคมต้องห้าม จากนั้นก็จะสามารถส่งตัวกลับไปยังแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนได้แล้ว 

 

 

ทว่าแดนกว้างเย็นก็เป็นโอกาสงามๆ ในการทะลวงจุดคอขวด ทางที่ดีที่สุดก่อนจะเข้าไปเขาก็ควรฝึกฝนจนพลังของตนเองอยู่ในระดับยอดสุดของระดับสูญสุญตาขั้นต้นจะดีกว่า เช่นนั้นก็สามารถอาศัยไอวิญญาณในแดนกว้างเย็น ทำให้ตนเองบรรลุระดับสูญสุญตาขั้นกลางได้อย่างง่ายดาย 

 

 

หานลี่ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว หลังจากวางแผนการในอนาคตของตนเองเสร็จแล้ว ก็กลับมาขบคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง 

 

 

มือข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ ถุงศิลาวิญญาณหายวับไปในทันที 

 

 

หานลี่เหลือบตามองไป ตกอยู่ที่ขวดเล็กสีขาวนวลขวดนั้น 

 

 

ในขวดย่อมเป็นของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์คุณภาพรองขวดนั้น 

 

 

แม้ว่าของเหลวชนิดนี้จะถูกกว่าสินค้าในรายการสุดท้ายสองสามชิ้นของงานประมูลมาก แต่เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับนมเทวะในแม่น้ำอเวจีของชิงหยวนจื่อ หานลี่กลับใส่ใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าดูแคลนเลยสักนิด 

 

 

แม้ว่าของเหลวเพลิงสวรรค์จะเป็นของมีตำหนิ แต่เซียวปู้อีกล่าวว่าประสิทธิภาพเดิมของของเหลวยังคงอยู่ แค่อ่อนกำลังเป็นอย่างมาก 

 

 

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดทั้งหมดอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องหาประสบการณ์เองดูก่อนสักรอบ ดูว่าแตกต่างกับของเหลวเคลือบเพลิงสวรรค์ในตำนานอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน 

 

 

มิเช่นนั้นหากเอาสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับชิงหยวนจื่อไป ถึงครานั้นผู้ที่ต้องซวยก็คือตน  

 

 

ยามนี้เขาพิจารณาขวดหยกในมือ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออก พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมากลุ่มหนึ่ง 

 

 

หลังจากที่เปลวเพลิงนี้วนล้อมรอบหานลี่รอบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เปล่งเสียงร้องอันไพเราะออกมา กลายเป็นวิหคเพลิงสีเงินตัวหนึ่ง 

 

 

หานลี่โยนขวดหยกในมือขึ้นกลางอากาศอย่างไม่ลังเลอีก จากนั้นมือหนึ่งพลันชี้ไปที่มัน! 

 

 

เสียง “ปัง” ดังขึ้น ผิวของขวดมีอักขระเปล่งแสงสว่างวาบ ลอยขึ้นไปกลางอากาศ 

 

 

จากนั้นปากขวดก็มีลำแสงสีแดงเจิดจ้า พ่นเสาลำแสงสีแดงสดออกมา ท่ามกลางเสาลำแสงของเหลวสีแดงกลุ่มหนึ่งลอยพลิ้วออกมาจากปากขวด 

 

 

พริบตาทั้งห้องลับก็ถูกแสงสะท้อนจนเป็นสีแดงสด ในเวลาเดียวกันคลื่นความร้อนก็พุ่งเข้ามาหาหานลี่ 

 

 

ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าอยู่ในเตาหลอมอันร้อนแรงอย่างไรอย่างนั้น! 

 

 

ทว่ายามนี้วิหคเพลิงกลืนวิญญาณด้านข้างเห็นของเหลวสีแดงกลับตื่นเต้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

วิหคตัวนี้เปล่งเสียงร้องด้วยความดีใจ สยายปีกทั้งสองข้าง กระโจนเข้าไปโดยไม่รอคำสั่งของหานลี่